บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 570 สัจธรรมสวรรค์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 570 สัจธรรมสวรรค์

บทที่ 570 สัจธรรมสวรรค์

ในอดีตที่ผ่านมา เมื่อเฉินซีเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งแล้ว เขาจะนำมันไปใช้ตามปกติ และไม่เคยคิดที่จะใช้มหาเต๋าอันลึกล้ำเพื่อควบคุมเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ

แต่หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว เฉินซีก็ตระหนักได้ว่า สิ่งที่เต๋าบงกชกล่าวออกมานั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง

ตัวอย่างเช่น ในอดีตที่ผ่านมาเขาได้บรรลุและเชี่ยวชาญเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบ แต่เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าในตอนนี้ คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบไม่ได้ใช้เต๋าแห่งกระบี่เพื่อควบคุมกระบวนท่าทั้งแปดหรอกหรือ?

ตัวอย่างเช่น ก่ออัสนีผสานดาราก็มีมหาเต๋าแห่งดวงดารา มหาเต๋าแห่งวารี มหาเต๋าแห่งอัสนี และมหาเต๋าแห่งการกลืนกิน แต่เป็นมหาเต๋าแห่งการกลืนกินที่ควบคุมมหาเต๋าอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นการสั่งการเช่นกัน

อีกตัวอย่างก็คือฝ่ามือมหาดารา แม้ว่ามันจะเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ แต่มันก็สามารถบรรจุเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ให้หมุนเวียนอยู่ภายในได้ และถ้าไตร่ตรองอย่างรอบคอบ พลังอิทธิฤทธิ์นี้ถูกชักนำโดยมหาเต๋าแห่งดวงดารา ซึ่งทำหน้าที่สั่งการและควบคุมเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ ทั้งหมด

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การควบคุมและสั่งการระหว่างเต๋ารู้แจ้งนั้นมีอยู่มานานแล้ว แต่เมื่อได้เข้าใจและใช้งานเต๋ารู้แจ้งในอดีตที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

ตอนนี้เมื่อได้รับการชี้แนะจากอีกฝ่าย ก็เหมือนกับการปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากความฝัน และมันทำให้ชายหนุ่มได้รู้แจ้งอย่างฉับพลัน

“มีเพียงการควบคุมเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ได้อย่างไร้ที่ติเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถดึงพลังที่แท้จริงออกมาได้ หากเป็นเช่นนี้แล้วละก็ ข้าควรเลือกเต๋ารู้แจ้งบางส่วนให้เป็นผู้นำเพื่อควบคุมและสั่งการเต๋ารู้แจ้งชนิดอื่น ๆ” เฉินซีพึมพำเบาๆ

“มันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ หนทางนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้บ่มเพาะทุกคนต้องทำ และมันมีความสำคัญที่สุดสำหรับเจ้าในตอนนี้” เต๋าบงกชกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นเพราะเจ้ากำลังจะบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายา หากเจ้าไม่สามารถประสานเต๋ารู้แจ้งทั้งหมดได้ มันจะเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าที่จะใช้พลังที่แท้จริงได้”

ขอบเขตสถิตกายา!

การกลมกลืนกับสรรพสิ่งในโลกและผสานตนเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน เมื่อบรรลุถึงขอบเขตนี้แล้ว ทุกการเคลื่อนไหวก็จะสามารถควบคุมพลังฟ้าดิน เพียงแค่ดีดนิ้วก็จะสามารถถล่มภูเขาหรือแยกปฐพีได้

ยิ่งกว่านั้น หลังจากที่ได้บรรลุขอบเขตนี้แล้ว กงล้อสังสารวัฏภายในร่างกายจะเปลี่ยนเป็นหลุมดำและมันจะเหมือนกับมีโลกถูกเปิดอยู่ภายในร่างกายของคนผู้นั้น ทำให้มันเรียกอีกอย่างว่า ‘แดนฮุ่นตุ้น*[1]’

ในเวลานั้น ร่างกายทั้งหมดของผู้บ่มเพาะจะสะท้อนฟ้าดินจากภายนอก ในขณะที่จิตวิญญาณเชื่อมโยงกับร่างกายจากภายในและสอดคล้องกับเต๋าแห่งสวรรค์ ไม่ว่าพละกำลังหรือแก่นแท้ของชีวิต พวกมันล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด

การบ่มเพาะของเฉินซีในตอนนี้ได้บรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์แล้ว และเขาอยู่ห่างจากการบรรลุขอบเขตนี้อีกเพียงไม่กี่ก้าว ดังนั้นชายหนุ่มจึงกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เต๋าบงกชกล่าวนั้นหมายถึงสิ่งใด

“หรือว่าการควบคุมเต๋ารู้แจ้งนั้นมีความสอดคล้องอย่างใกล้ชิดกับขอบเขตสถิตกายา?”

“เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เมื่อเจ้าบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาแล้ว หลังจากที่เจ้าสามารถควบคุมมหาเต๋าชนิดหนึ่งได้อย่างถ่องแท้ มันจะทำให้เจ้าสามารถใช้พลังของศาสตร์เต๋าได้เป็นสองเท่า เช่นเดียวกับที่เจ้าสามารถควบคุมมหาเต๋าสองชนิดได้อย่างถ่องแท้ ซึ่งจะทำให้สามารถใช้พลังของศาสตร์เต๋าได้เป็นสามเท่า ซึ่งมันก็จะดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้นหากเจ้าสามารถควบคุมเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ที่เจ้าเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เจ้าย่อมจะจินตนาการได้ว่า พลังในการต่อสู้ของเจ้าเพิ่มพูนขึ้นถึงกี่เท่า”

…เต๋าบงกชจ้องมองอย่างลึกซึ้งในขณะที่เขากล่าวทีละคำว่า “แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำเช่นนี้จะทำให้แดนฮุ่นตุ้นของเจ้ากว้างใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งปราณแท้ที่สะสมอยู่ภายในนั้นก็จะเพิ่มพูนเป็นทวีคูณ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตกใจและเขารู้สึกไม่เชื่อเล็กน้อย

เมื่อตอนที่อยู่ในราชวงศ์ซ่ง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายานั้นยอดเยี่ยมจนสามารถทำให้พลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้นและทวีคูณตามเต๋ารู้แจ้งที่ผู้บ่มเพาะสามารถควบคุมได้!

“บางทีนี่อาจเป็นความแตกต่างระหว่างโลกใบเล็กกับโลกใบใหญ่ กฎของฟ้าดินนั้นแตกต่างกัน ทำให้สิ่งที่เราสัมผัสได้ก็แตกต่างกันไป…” เมื่อถึงจุดนี้ เฉินซีเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงระยะห่างระหว่างโลกใบเล็กและโลกใบใหญ่

สิ่งนี้เหมือนความแตกต่างระหว่างหมู่บ้านที่ห่างไกลในชนบทกับเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง ระบบการบ่มเพาะพลัง และอื่น ๆ โลกใบเล็กนั้นด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับโลกใบใหญ่ ซึ่งมันก็เหมือนกับความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลก

ถ้าไม่ได้มาที่แดนภวังค์ทมิฬ เขาอาจไม่เคยคิดมาก่อนในชีวิตว่าจะมีหลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ที่เขาไม่รู้

“ตอนนี้ เจ้าคิดออกหรือยังว่าจะเลือกเต๋ารู้แจ้งใดเพื่อนำและสั่งการเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ?” อีกฝ่ายดูจะเข้าใจความรู้สึกของเฉินซีในขณะนี้เป็นอย่างดี และเขาก็รออย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานานก่อนจะกล่าว

“เต๋าแห่งยันต์อักขระขอรับ!” ชายหนุ่มเงียบไปนานก่อนจะตอบช้า ๆ

“เต๋าแห่งยันต์อักขระหรือ?” เต๋าบงกชตกตะลึง จากนั้นประกายอันสว่างไสวพลันวาบผ่านออกมาจากแววตา เขาดูจะประหลาดใจและเหมือนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่าง จากนั้นจึงแสดงอาการตกใจออกมา

“ใช่แล้วขอรับ เต๋าแห่งยันต์อักขระ หากศิษย์ต้องการควบคุมเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ ก็มีเพียงเต๋าแห่งยันต์อักขระเท่านั้นขอรับ” ในขณะนี้ เฉินซีได้คำนึงถึงหลายสิ่งหลายอย่าง และคำตอบของเขาก็หนักแน่นมาก

เต๋ารู้แจ้งที่เขาเชี่ยวชาญอยู่ในตอนนี้ ประกอบไปด้วย เต๋ารู้แจ้งแห่งเบญจธาตุ เต๋ารู้แจ้งแห่งหยิน เต๋ารู้แจ้งแห่งหยาง เต๋ารู้แจ้งแห่งวายุ เต๋ารู้แจ้งแห่งอัสนี เต๋ารู้แจ้งแห่งนภา เต๋ารู้แจ้งแห่งดวงดารา เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตา เต๋ารู้แจ้งแห่งการลืมเลือน เต๋ารู้แจ้งกระบี่ เต๋ารู้แจ้งแห่งยันต์อักขระ เต๋ารู้แจ้งแห่งการทำลายล้าง เต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกิน เต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหาร และอื่น ๆ

เต๋าแต่ละชนิดก็มีมหาเต๋าอันลึกล้ำ และบางชนิดก็เป็นมหาเต๋าที่หาได้ยากยิ่ง แต่หากเขาต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อควบคุมเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ สิ่งนั้นย่อมคือเต๋าแห่งยันต์อักขระอย่างไม่ต้องสงสัย

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ตั้งแต่วันที่เขาได้รับเคหาแห่งการบ่มเพาะที่อยู่ภายในจี้หยกมา และเขาพบกับจี้อวี๋เป็นครั้งแรก เขาก็มีชะตาต้องกันกับเต๋าแห่งยันอักขระอย่างที่มิอาจแยกได้!

ตัวอย่างเช่น ยันต์เทวะทั้งห้าที่อยู่ภายในยันต์ศัสตรา พวกมันมีความลึกล้ำของมหาเต๋าแห่งเบญจธาตุ แต่พวกมันทั้งหมดกลับถูกควบคุมโดยเต๋าแห่งยันต์อักขระ

หรือฝ่ามือมหาดาราก็สามารถสั่งการเต๋ารู้แจ้งต่าง ๆ ได้ แต่วิถีการโคจรของดวงดาวภายในนั้นก็ถูกควบคุมด้วยเต๋าแห่งยันต์อักขระในทำนองเดียวกัน

จนกระทั่งวันนี้ เฉินซียังคงจำได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อตอนที่เขาได้เข้าไปในเคหาแห่งการบ่มเพาะที่อยู่ภายในจี้หยก เขาเคยเผชิญกับการทดสอบของขอบเขตซ่อนดาราครั้งหนึ่ง ในเวลานั้นชายหนุ่มได้เห็นวิถีโคจรซึ่งหมุนเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของดวงดาวนับไม่ถ้วน วิถีเหล่านี้มีความยาวและความหนาที่แตกต่างกันไป บ้างก็คดเคี้ยวไปมา บ้างก็ตรงเหมือนหอกหรือโค้งงอเป็นวงโค้งและหมุนวนเป็นวงกลม แต่พวกมันก็ดูเหมือนกับอักขระยันต์ที่มีช่วงจังหวะแตกต่างกัน

ซึ่งดูเหมือนกับมีมือไร้รูปร่างกำลังใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษยันต์ ดวงดาวนับไม่ถ้วนเป็นพู่กัน และใช้เคล็ดวิชาสร้างยันต์อักขระที่เหนือจินตนาการ เพื่อวาดอักขระยันต์ที่ยากจะหยั่งถึงและลึกซึ้งซึ่งวิเศษเกินคำบรรยายได้อย่างอิสระ

และเป็นเพราะเต๋าแห่งยันต์อักขระนี่เอง เขาจึงได้รับการยอมรับจากปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะ และได้รับพลังอิทธิฤทธิ์ที่ทรงพลังจนยากเหลือเชื่อ เช่น ฝ่ามือมหาดารา ปีกนภาดารกะ และก่ออัสนีผสานดารา!

นอกจากนี้ เป็นเพราะเต๋าแห่งยันต์อักขระ เขาจึงสามารถบรรลุเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบได้อย่างถ่องแท้ และสามารถจารึกยันต์เทวะทั้งห้า อีกทั้งยังปรับแต่งยันต์ศัสตราได้…

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ในสายตาของเฉินซีนั้น เต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นเหนือกว่ามหาเต๋าอันลึกล้ำอื่น ๆ และมีเพียงเต๋าชนิดนี้เท่านั้นที่ทำให้เขาสามารถควบคุมเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย!

“ต้องบอกว่าตัวเลือกของเจ้านั้น เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงสำหรับข้ามาก” หลังจากนั้นไม่นาน เต๋าบงกชก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่มากไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างอธิบายไม่ได้ “นับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน มหาเต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างลึกซึ้งและซับซ้อนที่สุดในบรรดามหาเต๋าทั้งสามพันชนิด แต่มีน้อยคนนักที่จะประสบความสำเร็จบนเส้นทางนี้ และเหตุผลนั้น…ก็เป็นเพราะว่ามันยากเกินไป”

ขณะที่กล่าว เขาก็ชี้ออกไปไกล “ดูร่องรอยของท้องฟ้า ภูมิศาสตร์ของแผ่นดิน เส้นใบบนพืชพรรณ รอยแตกบนก้อนหิน ร่องรอยของเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง”

“บัดนี้จงดูวิถีของสายฝนที่ตกหนักลงมาจากท้องฟ้า ร่องรอยของกระแสลมกระโชกที่พัดผ่านผืนดิน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีรองร่อยของอักขระยันต์ แม้กระทั่งโชคชะตา กรรม การทำนายหรือโชค… สิ่งที่มองไม่เห็นทั้งหมดนี้สามารถอนุมานและเข้าใจได้ด้วยพลังของเต๋าแห่งยันต์อักขระ”

“แต่เนื่องจากร่องรอยของเต๋าแห่งยันต์อักขระนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากเจ้าจะแสวงหาบนเส้นทางนี้ เส้นทางนี้ก็จะยากยิ่งขึ้น”

เมื่อเต๋าบงกชกล่าวจบ เขาก็หันกลับไปจ้องมองชายหนุ่ม ในขณะที่กล่าวว่า “เจ้ามั่นใจแล้วจริง ๆ หรือ?”

เฉินซีพยักหน้าด้วยสายตาที่แน่วแน่

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่า เมื่อเต๋าแห่งยันต์อักขระบรรลุถึงขีดจำกัด มันหมายความว่าอย่างไร” เต๋าบงกชกล่าวต่อ

เฉินซีส่ายศีรษะเป็นเชิงไม่รู้ ด้วยการบ่มเพาะของเขาในปัจจุบัน ชายหนุ่มไม่สามารถรู้สิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด เว้นแต่ว่าเขาจะบรรลุเต๋าแห่งยันต์อักขระถึงขีดจำกัดแล้วจริง ๆ เมื่อนั้นเขาอาจจะตอบคำถามนี้ได้

ส่วนตอนนี้ เขาไม่สามารถตอบได้จริง ๆ

“ฮ่า ๆๆ…” เมื่อเห็นเช่นนี้ อีกฝ่ายระเบิดก็เสียงหัวเราะที่หาได้ยาก น้ำเสียงของเขาชัดเจนและไพเราะเหมือนกับทำนองของเต๋า ซึ่งเผยให้เห็นความรู้สึกที่ไร้กังวลและกล้าหาญ “ผู้ไม่รู้นั้นไร้ซึ่งความกลัว หากเจ้ายังมุ่งไปข้างหน้าโดยปราศจากความกลัว แม้ต้องตายถึงเก้าครั้ง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดให้เสียใจ!”

เฉินซีตกตะลึงและรู้สึกสับสนเล็กน้อยว่าเหตุใดเต๋าบงกชถึงตื่นเต้นมาก

“ตามกฎแล้ว ศิษย์ทุกคนที่มาถึงที่นี่ สามารถเลือกศาสตร์เต๋าเพื่อทำการบ่มเพาะได้ แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น” หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มรูปงามก็สงบสติอารมณ์และชี้ไปที่กองแผ่นไผ่ที่อยู่บนโต๊ะหินใกล้ ๆ “เป็นการดีที่จะมอบศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าเคล็ดนี้ให้แก่เจ้า”

“ท่านผู้อาวุโส! นี่ท่านจะมอบศาสตร์เต๋าเหล่านี้ให้แก่ศิษย์หรือขอรับ?” ผู้ฟังรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เท่าที่เขาได้ทราบมา ศาสตร์เต๋าที่ถูกจารึกอยู่ในแผ่นไผ่เหล่านี้คือสิ่งที่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งได้เหลือทิ้งไว้ ศาสตร์เต๋าแต่ละเคล็ดก็มีพลังที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งในประวัติศาสตร์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ศิษย์ทุกคนที่สามารถมาถึงที่นี่ได้นั้น ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็สามารถได้รับศาสตร์เต๋าเพียงหนึ่งเคล็ดเท่านั้น

นี่เป็นกฎที่สืบทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้และไม่เคยเปลี่ยนแปลงให้แก่ศิษย์คนใดเลยสักคน

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับกล่าวว่าเขานั้นสามารถเข้าใจศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าเคล็ดได้จริง ๆ แล้วจะไม่ให้เฉินซีตกใจได้อย่างไร?

“ทำไมหรือ? นี่เจ้าไม่เต็มใจหรือ?” เต๋าบงกชยิ้ม

“ศิษย์เต็มใจอย่างแน่นอน แต่… นี่จะไม่ผิดกฎหรือขอรับ?” เฉินซีถูจมูกขณะกล่าว

“ทั้งสามภพกำลังจะเกิดกลียุค หากไม่มีใครบ่มเพาะพวกมัน ศาสตร์เต๋าเหล่านี้ที่มักถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงก็จะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง” เต๋าบงกชถอนหายใจ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “หลังจากเจ้าสามารถเข้าใจศาสตร์เต๋าเหล่านี้ได้ทั้งหมด ในยามที่จะจากไป เจ้าสามารถส่งต่อมันให้กับบุคคลระดับสูงของนิกายและปล่อยให้พวกเขาได้ตัดสินใจกันเอง”

เฉินซีพยักหน้าและก็เข้าใจการกระทำของเต๋าบงกชเช่นกัน นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายกังวลว่ากลียุคที่จะเกิดกับทั้งสามภพนั้น จะส่งผลกระทบต่อนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ดังนั้นเจ้าตัวจึงมอบศาสตร์เต๋าเหล่านี้ให้กับเฉินซี เพื่อถ่ายทอดออกไปและเสริมความแข็งแกร่งให้กับศิษย์ทั้งหมด

“ดังคำกล่าวที่ว่า เต๋านั้นไม่เคยสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่สามารถแก้ไขได้” จู่ ๆ เต๋าบงกชก็ยิ้มมีเลศนัยและกล่าวว่า “แต่ข้าคิดว่าศาสตร์เต๋าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้านั้น ไม่ใช่ศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าเคล็ดนี้”

ในขณะที่กล่าว เขาก็ยกมือขึ้นและสะบัดแสงสีทองที่ส่องลงมาในมือของเฉินซี และมันก็คือกลีบดอกไม้!

กลีบดอกไม้เป็นสีทองและมีเส้นสายที่ลึกซึ้ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีตรามหาเต๋าอันไร้ขอบเขตเปิดอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเปล่งแสงสีทองแห่งพลังเทวะออกมา!

“กลีบดอกไม้นี้ข้าเป็นคนขัดเกลาเอง และมันได้บันทึกแก่นแท้ของเต๋าดั้งเดิมของคัมภีร์เก้าเรืองรอง ข้าเรียกมันว่า ‘สัจธรรมสวรรค์’ เจ้าสามารถเรียนรู้ศาสตร์เต๋าทั้งหมดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้ และเมื่อมีมันอยู่เคียงข้าง มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเจ้าบัญญัติศาสตร์เต๋าเป็นของตัวเอง อีกทั้งยังเปิดเส้นทางสู่เต๋าแห่งยันต์อักขระ…” ขณะที่กล่าว เต๋าบงกชก็สะบัดแขนเสื้อ ทำให้ภูตผีทั้งสี่สิบเก้าตนปรากฏขึ้นเหนือกองแผ่นไผ่ทั้งสี่สิบเก้าชิ้นซึ่งอยู่บนโต๊ะหิน “มอบศาสตร์เต๋าเหล่านี้ให้กับเฉินซี แล้วพวกเจ้าทุกคนจงหาที่อยู่อื่นเถิด”

“ไม่เลว ไม่เลว” ภูตผีเหล่านี้ต่างผงกหัวอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นพวกมันก็กลายเป็นลมเย็นที่พัดหายไปในศาลา

เฉินซีนึกออกด้วยความประหลาดใจว่าภูตผีเหล่านี้คือสิ่งที่เขาคาดเดาว่าเป็น ‘ปีศาจคัมภีร์’

“เฉินซี ถ้าพวกเราชะตาต้องกันอีกในอนาคต เราจะได้พบกันอีกแน่นอน” เต๋าบงกชยิ้มอย่างอบอุ่นก่อนที่เขาจะสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นทั้งฟ้าดินก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที

หุบเขา ลำธาร และศาลากล้วยไม้ข้างลำธารก็หายไป ในขณะที่เฉินซีรู้สึกว่าการมองเห็นของเขากลายเป็นมืดมิดสีดำสนิท และร่างกายก็ถูกแรงมหาศาลพัดพาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

[1] ฮุ่นตุ้น คือภาวะที่อากาศ รูป และธาตุยังปะปนเกาะกลุ่มกัน เป็นสภาพดั้งเดิมของจักรวาลก่อนที่เทพผานกู่จะใช้ขวานจามแยกเป็นฟ้าและดินตามตำนานการสร้างโลกของชาวจีน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท