บทที่ 574 ด้ายปราณกระบี่
บทที่ 574 ด้ายปราณกระบี่
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อนับตั้งแต่เฉินซีกับตู้เซวียนเริ่มต่อสู้กัน ทว่าการปะทะกันระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นรุนแรงมากจนกล่าวได้ว่าชวนขนหัวลุก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ที่พวกเขาเห็นตู้เซวียนซึ่งมีสภาพเหมือนขอทานที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและผมกระเซอะกระเซิงจากการโจมตีของเฉินซี ทุกคนก็ไม่อาจยับยั้งคลื่นพายุที่ซัดกระหน่ำในใจได้
เพราะอย่างไรแล้ว ตู้เซวียนก็เป็นหนึ่งในศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือและประสบความสำเร็จในการต่อสู้ท่ามกลางบรรดาศิษย์ชั้นสูงนับพันภายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ซ้ำยังเคยกำจัดผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้ ทำให้มีชื่อเสียงเรียงนามทั่วทั้งโลกา
แม้จะเป็นแดนภวังค์ทมิฬก็ตาม พวกเขาก็มองว่าตู้เซวียนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในหมู่คนรุ่นเยาว์ ทว่าเขากำลังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เพราะศิษย์คนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายเพียงวันเดียว จะไม่ทำให้ทุกคนตกใจได้อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกที่จงใจเข้าปล้นสะดมฝ่ายยอดเขาจรัสตะวันตกและขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังยึดครองเมื่อครู่นี้ สีหน้าของพวกเขาหม่นลงเมื่อเห็นฉากนี้ หัวใจพลันบีบรัดอย่างช่วยไม่ได้
หากศิษย์พี่ตู้แพ้พ่าย แล้วจะมีใครเทียบเคียงกับเฉินซีได้?
ในทางกลับกัน หั่วโม่เลยและพวกพ้องกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา ด้วยไม่เคยคิดมาก่อนว่าศิษย์น้องของพวกเขาจะทรงพลังและดุร้ายจนแม้แต่คนอย่างตู้เซวียนก็ยังไม่อาจอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ และดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ตู้เซวียนก็ค่อนข้างจะเสียเปรียบพอสมควร
“ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ แต่ตอนนี้ข้าจะทำให้เจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเราสองคนนั้นห่างชั้นกันเพียงใด!” ใบหน้าของตู้เซวียนในขณะนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมและเศร้าหมอง เขาก็เริ่มมองว่าเฉินซีเป็นคู่ปรับในระดับเดียวกันเป็นครั้งแรก
“ศิษย์พี่ตู้เซวียน เลิกพล่ามและเข้ามาเลยเถอะ!” เฉินซีสูดหายใจเข้าลึก พลางยืดหลังตรงในขณะที่ปราณจ้าววิญญาณโบราณอันลึกลับและทรงพลังพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา ทำให้เส้นผมยาวสลวยปลิวไสว กลิ่นอายของชายหนุ่มทวีคูณอย่างต่อเนื่อง!
สีหน้าของเขาที่เดิมซีดเซียวจากการใช้ปราณแท้จนเกือบหมดถูกแทนที่ด้วยแรงใจนักสู้ที่ลุกโชนราวกับเทพอสูรโบราณที่มีท่าทางสง่างาม เขาพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องนภาเหมือนสายรุ้ง
“ปราณจ้าววิญญาณ!” ในระยะไกลห่าง หลังจากที่เซี่ยอี้ หนึ่งในศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าจากยอดเขาจรัสใต้ได้เห็นฉากนี้ ใบหน้าที่ย่นราวกับไม้แกะสลักก็เผยอาการตะลึงงัน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าศิษย์คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในนิกายจะมีทั้งการขัดเกลากายาและบ่มเพาะปราณแท้
อันที่จริงไม่ใช่แค่เซี่ยอี้เท่านั้น ทั้งเหลิ่งชิวและผางโจวก็หรี่ตาลงเช่นกัน พวกเขาเริ่มจริงจังกับเฉินซีมากขึ้น
มีเพียงอันเวยเท่านั้นที่เคยเห็นทุกสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมาเมื่อนานมาแล้ว ใบหน้างดงามของนางจึงไม่เปลี่ยนแปลง ทว่ามันก็ยังแฝงความอยากรู้อยากเห็นในดวงตาอันสดใสของนาง
นางต้องการทราบว่าระหว่างการขัดเกลากายากับบ่มเพาะปราณแท้ของเฉินซีนั้น อันไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน
“ทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร? ฮ่า ๆ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจ้าจะมีไพ่ตายเยี่ยงนี้ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าไม่เกรงกลัวข้า แต่ทั้งหมดนี้มันไร้ประโยชน์ เพราะเจ้ากำลังเผชิญกับข้าและจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน!” ความประหลาดใจเล็กน้อยฉายผ่านดวงตาของตู้เซวียน สีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึม เขาก้าวไปข้างหน้าในขณะที่มือเริ่มสร้างผนึกที่ล้ำลึกและแปลกประหลาดมากมาย ผนึกที่เขาสร้างขึ้นเป็นเหมือนกระบี่คมกริบที่มีรูปแบบซับซ้อนและตรวจจับยาก มันเปล่งแสงสีทองเข้มที่พร่างพราวราวกับดวงดาวมากมายกำลังปรากฏขึ้นบนมือ
โครม!
ในเวลาเดียวกันกับที่สร้างผนึกเหล่านี้ พื้นที่โดยรอบก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรง โลกทั้งใบปกคลุมไปด้วยเงามืดราวกับว่าท้องนภากำลังรวบรวมพละกำลังไว้ในฝ่ามือ ช่างน่าขนหัวลุกยิ่งนัก
มันถึงกับทำให้ผู้คนรอบข้างสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปราณวิญญาณโดยรอบนั้นกลายเป็นเหมือนฉลามที่ได้กลิ่นเลือด พวกมันพุ่งเข้าหาฝ่ามือของตู้เซวียนอย่างบ้าคลั่ง
อาจกล่าวได้ว่ามันบรรจุพลังอำนาจของโลกาและเปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นเครื่องมือของเขา!
นี่คือพลังอำนาจแห่งศาสตร์เต๋า ซึ่งน่าอัศจรรย์ยิ่ง การเปลี่ยนแปลงของเต๋ารู้แจ้งที่อยู่ภายในนั้นได้ละทิ้งรูปแบบเดิมไป และทุกการเคลื่อนไหวก็เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่พิเศษไม่เหมือนใคร
“ศาสตร์เต๋า… เคล็ดสังหารฉับพลัน!” เหล่าศิษย์ที่เฝ้าดูอยู่ห่างไกลพลันแสดงสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นฉากที่น่าตกใจนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาจำศาสตร์เต๋านี้ได้ ด้วยมันได้สร้างชื่อเสียงให้กับตู้เซวียนไว้มากมาย!
เหลิ่งชิวและพวกพ้องพลันขมวดคิ้วแน่นพลางแสดงสีหน้าจริงจัง พลังอำนาจของศาสตร์เต๋าที่ตู้เซวียนเรียนรู้และเข้าใจนั้นรับมือไม่ได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าเช่นกัน มันก็ใช่ว่าพวกเขาจะรับมือกับวิชานี้ได้หากไม่ต้านทานด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี!
“ท่านพี่ ศิษย์น้องเฉินซี… จะรับมือกับมันได้หรือไม่? ข้าสัญญากับท่านอาจารย์ลุงหลิ่วไว้แล้วว่าข้าจะดูแลเขาอย่างดี…” คิ้วที่สวยงามของอันเคอขมวดขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวด้วยความกังวล
“เขาขอให้เจ้าช่วยดูแล?” อันเวยยิ้มไม่หยุด ก่อนจะครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “มาดูกันก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเขาแพ้จริง ๆ …มันก็คงไม่สายเกินไปที่ข้าจะลงมือ”
“ท่านพี่ เป็นคนดีที่สุดเลย” อันเคอยิ้มอย่างอ่อนหวานเมื่อได้ยินคำตอบของอันเวย ใบหน้าที่งดงามบริสุทธิ์ของนางผ่อนคลายลง เพราะมันจะมีปัญหาใดที่ไม่อาจแก้ได้หากมีท่านพี่อยู่เคียงข้าง?
หญิงสาวเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางครุ่นคิดถึงวิธีทวงบุญคุณจากเฉินซีหลังจากที่ท่านพี่ของนางช่วยเขาไว้…
“ศิษย์น้องยังไม่หยั่งถึงศาสตร์เต๋า สถานการณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก” ในเวลาเดียวกัน ในใจของหั่วโม่เลยและพวกพ้องก็อดไม่ได้ที่จะเต้นแรงด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก
ซ้ำยังเริ่มที่จะเกลียดชังตัวเอง เพราะพวกเขาเกลียดการไร้ความสามารถ ซึ่งทำให้ศิษย์น้องต้องเข้ามาช่วยเหลืออยู่เสมอ ในขณะที่พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้แม้แต่น้อย…
เช่นนี้ไม่ดีแล้ว!
ข้าต้องเปลี่ยนแปลง!
ข้าจะยอมให้ศิษย์น้องแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียวไม่ได้เด็ดขาด!
สิ่งที่พบเจอในวันนี้เป็นเหมือนคลื่นพายุโหมกระหน่ำที่ซัดเข้าใส่หัวใจของหั่วโม่เลยและพวกพ้องจนทำให้เกิดความรู้สึกแปรปรวน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ของชายหนุ่มนั้นยากลำบากเพียงใด มันก็ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเริ่มกลับมามองชีวิตของตน และรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!
…
“ในที่สุดเขาก็ใช้ศาสตร์เต๋านี้?” เฉินซีหรี่ตาเล็กน้อยพลางแสดงอาการเคร่งขรึมบนใบหน้า ตู้เซวียนเคยใช้ศาสตร์เต๋านี้เพื่อเอาชนะและกำจัดผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา
และตามที่วิปลาสหลิ่วกล่าว ศาสตร์เต๋าชนิดนี้คือที่สุดของความน่าเกรงขาม เนื่องจากพลังในการสังหารฉับพลันผ่านปราณกระบี่ ซึ่งมีความเร็วเหนือยิ่งกว่าความเร็วเสียงกว่าสิบเท่าจนมันแทบจะป้องกันไม่ได้!
ตู้ม!
ทันใดนั้นเสียงปราณจ้าววิญญาณของเฉินซีก็ดังขึ้น เขากลายร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงเกือบพันจั้ง มีสามหัว หกแขน และเนตรเทวะแห่งความจริงที่เปิดขึ้นตรงหว่างคิ้ว ในเวลาเดียวกันวังวนอัสนีได้หมุนวนรอบกายพร้อมกับส่งเสียงดังสนั่นทั่วท้องนภา
เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซีก็ดูไม่ต่างอะไรกับเทพอสูรในยุคโบราณ ความสูงนั้นเทียบได้กับหุบเขา มีสามหัว หกแขน และพายุฝนฟ้าคะนองที่โหมกระหน่ำรอบกายก็ทำให้ชายหนุ่มดูโอ่อ่า สง่างาม และทรงพลัง
ฟิ้ว!
ทว่าเมื่อแปลงกายสำเร็จ เขาก็รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงเฉียบพลัน ซ้ำยังรู้สึกขนหัวลุก จึงทำให้เขาหลบด้วยความเร็วสูง ก่อนที่แสงกระบี่อันแหลมคมที่บางกว่าเส้นผมจะกวาดผ่านใกล้กับใบหน้าและฟันผมร่วงออกมาเป็นกระจุก ยิ่งกว่านั้นปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวนี้ยังทิ้งรอยเลือดที่ไหลรินบนใบหน้าเอาไว้
“ด้ายปราณกระบี่!” เฉินซีเอ่ยเสียงแผ่วเบา ‘ด้ายปราณกระบี่’ นี้มีระดับที่สูงกว่า ‘แนวทางใจหลอมรวมกระบี่’ และเป็นที่ทราบกันดีว่าสามารถกำจัดทุกเคล็ดวิชาได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว ไม่ว่าจะมีเคล็ดวิชาหรือสมบัติชิ้นใด การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็สามารถสับทุกอย่างได้เป็นชิ้น ๆ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรับมือ!
หรือกล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า ‘ด้ายปราณกระบี่’ คือการควบแน่นปราณกระบี่จนเป็นเส้นที่มีความคมกว่า แข็งแกร่งกว่า และไร้เทียมทานยิ่งกว่าปราณกระบี่ถึงร้อยเท่า ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือสมบัติประเภทใดก็ล้วนถูกฟันไม่เหลือชิ้นดี ซึ่งน่ากลัวยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่าตู้เซวียนอาศัยเคล็ดสังหารฉับพลันเพื่อก้าวไปสู่ระดับของ ‘ด้ายปราณกระบี่’ เพื่อจู่โจมด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วเสียงถึงสิบเท่า โดยด้ายเส้นนั้นคมกว่าปราณกระบี่ถึงร้อยเท่า มันจึงมีพลังอำนาจที่ชวนขนหัวลุกยิ่ง
หากก่อนหน้านี้เฉินซีช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ศีรษะของเขาคงถูกตัดออกและในยามนั้น แม้ว่าจะเป็นผู้ขัดเกลากายาก็ย่อมดับสูญอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
คลื่นเสียงแปลกประหลาดของอากาศที่ถูกฟันละเอียดดังก้องออกมา มันเหนือความเร็วเสียง และด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เผยเสียงแหลมออกมา ทว่ากลับแผ่วเบาคล้ายเสียงของยุงและเป็นหนึ่งเดียวกับความล้ำลึกของที่สุดแห่งความไร้เสียง
ในบรรดาเสียงเหล่านี้คือเสียงของเส้นปราณกระบี่ที่เปลี่ยนเป็นด้ายก่อนที่จะพุ่งมาถึงเฉินซีจากทั่วทุกทิศทาง และเนื่องจากความเร็วซึ่งดูน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งของพวกมันนั้นมากเหลือ พวกมันจึงดูราวกับว่าพุ่งออกมาจากพื้นที่โดยรอบ
การสังหารฉับพลันคือการกำจัดศัตรูในชั่วพริบตา
เคล็ดสังหารฉับพลันนี้บรรจุพลังแห่งโลกาและรวบรวมพละกำลังทุกอย่างบนโลกใบนี้เอาไว้ ยิ่งกว่านั้น หลังจากตู้เซวียนเปิดใช้เคล็ดวิชานี้ มันก็เหมือนกับตาข่ายขนาดมหึมาที่ทอดออกไปทั่วฟ้าดินจนไม่เหลือแม้แต่จุดเดียว มันช่างน่าตกตะลึง รับมือยากและเผยให้เห็นเจตจำนงสังหารที่เด็ดเดี่ยว หากเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติธรรมดาก็อาจจะถูกกำจัดไปนานแล้ว
แต่ครั้งนี้เฉินซีเตรียมพร้อมมาดี เขาเปิดใช้ปีกนภาดารกะด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ทำให้ดูเหมือนแสงที่ไหลผ่านห้วงมิติและความว่างเปล่า และร่างของเขาก็สั่นไหว
ร่างของเขาสูงพันจั้งซึ่งเทียบได้กับหุบเขา และในขณะนี้ชายหนุ่มก็เคลื่อนไหวอย่างว่องไวราวกับใช้กลเคลื่อนย้าย ทำให้ผู้ชมรอบข้างตกตะลึงเมื่อเห็นเข้า พวกเขาไม่อาจเชื่อว่าเคล็ดวิชาการเคลื่อนย้ายอันน่าสะพรึงกลัวที่เหนือความเร็วแสงกระบี่จะมีอยู่จริงบนโลกนี้
ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มเคยคาดเดาว่าหากใช้ปีกนภาดารกะด้วยพละกำลังทั้งหมด มันก็อาจเทียบได้กับความเร็วเสียงถึงสิบเท่าและไม่ต่างกับการเคลื่อนย้ายข้ามมิติแม้แต่น้อย
แต่แม้ว่าเคล็ดวิชาเคล็ดสังหารฉับพลันจะรวดเร็ว นั่นก็เร็วกว่าความเร็วเสียงสิบเท่าอยู่เพียงเล็กน้อยเมื่อมันถูกใช้โดยตู้เซวียน ตราบใดที่เขาระมัดระวังก็จะสามารถหลบได้ทันเวลา
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ใจของเฉินซีหม่นหมองคือการที่เขาประเมินความน่าเกรงขามของเคล็ดวิชาเคล็ดสังหารฉับพลันต่ำเกินไป เสียงอันเบาเหมือนเสียงของยุงของปราณกระบี่ที่ฉีกท้องนภานั้นราวกับเสียงมรณะจากนรก มันเกือบจะกลืนกินพื้นที่ทั้งหมดที่เฉินซีสามารถใช้หลบได้ เส้นกระสุนวิถีของพวกมันไม่เพียงแต่จะแปลกประหลาดและไร้ความปรานีเท่านั้น มันยังหนาแน่นราวกับสายฝนที่ตกกระหน่ำโดยไม่เหลือช่องว่างแม้แต่น้อย ทำให้เขาต้องใช้พละกำลังอย่างมากในการหลบพวกมัน
เพียงช่วงเวลาหนึ่งลมหายใจ ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยแผลมากกว่าร้อยผนวกกับเลือดที่ไหลริน และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือของด้ายปราณกระบี่!
โชคยังดีที่เขาหลบได้เร็ว มิฉะนั้นเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะถูกกำจัดทิ้ง
นอกจากนี้ อาการบาดเจ็บของเขาเป็นเพียงแค่บนผิวหนัง แสงสีขาวแวบเดียวก็รักษาหายได้ ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากการขัดเกลาร่างของเขา แต่ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปปราณจ้าววิญญาณของเขาก็จะเหือดแห้งในไม่ช้าก็เร็วและคงหมดแรงจนถึงแก่กรรม!
นี่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล! พื้นที่โดยรอบถูกเคล็ดสังหารฉับพลันปิดกั้นหมดแล้ว หากฝ่าทางกั้นนี้ไม่ได้ ข้าก็คงเป็นเหมือนเต่าในขวดโหลและถูกกักขังจนตาย’ เฉินซีพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลบเคล็ดสังหารฉับพลันที่มีอยู่ทุกที่พลางรีบคิดในใจ บัดนี้ เขาเหมือนกับแมลงที่ตกลงไปในใยแมงมุมและกำลังคิดหาทางหนี