บทที่ 580 สถานการณ์พลิกผัน
บทที่ 580 สถานการณ์พลิกผัน
เสียงคำรามของตู้เซวียนนั้นเข้มแข็งดุดัน เขาแสดงท่าทางยอมตายเสียดีกว่ายอมจำนน อีกทั้งเสียงนี้ยังสะท้อนก้องอยู่ภายในใจของทุกคน
ขอเลือกตายดีกว่ายอมรับความอัปยศอดสู ในฐานะหนึ่งในห้าศิษย์ชั้นสูงแห่งตระกูลอีกาวิญญาณ จะยอมคุกเข่าขอโทษได้อย่างไร?
หากเขาทำเช่นนั้นจริง จะเหลือศักดิ์ศรีอะไรเพื่อยืนหยัดในนิกาย?
“หนวกหู!” เฉินซีสนใจว่าอีกฝ่ายกำลังยอมจำนนหรือไม่จากท่าทางที่แสดงอยู่ เขาเพียงฟาดสันมือลงบนลำคอของตู้เซวียนโดยตรง ทำให้ศีรษะที่เงยขึ้นมาถูกกดลงอีกครั้ง
ตัวคนดูราวกับว่ากำลังก้มหัวให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น และมันก็น่าขายหน้าอย่างสุดจะพรรณนา ตู้เซวียนโกรธจนเลือดพุ่งขึ้นคอและพ่นออกมาจากปากของเขาอีกครั้ง สายตาคู่นั้นเผยความไม่พอใจจนถึงจุดที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการเชือดเฉินซีและกลืนกินอีกฝ่ายทั้งเป็น
แม้จะใช้สมองคิดเพียงใดก็ตาม เขาก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมันถึงเก่งกาจเช่นนี้ เขาถึงกับเผยตัวตนในฐานะสมาชิกของตระกูลอีกาวิญญาณเพื่อใช้คุกคามเฉินซีแล้ว ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย! มันจะไม่กล้าไปหน่อยหรือ?
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างประหลาดใจมากกว่าเดิมเมื่อเห็นสิ่งนี้ และสัมผัสได้ว่าเฉินซีนั้นช่างเก่งกาจและทรงอำนาจเหนืออีกฝ่าย
“พอได้แล้ว!” เวินหัวถิงทนไม่ได้อีกต่อไป เขาขมวดคิ้วและหยุดเฉินซีด้วยเสียงตะโกน
เฉินซีเริ่มแสดงอาการขาดความอดทนและดุดันเกินรับไหว ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจเก็บอาการได้อีกต่อไป ด้วยรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงตัวก่อปัญหาที่แสนจะโอหัง บ้าบิ่น ไม่สนใจปัญหาที่ใหญ่กว่า ไม่รู้จักเจียมตัวและน่าปวดหัวยิ่งนัก
หากไม่ใช่เพราะเขาทราบว่าเฉินซีเป็นศิษย์คนแรกที่ขึ้นไปบนแท่นดอกบัวได้ในรอบพันปี และยังมีพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่าเกรงขามอย่างเนตรเทวะแห่งความจริง เขาคงจะสะบัดแขนเสื้อจากไปตั้งนานแล้ว
แต่ถึงกระนั้น ท่าทางที่เฉินซีแสดงออกมาในวันนี้ทำให้เขาค่อนข้างผิดหวัง ความประทับใจที่มีต่อชายหนุ่มลดฮวบจนถึงระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ประเด็นนี้จะถูกจัดการตามที่ข้าบอก ส่วนตู้เซวียน เขาจะได้รับคำสั่งชั่วคราวให้ไปปิดด่านบ่มเพาะเพื่อชำระใจและออกมาอีกทีเมื่อบรรลุขอบเขตสถิตกายา!” สายตาที่กวาดไปรอบ ๆ ของเวินหัวถิงเป็นเหมือนสายฟ้าเย็นวาบ และเผยน้ำเสียงที่ไม่มีผู้ใดคัดค้านได้ ในขณะนี้ เขาได้เปล่งกลิ่นอายแห่งการควบคุมสรรพสิ่งและปกครองโลกอันแสนโอ่อ่า แสดงให้เห็นถึงการแบกรับภาระของประมุขนิกายอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ใช่แค่ศิษย์ที่อยู่โดยรอบเท่านั้น แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสก็รู้สึกวิตกกังวลและไม่กล้ากล่าวอะไรต่อ
มีเพียงผู้อาวุโสเยว่ฉือเท่านั้นที่เหลียวมองเฉินซีด้วยสายตาเย็นชา ซึ่งเผยให้เห็นความเกลียดชังและโทสะอย่างเปิดเผย เขาตัดสินใจแล้วว่าจะหาโอกาสในวันข้างหน้ากำราบเด็กคนนี้ให้สิ้นซาก!
ยิ่งไปกว่านั้น เยว่ฉือยังรับรู้ว่าประมุขนิกายกับบรรดาผู้อาวุโสรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และนี่เป็นโอกาสของตน! เมื่อใดที่จะต้องจัดการกับเฉินซีในอนาคต ท่านประมุขนิกายและคนอื่น ๆ อาจจะไม่ทำตัวเหมือนที่ทำในวันนี้ และละทิ้งความพยายามในปกป้องเฉินซีไป
“จงเย่อหยิ่งจนสุดใจ เมื่อทุกคนหมดความเชื่อใจในตัวเจ้าแล้ว มาดูกันว่าใครจะช่วยเจ้าได้ในวันข้างหน้า!” เยว่ฉือมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งอยู่ไกลห่าง ในใจกำลังเย้ยหยันไม่หยุด
หลังจากที่เวินหัวถิงตัดสินใจแล้ว ผู้อาวุโสเยว่ฉือยังคงเงียบงันในขณะที่ตู้เซวียนก้มศีรษะลง ไม่ส่งเสียงแต่อย่างใด ดูราวกับว่าพวกเขาจะยอมรับการตัดสินใจนี้ เมื่อผู้คนเห็นสิ่งนี้ก็รับรู้ได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้กำลังยุติลง และดูเหมือนเฉินซีจะกลายเป็นผู้ชนะเพียงผู้เดียว
ทว่าผู้คนกลับไม่เข้าข้างเขา แม้ว่าเฉินซีจะเป็นฝ่ายที่ถูกต้องมาเสมอเมื่อก่อนหน้านี้ อีกทั้งการกระทำยังสมเหตุสมผล แต่ชายหนุ่มก็ดุดัน โอหัง และขาดความยับยั้งชั่งใจเกินไป เขาทำให้เหล่าคนระดับสูงรู้สึกผิดหวังในตัวเขาอย่างยิ่ง และสิ่งนี้จะกลายเป็นข้อเสียเปรียบอย่างหนักต่อเขาในวันข้างหน้า
เพราะในที่สุดวิปลาสหลิ่วผู้เป็นปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันตกก็ได้จากไปแล้ว ในขณะที่เขาเป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในนิกายและไม่มีที่พึ่งพาแต่อย่างใด เขาไม่เพียงแต่จะทำให้ทั้งยอดเขาจรัสตะวันออกขุ่นเคือง ที่ร้ายแรงกว่าคือยังทำให้เหล่าคนระดับสูงผิดหวัง ดังนั้นสถานการณ์ของเขาจะดีขึ้นในวันข้างหน้าได้อย่างไร?
“ท่านประมุขนิกาย รอประเดี๋ยวขอรับ!” ทว่าเมื่อเวินหัวถิงกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ กำลังจะหันกลับพร้อมกับความตั้งใจที่จะจากไป เสียงของเฉินซีก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง และดูเหมือนว่าจะเสียดหูเป็นพิเศษในบรรยากาศที่เงียบงันนี้
เขาต้องการจะทำอะไรอีก?!
ศิษย์ที่อยู่โดยรอบตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงนี้ พวกเขามองไปยังเฉินซีราวกับว่ากำลังดูสัตว์ประหลาด ท่านประมุขนิกายได้ให้คำตัดสินแล้ว หรือว่าเขาจะไม่ยอมเลิกรังควาน?
แม้แต่เวินหัวถิงกับเหล่าผู้อาวุโสก็ยังเผยสีหน้ามึนตึงในชั่วพริบตา ดวงตาแฝงความโกรธแค้น ไอ้ตัวแสบนี่ต้องการอะไรกันแน่? นี่ไม่ต่างอะไรกับการได้คืบจะเอาศอก!
“เฉินซี เจ้าต้องการจะพูดอันใดอีก?” เวินหัวถิงสูดหายใจเข้าพลางข่มกลั้นความรำคาญในใจ ก่อนที่จะถามโดยไม่ใส่อารมณ์ ทว่าน้ำเสียงของเขาไม่ได้ปิดบังความไม่พอใจแม้แต่น้อย
ถูกต้อง เขาไม่พอใจอย่างมาก!!
รู้สึกว่าก่อนหน้านี้เขาทำดีกับเจ้าเด็กนี่มากเกินไป หากไม่ใช่เพราะเช่นนั้น เฉินซีได้คืบจะเอาศอกเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนจึงทราบอย่างชัดเจนในทันทีว่าเฉินซีได้แหย่รังแตนเข้าให้แล้ว หากเขากล้าเสนอคำขอใด ๆ แม้ว่าจะสมเหตุสมผล สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องทนรับคำปฏิเสธและแม้แต่ต้องรับการลงโทษจากประมุขนิกาย!
ในทางกลับกัน ผู้อาวุโสเยว่ฉือกับบรรดาศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกกลับหัวเราะเยาะเย้ยอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด พวกเขามองว่าเฉินซีเป็นคนหุนหันพลันแล่น ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ พวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มทะนงตัวจากการได้รับความโปรดปราน ไม่รู้จักหยุดและจะตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตารังเกียจที่จ้องเขม็งมาจากทั่วทุกสารทิศ ท่าทางของเฉินซีกลับสงบนิ่งและไม่แยแสแต่อย่างใด เขาก้าวไปข้างหน้าพลางกำหมัดไปที่ประมุขนิกาย “ข้าเพิ่งกลับจากแท่นดอกบัวก่อนหน้านี้ และข้าได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสบางท่านให้นำสิ่งของบางอย่างมาให้ท่าน”
“โอ้?” สีหน้าของเวินหัวถิงผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พูดตามตรง เขาได้เตรียมการไว้แล้วว่า ไม่ว่าคำขอของชายหนุ่มคืออะไร ก็จะตอบปฏิเสธในทันทีโดยไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแต่อย่างใด
ทว่าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เซ้าซี้หรือขออะไรที่เกินไป แต่กลับมีของที่จะให้แทน เขาก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธด้วยใบหน้าเย็นชาได้
คนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาไม่อาจเข้าใจว่าเฉินซีกำลังทำอะไร
“เหอะ ไอ้นี่มันไม่ใช่คนงี่เง่า เขารับรู้ได้ว่าประมุขนิกายและคนอื่น ๆ รู้สึกผิดหวัง จึงตั้งใจที่จะใช้สมบัติเพื่อซื้อใจท่านประมุข”
“ซื้อใจ? ดูแล้วเหมือนกำลังติดสินบนมากกว่า! แต่เจ้านี่มันแปลกจริง ๆ เขาติดสินบนกับประมุขนิกายต่อหน้าทุกคน ช่างไร้สาระยิ่งนัก”
“ย่อมใช่ ในฐานะของประมุขนิกาย จะมีสมบัติอะไรที่เขาไม่เคยพบเจอ? จะไปติดใจสมบัติที่เฉินซีเสนอให้ได้อย่างไร?”
“เงียบก่อน ไม่ได้ยินรึว่าเฉินซีได้รับความไว้วางใจจากผู้อาวุโสของนิกายให้นำสิ่งของบางอย่างไปให้ประมุขนิกาย? มันอาจเป็นสมบัติพิเศษก็ได้”
“เหอะ! ไม่ว่ามันจะพิเศษเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ประมุขนิกายและคนอื่น ๆ หายผิดหวัง!”
ทุกคนกระซิบกระซาบถกเถียงกัน ในใจกำลังคาดเดาว่าเฉินซีต้องการบรรลุเป้าหมายอะไรจากการทำเช่นนี้
“เฉินซี ผู้อาวุโสคนใดมอบหมายให้เจ้าทำสิ่งนี้?” เวินหัวถิงกล่าวอย่างเนิบนาบ อันที่จริงเขามีคำตอบอยู่ในใจพอสังเขปอยู่แล้ว เพราะในบรรดาผู้อาวุโสของนิกายที่ชายหนุ่มสามารถพบเจอได้นั้น ก็ย่อมเป็นท่านอาจารย์ลุงที่เฝ้าหอหมื่นคำภีร์
ท่านอาจารย์ลุงเก็บตัวมานานหลายปีแล้ว และมักจะเฝ้าหอหมื่นคัมภีร์อยู่ด้านนอก แม้จะละทิ้งเรื่องทางโลก ทว่าพละกำลังของเขานั้นไม่อาจหยั่งถึงได้ เมื่อหลายปีก่อนคนผู้นี้เคยเป็นดั่งผู้ยิ่งใหญ่ที่ท่องไปทั่วโลกอย่างอิสระและมีชื่อเสียงเรียงนามไปทั่วแดนภวังค์ทมิฬ
แม้จะเป็นประมุขนิกายก็ตาม เขายังต้องเคารพและยำเกรงทุกครั้งที่ได้พบกับท่านอาจารย์ลุงผู้นี้ ไม่กล้าดูหมิ่นแม้แต่น้อย! ซึ่งผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เองก็มีความคิดคล้ายกับเวินหัวถิง ทว่าพวกเขาอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากว่า ท่านอาจารย์ลุงมอบหมายให้เฉินซีมอบสิ่งใดกับประมุขนิกาย?
“ผู้อาวุโสท่านนั้นเรียกตนเองว่าเต๋าบงกช…” เฉินซีตอบ ทว่ายังกล่าวไม่เสร็จก็สังเกตเห็นว่าบรรยากาศผิดแปลกไป เพราะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบรรดาผู้อาวุโสรวมถึงประมุขนิกายนั้นแข็งทื่อ ม่านตาของพวกเขาขยายออก ท่าทีค่อนข้างแปลกประหลาด ดูชะงักงันและไม่เชื่อสายตา ในขณะที่ศิษย์ที่อยู่โดยรอบแสดงสีหน้างุนงงและไม่มีปฏิกิริยาที่แปลกไปแต่อย่างใด
“เจ้าบอกว่า…เจ้าเห็นผู้อาวุโสเต๋าบงกช?” เวินหัวถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นและตะลึงงันที่เก็บไม่อยู่
“พูดสิ ไอ้บัดซบ! รีบ ๆ พูด!” โดยไม่ทันได้กล่าวสิ่งใด ผู้อาวุโสอีกคนที่กำลังมีอารมณ์ฉุนเฉียวก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้นเสียแล้ว
“ใช่ขอรับ” เฉินซีพยักหน้า เขาเองก็เริ่มนึกสงสัยเช่นกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาเคยได้ยินชื่อและเคยพบเจอเต๋าบงกชมาก่อน?
“มันเป็นเรื่องจริง!”
“ผ่านมากี่ปีแล้ว! ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนมาถึงปัจจุบัน ผู้อาวุโสเต๋าบงกชไม่ได้ปรากฏตัวมาเนิ่นนาน ข้าคิดว่าเขาจะจากเราไปนานแล้ว แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า… เขายังอยู่ที่นี่!” บรรดาผู้อาวุโสกำลังรำลึกถึงอดีต พวกเขาส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัวราวกับอยู่ในสภาพวิกลจริต ละทิ้งความเป็นผู้ดีไปโดยสิ้นเชิง
ฉากนี้ทำให้เหล่าลูกศิษย์ตกตะลึง ในใจเต็มไปด้วยความงุนงง ใครคือผู้อาวุโสเต๋าบงกชกันแน่? เหตุใดเขาถึงทำให้ประมุขนิกายและคนอื่น ๆ รู้สึกตื่นเต้นยิ่งนักเพียงแค่ได้ยินชื่อ?
นอกจากนั้นสายตาที่พวกเขาจ้องไปยังเฉินซีก็แปลกเช่นกัน เจ้านี่พบกับผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายจริง ช่างเป็นเรื่องที่ท้าชะตาสวรรค์อะไรอย่างนี้?
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะกล้าแสดงท่าทางไม่เกรงกลัว ปรากฏว่าเขามีสิ่งนี้เป็นที่พึ่งพา หากเป็นเช่นนี้ท่านประมุขนิกายและคนอื่น ๆ จะโกรธเคืองการกระทำของเขาก่อนหน้านี้ได้อย่างไร?” อันเวยเม้มปากสีแดงเล็กน้อยขณะที่พึมพำ ใบหน้าที่สง่างามของนางเจือความตกตะลึง
ด้วยพรสวรรค์ของนาง จึงไม่ต้องสงสัยว่านางเคยได้ยินเรื่องที่ว่าภายในอาณาเขตลับบนยอดของแท่นดอกบัวนั้นมีผู้อาวุโสที่มีภูมิหลังลึกลับและยากจะหยั่งรู้กำลังบ่มเพาะอยู่ที่นั่น ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าเขาถูกสร้างขึ้นจากเจตจำนงอันเป็นของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกาย การบ่มเพาะของเขานั้นสูงยิ่งและได้ปกป้องนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมาหลายปีนับไม่ถ้วน
ทว่าตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนถึงบัดนี้ ผู้อาวุโสคนนั้นก็ไม่เคยปรากฏตัว ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาถูกปิดเป็นความลับของนิกาย ไม่ได้เผยแพร่ออกไปและมีเพียงไม่กี่คนที่ทราบ
หากไม่ใช่เพราะนางเคยขึ้นไปถึงชั้นที่เก้าของแท่นดอกบัวแล้ว ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทราบว่ามีบุคคลที่ยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้อยู่บนแท่นดอกบัวจริง
เมื่อได้ยินว่าเฉินซียืนยันกับตัวว่าเห็นผู้อาวุโสคนนั้น แม้แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะริษยา โชคของเขาช่างดีเกินกว่าจะหาใครเทียบได้!
“ผู้อาวุโสเต๋าบงกชได้กล่าวอะไรไว้กับเจ้าบ้าง?” เวินหัวถิงสูดหายใจเข้าพลางเก็บอาการตื่นเต้นไว้ในใจในขณะค่อย ๆ ซักถาม สายตาที่ส่งให้เฉินซีได้เปลี่ยนเป็นความเมตตาและเป็นมิตรแทน
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เองก็จ้องเขม็งไปยังชายหนุ่มด้วยกำลังใจและความคาดหวัง ความรู้สึกไม่ดีที่เคยมีต่ออีกฝ่ายนั้นได้หายไปนานแล้ว
มีเพียงเยว่ฉือเท่านั้นที่มีสีหน้าอัปลักษณ์ยิ่ง เป็นใบหน้าถมึงทึงสุดขีด บัดนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ไอ้เวรนี่ไม่ใช่คนใจร้อนที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ แต่ที่กล้าท้าทายเขาซึ่ง ๆ หน้าได้นั้นก็เพราะมีที่พึ่งพา!