บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 585 ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 585 ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล

บทที่ 585 ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์แห่งความโกลาหล

กลีบดอกไม้ที่มีสัจธรรมสวรรค์บันทึกอยู่ภายในมีสีทอง และเส้นริ้วอันลึกล้ำดั่งมหาเต๋าไร้ที่สิ้นสุดถูกสลักเอาไว้ ทำให้มันปลดปล่อยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์สีทองออกมาตลอดเวลา

ทันทีที่จิตใจของเฉินซีหลอมรวมเข้ากับกลีบดอกไม้ เขาก็รู้สึกว่าเกิดเสียงหึ่งในจิตใจ ทั่วทั้งร่างเหมือนถูกโยนเข้าไปในโลกแห่งความโกลาหล ไม่มีท้องฟ้าและผืนดิน ไร้ดวงดารา ปราศจากทิวทัศน์ มีแต่เพียงสีเทาเท่านั้น

ฟึ่บ!

เส้นแสงสีทองพุ่งออกมาจากความโกลาหลนั้นด้วยความเร่าร้อน มันคือหน่ออ่อนสีเขียวขจี ดูบอบบาง และเยาว์วัยนัก

ทว่าเมื่อมันปรากฏตัวขึ้นก็ปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมาในพลัน สูงส่งถึงขั้นที่บรรยากาศสีเทาโดยรอบสั่นสะท้าน น่ากลัวยิ่งนัก

เมื่อเฉินซีมองให้ดีก็สังเกตเห็นว่า เส้นแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีกำลังแผ่ออกมาจากหน่ออ่อนสีเขียว ความลึกล้ำแห่งมหาเต๋ามากมายกำลังปรากฏขึ้นภายในแสงศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เปล่งแสงสว่างไสวและความวุ่นวายออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์

ครืน!

เสียงครืนจากฟ้าลั่นสะเทือนทั่วหล้าดังก้องเมื่อหน่ออ่อนนั้นเริ่มเติบโต แตกหน่อ และเติบใหญ่กลายเป็นดอกบัวที่มีใบเป็นสีเขียวดั่งหยก มีกลีบดอกเก้ากลีบซึ่งมีสีแดง สีน้ำเงิน สีดำ สีทอง สีขาว… แต่ละกลีบปลดปล่อยกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดออกมา

เป็นภาพที่ราวกับมีตะวันเจิดจ้าเก้าดวงห้อยอยู่บนกิ่งไม้ แล้วเกิดเป็นดอกบัวที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ราวกับว่ามันมีชีวิตจริง ๆ และอยู่เหนือกว่าเซียนกับกาลเวลา ซึ่งดูสง่างามยิ่งนัก

‘หรือว่านี่จะเป็นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความโกลาหล?’ เฉินซีตกตะลึงนัก ไม่อยากเชื่อกับภาพที่เห็น

เปรี๊ยะ!

ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สั่นไหว พร้อมกับปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ดั่งกระบี่คมทะยานขึ้นฟ้ากรีดผ่านความโกลาหลนั้น ชั่วพริบตานั้นเอง บรรยากาศบริสุทธิ์ก็ลอยตัวขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นท้องฟ้า บรรยากาศขมุกขมัวทิ้งตัวลงต่ำ และแปรเปลี่ยนเป็นพื้นดิน

และแล้วมันก็ได้ให้กำเนิดโลกหนึ่งขึ้นมาในลักษณะเช่นนี้เอง!

หลังจากนั้น ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ก็ดีดตัวออกมาและหยั่งรากลึกลงไปในดิน ลำแสงสาดส่องใต้หล้าเปล่งประกายล้อมรอบ

ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังสังเกตว่าไม่ใช่เพียงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังมีเงาร่างส่องแสงเรืองรองอีกมากมายที่ดีดตัวออกมาจากภายในความโกลาหล พากันเข้ามาขดตัวอยู่ในลำแสงศักดิ์สิทธิ์จนไม่อาจมองเห็นเงาร่างได้อย่างชัดเจน

บ้างสูงดั่งขุนเขา คำรามลั่นไปทั่วทิศ เพียงเหยียดแขนออกไปก็ทำลายท้องฟ้าที่ประดับด้วยดาราได้แล้ว

บ้างก็ปิดฟ้าบังตะวันได้เพียงปีกเดียว เหินร่างขึ้นสูงถึงสวรรค์ทั้งเก้า กระพือปีกเพียงนิดก็สามารถโบยบินได้อย่างอิสระ

บ้างมีขนาดเท่ากำปั้น แต่สามารถแปลงร่างเป็นลำแสง กระโจนทีเดียวก็หายวับไปกับตา

ทั้งนี้ยังไม่ขาดลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในรูประฆัง หม้อกลั่น เตาหลอม และอื่น ๆ อีกมากมาย ทุกสิ่งอย่างราวกับมีจิตนึกคิด มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง ไม่เหินร่างขึ้นฟ้าก็เข้ารวมกลุ่ม หรือไม่ก็แปลงร่างเป็นขุนเขา ธารน้ำ และมหาสมุทร… พากันหายตัวไปจนหมดสิ้น

‘นี่คงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นจากความโกลาหลกระมัง!?’ เฉินซีอึ้งไป มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นภาพเช่นนี้ ตกตะลึงถึงขนาดไม่อาจสงบใจตนได้เป็นเวลานาน

หลังจากนั้น ภาพตรงหน้าก็หายไปในทันที

ภูเขาเก่าแก่ขนาดมหึมาจำนวนมากทอดตัวเรียงรายอยู่บนพื้น ตั้งตัวสูงตระหง่าน ทิวทัศน์งดงามมาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่เติบใหญ่อยู่ภายใน บางครั้งก็เห็นปักษายักษ์บินผ่านมาปกคลุมฟ้า ทิ้งเงาดำไว้เบื้องล่าง ทั้งยังมีอสูรดุร้ายยืนอยู่บนยอดเขา กำลังคำรามเสียงลั่น แมลงพิษมากมายบินว่อน เป็นภาพที่ดูน่ากลัวยิ่งนัก

ทั่วทั้งใต้หล้านี้ดูคล้ายกับตำนานโลกโบราณเหลือเกิน อสูรดุร้ายโบราณพเนจรอย่างเสรี อสูรบินทั้งหลายบินโฉบไปมา ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล ไร้กฎเกณฑ์ใดมายับยั้ง

“กรรร!”

ทันใดนั้น เสียงคำรามสะเทือนฟ้าสะท้านดินก็ดังก้องขึ้น ทำให้เฉินซีสะท้านไปทั่วร่าง รู้สึกเหมือนคลื่นเสียงเสียดแทงเข้าแก้วหู จิตวิญญาณเกือบพังทลาย พอลืมตามองก็เห็นเทพอสูรดุร้ายโบราณขนาดใหญ่จำนวนมากที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้น พวกมันกำลังขยับเคลื่อนไปมาบนท้องฟ้าและผืนดิน

เมื่อพวกมันย่างก้าวไปที่ใด ขุนเขาทั้งหลายก็ถูกพังทลายลงกับพื้น ธารน้ำทั้งหลายถูกแผดเผาจนเหือดแห้ง แค่พลังสูงส่งนี้เพียงอย่างเดียวก็สามารถทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนไม่หยุด ราวกับวันโลกาวินาศกำลังมาถึง

“ฉยงฉี เถาอู้ เฝยอี๋ จิ่วเซียว จูไฮว ย่าอวี่*[1]…” เฉินซีตกตะลึง เขาจำตัวตนเหล่าเทพอสูรดุร้ายโลกบรรพกาลเหล่านี้ได้ แท้จริงแล้วพวกมันคือเทพอสูรดุร้ายที่เลื่องชื่อเมื่อครั้งโบราณนั่นเอง!

เทพอสูรดุร้ายเหล่านี้มีชื่อมากในฐานะเก้าเทพอสูรแห่งยุคบรรพกาล แต่ละตัวมีพละกำลังมหาศาลถึงขนาดฉีกร่างเซียนได้ สามารถสั่งสายลมและหมู่เมฆ อยู่เหนือทุกผู้ทุกคน!

ตอนนี้เทพอสูรดุร้ายทั้งเก้าตัวกำลังรุดหน้าเข้ามาหาเขา ทำเอาเฉินซีกลัวจนอยากหันหลังหนีทีเดียว

ทว่าชั่วพริบตาต่อมาเขาก็พบว่าตนเองนั้นเป็นเพียงจิตเส้นหนึ่งที่อยู่บนใบของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ดอกนั้น

หรือก็คือเป้าหมายของเทพอสูรดุร้ายพวกนั้นคือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์

ฟิ้ว!

ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเรืองฟ้าเมื่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ชูกิ่งก้านสีเขียวที่เหมือนโซ่ตรวนออกไป มันพุ่งขึ้นฟ้าเข้าซัดเทพอสูรดุร้ายฉยงฉีที่มีปีกสีแดงจัด เหมือนทั้งโคทั้งพยัคฆ์ผสมกัน ทำให้เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วฟ้า เลือดในร่างของฉยงฉีถูกก้านบัวนั่นดูดไปจนหมด จากนั้นมันก็กลายเป็นเถ้าถ่านแล้วสลายหายไป

กรรร!

ความดุดันของเทพอสูรดุร้ายตัวอื่นเพิ่มขึ้นทันทีเมื่อเห็นดังนี้ ขนทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ขณะใช้ศาสตร์เต๋าออกมา ก่อให้ลมและเมฆทั่วฟ้าเกิดความโกลาหล กระโจนเข้าใส่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์พร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง การโจมตีเช่นนี้ กระทั่งเหล่าเซียนคงหลบหนีด้วยความตกใจเลยด้วยซ้ำ

ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ไม่คิดจะหลบการโจมตี กลีบดอกบัวเก้าชั้นค่อย ๆ ผลิบาน ราวกับตะวันเดือดเก้าดวงกำลังลอยขึ้นสู่ฟ้า พวกมันปลิดปลิวออกไปเข้าปะทะกับแรงโจมตีจากเทพอสูรดุร้าย

ตู้ม!

เสียงตู้มสะเทือนไปทั่วทั้งโลกาดังก้อง เฉินซีรู้สึกเจ็บตาทั้งสองข้าง พอลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง โลกในรัศมีแสนลี้ก็เหลือแต่ความวิบัติ ไร้สัญญาณชีวิตใดหลงเหลืออยู่ ส่วนเทพอสูรดุร้ายก็สลายหายไปสิ้น

เหลือไว้เพียงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่ยังหยั่งรากลงดิน ตั้งตระหง่านอยู่เท่านั้น กิ่งก้านสาขาของมันยิ่งเป็นสีเขียวสด ดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น ในขณะที่กลีบดอกก็มีริ้วสายอันลึกล้ำมาดหมายปรากฏขึ้น เหมือนกับกำเนิดแคว้นทั้งหลายขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความเจิดจรัสแห่งสวรรค์และกลิ่นอายอมตะ

พร้อมกันนั้น ในใจเฉินซีจึงบังเกิดความกระจ่างแจ้งขึ้นมา!

“ณ จุดเริ่มต้นเมื่อครั้งโบราณกาล โลกยังคงตกอยู่ในความโกลาหล มีเทพอสูรดุร้ายเก้าตัวถือกำเนิดขึ้นมา มันกลืนแก่นฟ้าดินเข้าไป เสียงคำรามสะเทือนโลกา กรงเล็บแยกฟ้าได้ ข้าสังหารพวกมันทั้งหมดเพื่อเอาศาสตร์เต๋าที่อยู่ภายในร่างของมันมา จากนั้นก็ผสานมันในศาสตร์เต๋าแห่งเก้าร่างแปลง…”

น่าตกใจนัก เรื่องนี้เกี่ยวพันกับศาสตร์เต๋าซึ่งได้มาจากร่างแปลงเก้าวิญญาณ!

ครืน!

ทว่าเฉินซียังไม่ทันพิจารณาโดยละเอียด เขาก็รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างสั่นสะเทือน เมื่อรากของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หยั่งลึกจนแยกพื้นออกจากกัน ก่อนจะแทงเข้าไปในกำแพงมิติเพื่อเข้าไปยังโลกอันมืดมิด

ยังมีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่งที่มีธารน้ำไหลเชี่ยว คลื่นน้ำซัดสาด ส่งเสียงคำรามดั่งมังกร น้ำมีสีแดงก่ำดั่งเลือด

แม่น้ำปรโลก!

เฉินซีสะดุ้งเมื่อคาดเดาได้คร่าว ๆ ว่าที่นี่คือยมโลก และนี่คือแม่น้ำปรโลกที่อยู่ด้านข้างของหกวิถีสังสารวัฏ!

ฟึ่บ!

แม่น้ำปรโลกคล้ายกับว่ามีชีวิต พลันเกิดคลื่นยักษ์สีแดงเลือดขนาดใหญ่ซัดสาดเมื่อเห็นว่ารากของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์กำลังแทงมิติเข้ามา ละอองน้ำกระเซ็นไปทั่ว แปรเปลี่ยนเป็นภูตผีมากมายที่ร้องโหยหวน พุ่งเข้ามาไม่หยุด ดูน่าสยดสยองยิ่ง

ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ยังคงสำรวมไม่ตกใจอะไร รากมากมายพุ่งออกมาพร้อมกับลำแสงศักดิ์สิทธิ์ ทะลวงร่างผีจากธารสีเลือดพวกนั้น ก่อนจะทำลายพวกมันสิ้น

ทันใดนั้น แม่น้ำสีเลือดก็หยุดการกระทำที่ผลีผลามทั้งหลาย ส่วนดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ก็หยุดลงมือเช่นกัน ส่งรากจำนวนนับไม่ถ้วนแทงลงพื้น

และก็เป็นเหมือนเมื่อก่อนหน้า ที่มีความกระจ่างแจ้งบังเกิดขึ้นในใจเฉินซี “ภายในยมโลกยังมีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง มันชะล้างจิตใจคน ลบล้างความผิดบาปทั้งหลาย คลื่นลูกแล้วลูกเล่าเหมือนน้ำที่ขึ้นลง ทั้งภูตผีและเหล่าเซียนไม่อาจขัดขืนได้…”

มันคือศาสตร์เต๋า มรดกแห่งฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ

ชั่วพริบตานั้นเอง เฉินซีก็เข้าใจความลึกล้ำของสัจธรรมสวรรค์ ในที่สุดก็ได้รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสัจธรรมสวรรค์และศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าชนิดอย่างกระจ่างแจ้ง

สัจธรรมสวรรค์นี้คือแหล่งพลังของศาสตร์เต๋า เป็นกรอบหลักแห่งพลัง ในขณะที่ศาสตร์เต๋าทั้งหลายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองตอนนี้ล้วนได้มาจากการเข้าใจความลึกล้ำภายในตัวมันทั้งสิ้น!

หรือก็คือ เพียงแค่เขาทำความเข้าใจความลึกล้ำแห่งสัจธรรมสวรรค์ให้ดี เขาก็สามารถทำความเข้าใจศาสตร์เต๋าอันน่าเกรงขามทั้งหลายได้แล้ว

‘มิน่าเล่า ผู้อาวุโสเต๋าบงกชจึงกล่าวไว้ว่า หลังจากทำความเข้าใจสัจธรรมสวรรค์แล้ว ต่อไปจะเป็นประโยชน์มากเมื่อข้าต้องสร้างศาสตร์เต๋าของตนเอง มันมีหลักการเช่นนี้เอง…’

เฉินซีลอบถอนหายใจ เขารู้ดีว่าสัจธรรมสวรรค์ไม่ใช่ศาสตร์เต๋า แต่ก็เป็นแก่นของศาสตร์เต๋า เป็นสิ่งที่เก่าแก่ เป็นพื้นฐาน และเรียบง่ายที่สุด เป็นแหล่งพลังของศาสตร์เต๋าทั้งหลายในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!

เมื่อรู้กระจ่างเช่นนี้แล้ว สภาวะจิตใจของเฉินซีจึงเปลี่ยนแปลงไป เขามองไปที่ความสามารถอันหลากหลายของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง

ตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดทว่างดงามที่ฉายออกมาทีละภาพ และครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อยู่ภายในใจเงียบ ๆ ก่อนจะคาดเดา เลียนแบบ และหาบทสรุปไปเรื่อยไม่หยุด…

จิตใจเขาปลอดโปร่ง ห้วงจิตสำนึกว่างเปล่า ไร้ซึ่งความปรารถนาใด ทว่าตกอยู่ในความเข้าใจอันลึกล้ำของตน

ผ่านไปนาน ชายหนุ่มจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์เมื่อเกิดเสียงหึ่งเบา ๆ ขึ้นในใจ

เขาเงยหน้าขึ้นมอง และได้เห็นภาพที่ไม่อาจลืมไปได้ชั่วชีวิต!

ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่หยั่งรากลงพื้นดินและตั้งตระหง่านอยู่เช่นนั้น อยู่ ๆ ก็พลันปลดปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากออกมา มันกลายเป็นฝนแสงที่โปรยลงมาทั่วทั้งใต้หล้า แต้มแสงเหล่านี้ไปทั่วทุกทิศ จนทั่วทั้งโลกสว่างไสว

จังหวะนั้นเองที่สวรรค์และโลกส่งเสียงคำราม เสียงแห่งเต๋าดังก้องไม่หยุด ราวกับกำลังมีโลกใบหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมา นอกจากนั้นแล้ว เส้นปราณโกลาหลก็หลั่งไหลออกมาจากดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ ลอยขึ้นจากผืนดินขึ้นสู่ห้วงอากาศ เหยียบลงบนกฎแห่งมหาเต๋า ปลดปล่อยแสงอันไร้ขอบเขต

ธารดารามากมายร่วงหล่นลงมา ดั่งดวงดาวนับไม่ถ้วนที่โคจรรอบดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ ในระหว่างที่โคจรนั้นก็ปล่อยเสียงสะเทือนไปทั่วทั้งจักรวาล

ภาพเช่นนี้น่าตกใจเกินไป เหมือนตัวตนสูงส่งกำลังยืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางห้วงอวกาศ โดยมีฟ้าดิน จักรวาล โลกทั้งสามพัน และโลกรองนับไม่ถ้วนกำลังโคจรล้อมรอบ ถือกำเนิดขึ้นจากตัวตนผู้นี้

ทว่าตอนนี้ ดวงตาคู่หนึ่งพลันลืมขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดแห่งห้วงอวกาศ มันกวาดตามอง ก่อนจะจ้องตรงมายังดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ทันที

อึดใจต่อมา ธารดาราก็พังทลาย ดวงดาวทั้งหลายระเบิดออก ฟ้าดินสะท้านสะเทือน ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส กิ่งก้านใบทั้งหลายหลุดร่วง สีไม่สดใสส่องประกายดังเดิม กลีบทั้งเก้าก็ปลิดปลิว ก่อนจะสลายหายไปด้วยพลังลึกลับ

ในที่สุด กลีบดอกสุดท้ายของมันก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงเส้นหนึ่งที่พุ่งผ่านมิติไปในชั่วพริบตา หนีออกจากห้วงอวกาศ ลงสู่ภพมนุษย์ ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เฉินซีสัมผัสได้ถึงความเจ็บอันลึกล้ำจากห้วงจิตสำนึก ตัวคนพลันตื่นขึ้นจากภาพฉากทั้งหลายที่สะท้านใจ เหงื่อเย็นออกทั่วร่าง ราวกับเพิ่งขึ้นจากสระน้ำก็มิปาน

“เหตุใดจึงมีนัยน์ตาคู่หนึ่งลืมตาขึ้นมากลางห่วงอวกาศได้…?” เฉินซีพึมพำ นัยน์ตาเขายังปรากฏแววหวาดกลัวที่ไม่อาจคลายลงได้

[1] ฉยงฉี เถาอู้ เฝยอี๋ จิ่วเซียว จูไฮว ย่าอวี่ คือรายนามของสัตว์ในตำนาน โดยรายละเอียดของแต่ละตัวจะมีดังนี้

ฉยงฉี: หนึ่งในสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล บ้างว่ามีร่างกายคล้ายพยัคฆ์มีปีก บ้างว่ามีร่างกายคล้ายวัว มีขนเหมือนเม่น ชอบกินมนุษย์ และชอบสนับสนุนคนพาลขัดขวางคนดี

เถาอู้: สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนเสือและมีขนคล้ายสุนัข มีใบหน้าแบบมนุษย์ เท้าพยัคฆ์ ปากและเขี้ยวเหมือนหมูป่า

เฝยอี๋: มีรูปลักษณ์เป็นงู มีหกขาและปีกสี่ข้าง ยามปรากฎตัวจะทำให้เกิดภัยแล้ง

จิ่วเซียว: มีลักษณะเหมือนนกเค้าแมว มีนิสัยดุร้าย

จูไฮว: สัตว์ในตำนาน ตัวเหมือนวัว มีสี่เขา ตาเหมือนมนุษย์ และหูหมู เสียงร้องเหมือนห่านและกินคนได้

ย่าอวี่: ตามตำนาน ว่ากันว่ามีหน้าเป็นคน ร่างเป็นมังกร ชอบกินมนุษย์ หรือบ้างก็ว่าหน้าเป็นมนุษย์ ร่างเป็นวัวเท้าม้า ไม่บ้างก็ว่าหัวเป็นมังกร ร่างเป็นพยัคฆ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท