บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 575 มองเห็นสัจธรรม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 575 มองเห็นสัจธรรม

บทที่ 575 มองเห็นสัจธรรม

บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก

ร่างกายของตู้เซวียนแผ่กลิ่นอายที่แหลมคมของโลหะและเปล่งประกายดุจจันทร์เพ็ญสีทอง ผนึกที่ลึกล้ำและหนาแน่นกำลังก่อตัวขึ้นในมือของเขาไม่หยุด ในขณะที่ปราณกระบี่ได้ระเบิดออกมาราวกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว

ปราณกระบี่ทุกเล่มนั้นละเอียดดุจเส้นผมและถูกสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นตาข่ายขนาดมหึมา ซึ่งพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วเสียงนับสิบเท่า อีกทั้งยังมีกลิ่นอายอันเฉียบคม เพื่อสร้างตาข่ายขนาดมหึมาที่พุ่งออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าความเร็วเสียงสิบ!

เฉินซีเป็นดั่งแมลงที่ติดอยู่ในตาข่ายขนาดมหึมา ไม่ว่าเขาจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงและหมดสิ้นหนทาง ร่างกายของเขาอาบไปด้วยเลือดและเต็มไปด้วยบาดแผลอันน่าสยดสยองที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งนี้คือ ‘เคล็ดสังหารฉับพลัน’ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนพลังฟ้าดินให้กลายเป็นพลังของตนเอง และพลังโจมตีอันดุเดือดนี้ก็เป็นสิ่งที่กระบวนยุทธ์ระดับเต๋าไม่สามารถเทียบได้

เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนต่างตกตะลึงอยู่ในใจและพวกเขาก็รู้สึกว่า หากแทนที่พวกตนกับเฉินซีแล้วละก็ พวกเขาคงถูกบดขยี้ด้วยปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวไปตั้งนานแล้ว

“ศิษย์น้องตู้เซวียนได้บ่มเพาะเคล็ดสังหารฉับพลันจนเชี่ยวชาญเป็นอย่างยิ่ง มันเต็มไปด้วยจิตสังหารและความเฉียบคมที่ไม่มีใครเทียบได้ หากมันก้าวหน้าไปอีกขั้น มันอาจสามารถฉีกมิติและทำลายเคล็ดวิชาทั้งหมดได้” เหลิ่งชิวกล่าวเบา ๆ และน้ำเสียงของเขาก็มีร่องรอยความชื่นชม

“ฮ่า ๆ ใช่แล้ว น่าเสียดาย แม้ศิษย์น้องตู้จะเป็นฝ่ายได้ชัยชนะ แต่เขาก็ชนะอย่างไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เพราะเฉินซีเพิ่งเข้าร่วมกับนิกายและยังไม่ได้บ่มเพาะศาสตร์เต๋า การที่เขาสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ นับว่าหาได้ยากในหมู่คนรุ่นเดียวกันแล้ว” ผางโจวกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้มออกมา

หลังจากการต่อสู้ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ ทั้งสองคนก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเฉินซีจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ทว่ากลับมีบางคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากพวกเขา

“ศิษย์น้องเฉินซีไม่เคยสัมผัสกับศาสตร์เต๋ามาก่อน ดังนั้นเขาย่อมระวังตัวอยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ยังมิอาจด่วนสรุปได้” เสียงนี้ลึกล้ำและก้องกังวาน มันให้ความรู้สึกเย็นชาและรุนแรงของการต่อสู้ และเจ้าของเสียงนี้ก็คือเซี่ยอี้แห่งยอดเขาจรัสใต้!

เมื่อเห็นชายหนุ่มที่มักจะนิ่งเงียบเหมือนก้อนหิน จู่ ๆ ก็กล่าวขึ้นมา เหลิ่งชิวกับผางโจวต่างก็ตกตะลึงเล็กน้อย เพราะเท่าที่พวกเขาทราบมา คนผู้นี้มักเงียบขรึมและไม่ค่อยกล่าววาจา ซึ่งในหนึ่งวันเขาแทบไม่กล่าวอะไรเลยสักคำ

แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับเปิดปากเพื่อสนับสนุนเฉินซี สิ่งนี้จึงดึงความสนใจจากพวกเขาสองคนเป็นพิเศษ

พวกเขาไม่กล่าวอะไรอีกต่อไป จากนั้นทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังสนามรบ หลังจากที่พวกเขาเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง มันก็เป็นอย่างที่เซี่ยอี้กล่าวจริง ๆ แม้เฉินซีจะดูเหมือนติดอยู่ในวงล้อมและไม่สามารถดิ้นรนให้เป็นอิสระ อีกทั้งยังอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ทว่าท่าทางและสายตาของชายหนุ่มกลับไม่มีความตื่นตระหนก ทั้งยังสงบนิ่งดุจหิมะอันเยียบเย็น

เขาในขณะนี้เป็นดั่งหมาป่าเดียวดายที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แม้ว่าร่างกายจะอาบไปด้วยเลือด ในขณะที่อาการบาดเจ็บของเขาก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย ทว่ามันก็ไม่อาจทำลายความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดและความตั้งใจที่จะเอาชนะของเฉินซีได้!

การค้นพบนี้ทำให้ทั้งเหลิ่งชิวและผางโจวประหลาดใจ ในแง่หนึ่ง พวกเขารู้สึกประหลาดใจกับสายตาอันเฉียบคมของเซี่ยอี้ แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขารู้สึกตกใจกับความดื้อรั้นและความมุ่งมั่นของเฉินซี

สิ่งนี้ทำให้ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะประเมินศิษย์ใหม่คนนี้อีกครั้ง เขามีพรสวรรค์ ความแข็งแกร่ง และความดื้อรั้นที่น่าตกใจ ถ้าให้เวลามากกว่านี้ เขาจะเติบโตไปถึงระดับใดกัน?

“ท่านพี่ ท่านจะไม่ลงมือหรือ?” อันเคอรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะตอนนี้เฉินซีอาบไปด้วยเลือดและสถานการณ์ของเขาก็ไม่สู้ดีนัก จึงทำให้นางไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป

“รออีกสักพัก อาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น” อันเวยจ้องมองไปที่การต่อสู้ด้วยดวงตาที่ใสกระจ่างและเปล่งประกาย จากนั้นนางก็ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวประโยคหนึ่งออกมาจากริมฝีปากสีแดงอันงดงาม

ฟ่อ! ฟ่อ!

ปราณกระบี่ที่เล็กราวกับเส้นด้ายได้ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน มันโปรยปรายลงมาดั่งสายฝนและปกคลุมบริเวณโดยรอบทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น อานุภาพของมันก็รุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ความถี่ของการโจมตีก็ใกล้เข้ามามากขึ้น มันเหมือนกับตาข่ายขนาดมหึมาที่ค่อย ๆ ถูกดึงและเริ่มลากเหยื่อเข้ามา

เมื่อเห็นชายหนนุ่มอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีภายใต้ศาสตร์เต๋าของเขา ตู้เซวียนก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง เคล็ดสังหารฉับพลันของเขาอาศัยพลังฟ้าดิน และยิ่งยืนหยัดนานเท่าไร พลังของมันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ปริมาณปราณแท้ที่ใช้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยิ่งการต่อสู้ครั้งนี้ยืดเยื้อมากเท่าไร เขาก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น

แน่นอนว่าสถานะของเฉินซีแย่ลงและบาดแผลที่อาบไปด้วยเลือดก็ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา

แม้ว่าบาดแผลเหล่านี้จะหายวับไปในพริบตา แต่ก็ทำให้ตู้เซวียนอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันอย่างสาแก่ใจ “เฉินซี! จงกระเสือกกระสนต่อสู้ซะ! แล้วเพลิดเพลินไปกับความเจ็บปวดจากการถูกฟันด้วยกระบี่นับไม่ถ้วน! ฮ่า ๆ! โอ้! เจ้าได้รับบาดเจ็บอีกแล้ว ช่างน่าสมเพชจริง ๆ!”

ตู้เซวียนเย้ยหยันเช่นแมวหยอกหนูอย่างที่เจ้าตัวโปรดปราน ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเฉินซีที่กำลังดิ้นรน ราวกับไม่ต้องการพลาดสิ่งใดไปแม้แต่นิดเดียว

“จุ๊ จุ๊ จุ๊ เจ้านี่มันดื้อด้านจริง ๆ! น่าเสียดายที่การกระทำทั้งหมดนี้เป็นเพียงตั๊กแตนตำข้าวคิดขวางทางเกวียน และเจ้ากำลังประเมินความสามารถของตนเองสูงเกินไป! นี่จึงเป็นจุดจบของการเป็นศัตรูกับยอดเขาจรัสตะวันออกของข้า!” ตู้เซวียนหัวเราะอย่างเย็นชาโดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจ

ความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยน้ำมือของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ ทำให้เขาสะสมความแค้นเอาไว้เต็มท้อง และในที่สุดก็มีโอกาสที่จะแก้แค้น ดังนั้นเขาจะปล่อยให้มันหลุดมือไปได้อย่างไร?

ฉีกหน้า!

เขาต้องการทำให้เฉินซีอับอายอย่างรุนแรง เขาต้องการให้มันเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคนและไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้อีกตลอดชีวิต!

เมื่อเห็นฉากนี้ คนส่วนใหญ่ต่างจ้องมองด้วยความสงสารและถอนหายใจซ้ำ ๆ พวกเขาล้วนรู้ซึ้งถึงนิสัยที่โหดเหี้ยมและอาฆาตของตู้เซวียน ยิ่งกว่านั้น คนผู้นี้จะไม่หยุดทรมานคู่ต่อสู้จนกว่าเขาจะพอใจ!

เฉินซีที่ถูกด้ายปราณกระบี่ปิดล้อม ยังคงนิ่งเงียบและพยายามต้านทานอย่างขมขื่น แต่ทุกคนไม่ได้สังเกตว่า ดวงตาแนวตั้งที่ปรากฏบนหว่างคิ้วของชายหนุ่มค่อย ๆ กลายเป็นสีดำสนิทจนน่าสะพรึง!

เฉินซีใช้ปีกนภาดารกะด้วยพลังทั้งหมดของเขา ทะยานไปมาอยู่ในท้องฟ้าเพื่อหลบหลีกด้ายปราณกระบี่ คิ้วของเขาขมวดแน่น สีหน้าจริงจัง และไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเวลาผ่านไป เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงแรงกดดันที่ทวีคูณขึ้น และชายหนุ่มจำเป็นต้องใช้พลังให้เกินจำกัดถึงสองส่วน เพราะความเป็นประมาทเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เขาถูกกำจัดโดยการโจมตีที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับพลังของศาสตร์เต๋า ซึ่งแตกต่างจากเคล็ดวิชาต่อสู้ที่เคยพบในอดีต และศาสตร์เต๋าที่ว่าก็มีพลังพิเศษที่กลมกลืนกับฟ้าดิน รวมทั้งมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!

แต่เขาไม่มีความคิดที่จะยอมแพ้ ชายหนุ่มได้ใช้เนตรเทวะแห่งความจริงเพื่อมองผ่านข้อบกพร่องของศาสตร์เต๋านี้ และจับจ้องไปยังด้ายปราณกระบี่ที่พุ่งผ่านเขาอย่างไม่วางตา

ในขณะนี้ เฉินซีสงบนิ่งเกินผิดปกติ จิตใจของเขาว่างเปล่า และด้ายปราณกระบี่ที่เขาจดจ้องก็แวบผ่านเหมือนเงาภายในเนตรเทวะแห่งความจริงที่หว่างคิ้ว!

‘ข้าจะทำลายเคล็ดวิชานี้อย่างไรกัน?’

‘หรือด้ายปราณกระบี่เหล่านี้ไม่มีจุดอ่อนเลย?’

‘ไม่สิ มหาเต๋านั้นไร้รูปร่าง แต่มันจะทิ้งรอยไว้เสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า เต๋าไม่เคยสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข ดังนั้นไม่ว่าศาสตร์เต๋าใด ๆ ก็น่าจะมีข้อบกพร่อง’

เฉินซีจดจ้องอย่างไม่กะพริบตา ในขณะที่จิตใจของเขาก็มีสมาธิอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเขาก็ไม่ทันสังเกตว่า มีแสงสีดำสนิทที่น่ากลัวกำลังไหลเวียนอยู่ภายในเนตรเทวะแห่งความจริงซึ่งอยู่ที่หว่างคิ้ว!

วูบ!

หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเนิ่นนาน จู่ ๆ เฉินซีก็รู้สึกว่าที่หว่างคิ้วของตนสั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน เพียงชั่วพริบตาต่อมา ฉากทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็สะท้อนอยู่ในจิตใจของเขาอย่างสมบูรณ์

รอยแยกบนเทือกเขา เส้นชีพจรในแผ่นดินหรือทุกการเปลี่ยนแปลงในกระแสลมบนท้องฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสะท้อนอยู่ในใจของเขาทันที และชายหนุ่มก็มีความรู้สึกราวกับว่าได้มองเห็นสัจธรรม ซึ่งทะลุทะลวงผ่านพื้นผิวและเห็นแก่นแท้โดยตรง

เฉินซีรู้สึกว่าการจ้องมองของเขาสามารถมองผ่านอวกาศและทะลุผ่านไปยังพิภพที่อยู่ในอวกาศได้!

ยิ่งกว่านั้น เวลาดูราวกับจะยืดยาวออกไป และช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เฉินซีสังเกตเห็นอย่างเฉียบขาดว่า ด้ายปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามานั้นเหมือนกับหอยทากที่บินผ่านไป และรายละเอียดของมันก็ผ่านเข้ามาในดวงตาของเขาอย่างชัดเจนและหมดจด

ตู้เซวียนที่อยู่ห่างออกไปไกลกำลังสร้างผนึกด้วยมือของเขาก็มีการเคลื่อนไหวที่ช้าลงเช่นกัน และเหมือนกับว่าทุกการเคลื่อนไหวกำลังถูกเผยให้ดู ก่อนที่จะปรากฏในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน…

มันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบหมุนช้าลง และมันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอย่างสุดขั้ว

ถึงขั้นทำให้เฉินซีเข้าใจผิดว่าหากเขายื่นมือออกไปและคว้าจับโดยไม่ตั้งใจ เขาจะสามารถคว้าด้ายปราณกระบี่ได้อย่างง่ายดาย!

โอม!

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีเพิ่งมีความคิดที่จะทำลายด้ายปราณกระบี่ที่อยู่ตรงหน้า มิติก็สั่นสะท้านทันที ก่อนที่ลำแสงจะพุ่งออกมาจากเนตรเทวะแห่งความจริงอย่างรุนแรง ลำแสงนั้นไหลเวียนด้วยประกายแสงสีดำ เข้าทำลายด้ายปราณกระบี่จนแตกเป็นเสี่ยง ๆ!

เฉินซีรู้สึกราวกับว่า ด้ายปราณกระบี่เส้นนั้นเป็นเหมือนกับกระดาษที่ไม่อาจต้านทานการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว

แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า ด้ายปราณกระบี่นั้นแข็งแกร่งเพียงใด เพราะมันถูกควบแน่นจนถึงขีดสุด อีกทั้งยังทรงอานุภาพและเฉียบคมอย่างสุดขั้ว!

ทว่าตอนนี้มันกลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ซึ่งนี่เป็นข้อบ่งชี้ว่าลำแสงที่พุ่งออกมาจากเนตรเทวะแห่งความจริงนั้น มีอานุภาพที่ทรงพลังยิ่งกว่าด้ายปราณกระบี่!

‘เนตรเทวะแห่งความจริงนั้นทรงพลังยิ่งนัก ไม่เพียงแต่สามารถมองเห็นสัจธรรมและทะลุผ่านพื้นผิวของสิ่งต่าง ๆ เพื่อดูแก่นแท้ของมัน แต่มันทำให้ทุกสิ่งในโลกดูราวกับช้าลง อีกทั้งยังสามารถระเบิดแสงสีดำเพื่อโจมตีได้อีกเช่นกัน… หรือนี่คือพลังที่แท้จริงของเนตรเทวะแห่งความจริง?’ ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของเขา ก่อนที่ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีจะหลับตาลง และมีเพียงดวงตาแนวตั้งที่หว่างคิ้วของเขาเท่านั้นที่กวาดมองไปโดยรอบ

ตู้เซวียนที่กำลังอิ่มเอมใจพลันตกตะลึงทันที “เจ้าเฉินซีมันหลับตาลงจริง ๆ! นี่มันกำลังวางแผนอะไรอยู่? หรือมันตั้งใจที่จะยอมแพ้แล้ว? ฮึ่ม! นี่มันคิดว่าข้าจะปล่อยมันไปเพียงเพราะทำเช่นนี้หรือ!”

ชายหนุ่มเย้ยหยัน ดวงตาของเขาฉายแววเย็นชาและไร้ความปรานี เขายังไม่ทำให้เฉินซีต้องอับอายจนสาแก่ใจ และก่อนหน้านี้เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น ซึ่งอาหารจานหลักกำลังจะเป็นการโจมตีครั้งต่อไป!

“หืม?” แต่ในขณะนี้ ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง ในขณะที่ใบหน้าเย้ยหยันก็แข็งทื่อไป!

ท่ามกลางด้ายปราณกระบี่ที่เป็นเหมือนตาข่ายขนาดมหึมา เฉินซีที่กำลังหลับตาได้เคลื่อนไหวไปมาดุจผีเสื้อที่โบยบินอยู่ในสวนดอกไม้อย่างไร้พันธนาการและแม่นยำจนปราณกระบี่ที่ปกคลุมอยู่ทั่วฟ้าดินไม่อาจสัมผัสแม้แต่ชายเสื้อ!

“นี่มันอันใดกัน…!?”

ลางสังหรณ์ไม่ดีได้ผุดขึ้นในใจของตู้เซวียน เมื่อครู่นี้เฉินซียังมีสภาวะที่ไม่สู้ดีและเหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกขังอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับดูเหมือนกำลังเดินเล่นอย่างเอ้อระเหยในลานบ้าน หรือการกระทำก่อนหน้านี้อีกฝ่ายจงใจแกล้งทำ?

“ช้าก่อน!”

“ต้องเป็นเพราะดวงตาที่หว่างคิ้วของเขาอย่างแน่นอน!”

ทันใดนั้น ตู้เซวียนพลันสังเกตเห็นว่ามีรอยกรีดอยู่ที่ระหว่างคิ้วของเฉินซี และภายในรอยกรีดนั้นเป็นดวงตาแนวตั้งสีดำสนิทที่น่ากลัวกำลังส่องประกาย

“นี่มันคือเคล็ดวิชาบ่มเพาะอะไรกัน?”

หรือว่ามันเป็นคนของชนเผ่าอสูรตาเดียว!?

‘ไม่สิ ชนเผ่าอสูรตาเดียว มีดวงตาเพียงดวงเดียวที่หว่างคิ้ว และพวกเขาไม่มีดวงตาอีกคู่ ซึ่งแตกต่างจากตรงหน้าอย่างสิ้นเชิง’

ความคิดผุดขึ้นในใจของตู้เซวียนอย่างไม่รู้จบ จนเขารู้สึกประหลาดใจและงุนงง ในขณะที่ลางสังหรณ์ไม่ดีในใจของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาแนวตั้งนั้นผิดปกติเกินไป และทำให้เขาไม่สามารถมองต้นกำเนิดของมันออก!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท