บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 584 หยั่งรู้กระบวนท่าล้ำลึก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 584 หยั่งรู้กระบวนท่าล้ำลึก

บทที่ 584 หยั่งรู้กระบวนท่าล้ำลึก

ขอบเขตจุตินั้นมีอยู่เจ็ดระดับ ซึ่งมาจากอารมณ์ทั้งเจ็ดของมนุษย์ โดยการข้ามผ่านแต่ละอารมณ์เสมือนหนึ่งการถือกำเนิดใหม่ ทุก ๆ ขั้นที่พัฒนาขึ้นไป ความแข็งแกร่งในเชิงคุณภาพของคนผู้นั้นก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง

การบ่มเพาะปราณแท้ของเฉินซีในตอนนี้อยู่ที่ระดับเจ็ดของขอบเขตจุติแล้ว อวัยวะภายในของเขาเหมือนดั่งกงล้อศักดิ์สิทธิ์ที่อัดแน่นไปด้วยธาตุทั้งห้า ซึ่งหลอมรวมกับพลังหยินและหยาง ยิ่งกว่านั้น กงล้อสังสารวัฏซึ่งลอยอยู่ในจุดตันเถียนได้เปล่งประกายจรัสอันประกอบด้วยสีทั้งห้า และแผ่รัศมีแสงมงคลออกมาขณะที่ห้อมล้อมด้วยความสุกสว่างราวดวงแก้วในแดนนิทรา

นอกจากนี้ พลังปราณทั้งสีดำและขาวก็เริ่มโคจรไหลเวียนอยู่ภายในกงล้อสังสารวัฏพร้อมกับสอดประสานกันและกันจากที่ห่างไกล พวกมันเป็นดั่งพลังปราณที่บริสุทธ์และมืดดำของฟ้าดิน ซึ่งเวียนวนเป็นวัฏจักรอันลึกซึ้ง

ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์

ไม่เพียงเท่านี้ การขัดเกลากายาของเขาก็บรรลุถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์เช่นเดียวกัน ส่งผลให้กระแสโลหิตภายในร่างกายไหลพล่านดังคลื่นทะเลซัด ในขณะที่ช่องลมปราณ เส้นเอ็น และกระดูกทั่วทั้งเรือนกายก่อผลึกเช่นหยกเนื้อเงา ทุกย่างก้าวของการเคลื่อนไหว รัศมีแห่งเต๋าก็จะโคจรและเปล่งเสียงอันกึกก้องตามจังหวะ

ในตอนนี้ การไหลเวียนอากาศซึ่งเคลื่อนจากการหายใจเข้าออกนั้นไหลวนดังมังกรยักษ์ร้องคำราม ซึ่งกอปรไปด้วยพลังอันมหาศาลรุนแรง แม้แต่เส้นผมที่สยายยาวยังถูกปกคลุมด้วยแสงนวลสลัวราง ไร้ซึ่งผู้ใดจะตัดหรือทำลายได้

หากกล่าวว่าเส้นผมของเขาเป็นวัตถุดิบชั้นยอดสำหรับปรับปรุงสมบัติระดับสวรรค์ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องเกินจริงแม้แต่น้อย ด้วยมันแข็งแกร่งเกินกว่าใบมีดใดจะสร้างความเสียดายได้

ทว่าบัดนี้เขายังไม่อาจบรรลุไปถึงขอบเขตสถิตกายาได้ ไม่ว่าจะในด้านกายภาพหรือการบ่มเพาะปราณแท้

เหตุผลนั้นไม่ได้ซับซ้อน การบรรลุข้ามขอบเขตไม่เพียงอาศัยการบ่มเพาะและฐานพลังอันมั่นคงล้ำลึก แต่ยังต้องพึ่งพาโชคอำนวยอีกด้วย

คนในยุคบรรพกาลมีคำกล่าวหนึ่งว่า ‘รู้แจ้งเพียงหนึ่งครั้ง ร้อยทิวาวารโบกบิน หากผู้บ่มเพาะต้องการก้าวข้ามขอบเขตของตน สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือการ ‘รู้แจ้ง’

‘การรู้แจ้ง’ เหล่านี้อาจเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจที่มาอย่างฉับพลันขณะหนึ่ง โดยอาศัยจังหวะของโชคชะตาซึ่งไม่ต้องใช้ความพยายามใด ในบางครั้งก็อาจเกิดขึ้นขณะกำลังต่อสู้ หรือแม้แต่รู้แจ้งอย่างทันทีทันใดเมื่อได้รับการชี้แนะจากผู้อาวุโสอย่างเหมาะสม

การบ่มเพาะของเฉินซีในปัจจุบันมาไกลถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว และรากฐานแห่งเต๋าของเขาก็มั่นคงเพียงพอ สิ่งที่ขาดไปมีเพียง ‘ความรู้แจ้ง’ เท่านั้น

บางครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจถึงการ ‘รู้แจ้ง’ เพื่อบรรลุได้ กระนั้น เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไรสำหรับเฉินซีนัก

ตลอดเส้นทางการบ่มเพาะของเฉินซี เขาพึ่งพาเพียงตัวเองในการคลำหาเส้นทางและบรรลุสู่ขอบเขตพลังเท่านั้น หากมองในเรื่องประสบการณ์ของการ ‘รู้แจ้ง’ แล้ว เขาก็นับว่าเหนือกว่าทุกคน

ยิ่งกว่านั้น ทักษะการสร้างจินตภาพของเขาก็เยี่ยมยอดยิ่ง มีรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีสถิตอยู่ภายในร่างกาย ในขณะที่สัตว์มงคลปี่เซียะผู้สามารถสั่งสมโชคชะตาแห่งฟ้าดินก็อยู่ฝั่งเดียวกับเขา ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องแสวงโชคเพื่อ ‘รู้แจ้ง’ เขาแค่ทำสมาธิและบ่มเพาะอย่างราบรื่นก็เพียงพอแล้ว

อย่างไรก็ตาม เฉินซีหาได้พัฒนาการบ่มเพาะไปอย่างไร้ความอดทนไม่ เขาศึกษาทักษะของตนด้วยความแน่วแน่ที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งในการต่อสู้

นับตั้งแต่ที่ต่อสู้กับตู้เซวียนและได้เห็นความน่าเกรงขามของศาสตร์เต๋า ชายหนุ่มก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการอาศัยแต่เพียงทักษะการต่อสู้ที่เขามีในเวลานี้ มันไม่เพียงพอที่จะสร้างความน่าสะพรึงกลัวในระดับนั้นได้ และแม้ว่าขอบเขตของเขาจะขยับขยายออกไป ทักษะการต่อสู้ก็ยังเป็นสิ่งที่ขัดขวางความสามารถที่แท้จริง

ในทางกลับกัน ศาสตร์เต๋านั้นแตกต่างออกไป มันเหนือกว่ากระบวนท่าอื่น ๆ และมีพลังที่รุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อีกทั้งตู้เซวียนยังสามารถจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายา เนื่องด้วยเขามีศาสตร์เต๋าที่เรียกว่าเคล็ดสังหารฉับพลัน!

ตามที่วิปลาสหลิ่วเคยพูดไว้ กระบวนยุทธ์เป็นรากฐานแห่งศาสตร์เต๋าทั้งปวง ในขณะที่ศาสตร์เต๋าเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งสำหรับหนทางสู่ความเป็นเซียน เพราะว่าพลังที่เซียนสวรรค์ครอบครองนั้นก่อตัวขึ้นจากศาสตร์เต๋าและกฎเกณฑ์

นอกจากนี้ หากเขาสามารถควบคุมแก่นแท้มหาเต๋าได้อย่างสมบูรณ์หลังจากที่บรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้วตามคำกล่าวของเต๋าบงกช ชายหนุ่มจะสามารถใช้พลังแห่งศาสตร์เต๋าได้มากขึ้นถึงสองเท่า

และหากเขาสามารถควบคุมแก่นแท้มหาเต๋าได้ครบสองส่วน เขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นถึงสามเท่า ยิ่งควบคุมได้สมบูรณ์มากขึ้นเท่าไร ความแข็งแกร่งก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปเท่านั้น

สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ได้รับมาจากวิปลาสหลิ่วหรือเต๋าบงกช ก็ล้วนแต่ชี้ชัดว่าหากเฉินซีต้องการแข็งแกร่งขึ้น การบ่มเพาะศาสตร์เต๋าถือว่าสำคัญที่สุด

แม้จะเป็นแดนภวังค์ทมิฬก็ตาม ทว่าการมีอยู่ของศาสตร์เต๋านั้นค่อนข้างเร้นลับและหายาก ส่วนใหญ่แล้วคนที่จะเชี่ยวชาญด้านศาสตร์เต๋าได้มักจะเป็นศิษย์ของผู้มีพลังแกร่งกล้าเหล่านั้น

ส่วนนิกายอื่น ๆ ที่ไม่ได้โด่งดังนักอาจจะมีศาสตร์เต๋าสืบต่อกันอยู่บ้าง แต่ก็หายากไม่ต่างจากเขากิเลนหรือขนของวิหคเพลิง

ตัวอย่างเช่น นิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่แม้จะเป็นหนึ่งในสิบของนิกายเซียนชื่อก้องแห่งแดนภวังค์ทมิฬ ซึ่งครอบครองศาสตร์เต๋าระดับทั่วไปอยู่จำนวนมาก แต่ก็ยังมีสุดยอดศาสตร์เต๋าอยู่ในครอบครองเพียงไม่กี่สิบประเภทเท่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น หากต้องการเรียนรู้ศาสตร์เต๋าเหล่านั้น ก็ต้องนั่งศึกษาบนแท่นดอกบัว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ จะอยากมีก็มีได้

หากพูดให้เห็นภาพ ศิษย์ชั้นสูงที่เฉินซีเคยพบบนแท่นดอกบัวเมื่อก่อนนั้นมีอยู่มากมาย ทว่าคนที่สามารถรู้แจ้งและเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋านั้นมีนับคนได้

อย่างเช่นตู้เซวียนซึ่งเรียนรู้ศาสตร์เต๋าได้เพียงอย่างเดียวก็คือเคล็ดสังหารฉับพลัน โดยได้รับมันมาจากแท่นดอกบัว แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหนึ่งในห้าศิษย์ชั้นสูง

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ชัดว่าการจะศึกษาเกี่ยวกับศาสตร์เต๋านั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง และพลังของศาสตร์เต๋านั้นน่าเกรงขามเพียงใดเมื่อได้มาครอบครอง

โชคดีที่เฉินซีไม่ได้ไร้ซึ่งศาสตร์เต๋า และปริมาณศาสตร์เต๋าที่เขา รวมไปถึงคุณภาพก็อยู่ในจุดที่นับว่าเป็นเลิศที่สุดในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง แม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงหรือคนใหญ่คนโตของนิกายก็ไม่มีโอกาสได้พบพานกับศาสตร์เต๋าเช่นนี้

เฉินซีตั้งสมาธิแน่วแน่อยู่ในบ้านไม้ เขากำลังอ่านแผ่นหยกซึ่งบันทึกศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าวิชาเอาไว้

“เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภานั้น กระบี่ในมืออยู่ต่ำกว่ากระบี่ในห้วงจิต จุดใดที่ดวงจิตชี้นำ แผ่นฟ้าแห่งนั้นพลันกลายเป็นสุสานกระบี่ซึ่งฝังคมมีดนับดารดาษ ฟ้าดินมิอาจหยุดยั้ง สรรพสิ่งไม่อาจต้านทาน พลังอันกล้าแกร่งขจัดซึ่งความชั่วร้ายทั้งมวล…”

“ศาสตร์เต๋ามหาพันธนาการ หากสวรรค์แปดเปื้อน สวรรค์ถูกจองจำ! หากแผ่นดินผิดบาป แผ่นดินต้องกักขัง! ฟ้าดินแห่งนี้ ต่างบริสุทธิ์และมีราคี มีดีเคียงคู่ชั่ว แต่งแต้มด้วยขาวดำ หากล้วนถูกกักขังได้ทั้งสิ้น…”

“ร่างสถิตเก้าวิญญาณ ความโกลาหลช่วงต้นดึกดำบรรพ์ สัตว์อสูรทั้งเก้าย่ำย่างทั่วโลกา กลืนกินแก่นแท้แห่งสวรรค์ สูบกลืนซึ่งแกนโลก แม้แต่เสียงคำรามยังสั่นสะเทือนแผ่นดิน กรงเล็บอันแหลมคมฉีกกระชากจักรวาล…”

“ฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ แม่น้ำแห่งปรโลกชำระจิตใจมนุษย์และล้างบาปทั้งมวล กระแสน้ำวนเหนือผิวธารดังคลื่นน้ำมหาศาลที่เหล่ามารและทวยเทพไม่อาจขืน…”

ครั้นชายหนุ่มกวาดมองบรรดาศาสตร์เต๋า ดวงตาก็ทอประกายสว่างวาบยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ความตื่นเต้นค่อย ๆ พองตัวในหัวใจ บางครั้งเขาก็เผลออุทานออกมาด้วยประทับใจ หากบางครั้งก็ขมวดคิ้วและพึมพำกับตัวเอง เฉินซีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบัดนี้เขาแสดงอารมณ์ออกมามากมายเพียงใด

บรรดาศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าชนิดนี้ ล้วนล้ำลึกประหนึ่งแผ่นฟ้าดารดาษด้วยหมู่ดารา กว้างไกลดังมหาสมุทรทอดผืนคราม และซับซ้อนยากหยั่งคะเน

หากเป็นคนอื่น เชื่อว่าคงไม่อาจเข้าใจลึกซึ้งถึงศาสตร์เต๋าแม้เพียงประการเดียวได้อย่างสมบูรณ์

จากการคาดเดาของเฉินซี ความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ภายใต้ศาสตร์เต๋าเหล่านี้ซับซ้อนยิ่งกว่าเคล็ดกระบี่หมื่นบรรจบที่เขาฝึกฝนมาถึงสิบเท่า! เช่นศาสตร์เต๋าที่เรียกว่าเคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภาซึ่งมีเพียงไม่กี่แสนอักขระ หากแต่ละจารึกนั้นเป็นเสมือนกระบี่ที่โจมตีได้ทุกกระบวนท่า…

ทุก ๆ กระบวนท่ากระบี่ล้วนเป็นการผันแปรเช่นเดียวกับฤดูกาลทั้งสี่ และใกล้เคียงกับวัฏจักรแห่งจักรวาลอย่างยิ่ง ส่งผลให้มันมีความมหัศจรรย์และซับซ้อนถึงขีดสุด

ด้วยการบ่มเพาะทางจิตวิญญาณ เฉินซีใช้เวลาไปราวครึ่งชั่วยามเพื่ออ่านศาสตร์เต๋าดังกล่าว!

อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงการอ่านผ่าน ๆ อย่างรวดเร็วเท่านั้น หากจะให้ทำความเข้าใจและพิจารณาอักขระแต่ละตัวนั้น ชายหนุ่มก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกันว่าเขาจะเข้าใจมันอย่างสมบูรณ์เมื่อใด

หลังจากผ่านไปไม่นาน เฉินซีก็ลืมตาขึ้นและนวดบริเวณระหว่างคิ้ว ก่อนจะพ่นลมร้อนออกมา ดวงตาของเขาเปื้อนด้วยความประทับใจยากจะลบล้าง!

พวกมันน่าเกรงขามเกินไป!

ศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าชนิดนี้ไม่เพียงล้ำลึกและซับซ้อน หากมันยังทรงพลังไม่ต่างกัน เป็นสิ่งที่ชวนให้สะพรึงขวัญอยู่ไม่น้อย

ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเตรียมใจมาล่วงหน้า เห็นทีก็คงไม่เชื่อว่าจะมีศาสตร์เต๋าที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้อยู่ในแผ่นดิน!

เมื่อเทียบศาสตร์เต๋าพวกนี้กับเคล็ดสังหารฉับพลันของตู้เซวียนแล้ว มันก็ไม่ต่างจากวางดวงตะวันกับจันทราไว้เคียงข้างไข่มุกเม็ดจ้อย ไร้ค่าที่จะกล่าวถึง

ทว่าหลังจากนั้น เฉินซีก็ต้องตกที่นั่งลำบากด้วยไม่รู้ว่าควรจะฝึกฝนศาสตร์เต๋าใด

ทันในนั้นเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดเต๋าบงกชถึงบอกว่าการหาศาสตร์เต๋าหนึ่งในสี่สิบเก้าอย่างที่เหมาะสมสำหรับเขานั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก แม้พลังของศาสตร์เต๋าจะมีอานุภาพใกล้เคียงกัน ทว่าแต่ละอย่างก็มีจุดซับซ้อนแตกต่างกันเป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งทำให้เขาอดลังเลไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

เขาสามารถเข้าใจทั้งสี่สิบเก้าศาสตร์เลยได้หรือไม่?

อนาคตไม่ใช่สิ่งที่ล่วงรู้ได้ แต่คำตอบสำหรับยามนี้มีเพียงคำว่าไม่

เนื่องจากการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสกำลังจะเริ่มในอีกสามเดือนนับจากนี้ มันจึงเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เขาต้องคว้าไว้เพื่อศึกษาศาสตร์เต๋า ทว่าศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าชนิดนี้มีความล้ำลึกยิ่งใหญ่ดั่งมหาสมุทร แน่นอนว่าเวลาสามเดือนนี้ไม่มีทางจะเพียงพอสำหรับการศึกษาและบ่มเพาะ

และเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตนจะสามารถเรียนรู้ศาสตร์เต๋าได้ภายในสามเดือนเช่นกัน

ทันทีที่ประสบความตึงเครียด สายตาของเฉินซีพลันเหลือบมองดอกไม้สีทองซึ่งวางอยู่ด้านข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตีหน้าผากตัวเอง “ข้าลืมเจ้านี่ไปได้อย่างไร”

ภาพจำของเขากลับคืนมาอีกครั้ง เต๋าบงกชเคยกล่าวว่าสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขาหาใช่ศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าไม่ หากเป็นสัจธรรมสวรรค์ซึ่งถูกจารึกไว้ใต้กลีบดอกไม้กลีบนี้!

สัจธรรมสวรรค์เกิดขึ้นจากฝีมือของเต๋าบงกช มันบันทึกเกี่ยวกับต้นกำเนิดแห่งเต๋าทั้งมวลของคัมภีร์เก้าเรืองรองเอาไว้ และศาสตร์เต๋าทั้งหมดที่มีอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็ล้วนมีที่มาจากมัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าชนิดนี้ถูกสร้างขึ้นจากสัจธรรมสวรรค์!

ยิ่งกว่านั้น ตามที่เต๋าบงกชกล่าว หลังจากที่เขาเข้าใจเกี่ยวกับสัจธรรมสวรรค์แล้ว มันจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างศาสตร์เต๋าขึ้นด้วยตนเองและเป็นเส้นทางที่นำไปสู่เต๋าแห่งยันต์อักขระ…

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฉินซีก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกมือขึ้นและวางกลีบดอกไม้สีทองลงบนฝ่ามือ จากนั้นจึงเริ่มอ่านสิ่งที่บันทึกไว้อย่างตั้งใจ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท