บทที่ 586 โถงภารกิจสวรรค์
บทที่ 586 โถงภารกิจสวรรค์
ดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้นในความมืดมิด ณ ปลายสุดของจักรวาล มันมืดสนิทและล้ำลึกราวกับพงศาวดารอันไร้ขอบเขต เพียงเหลียวมองครู่เดียวก็สามารถเห็นความผันผวนของชีวิต วงจรชีวิตที่กำเนิดและดับสูญนับร้อยครั้ง และการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยที่อยู่ภายในนั้น
นอกจากนั้นยังมีภาพตะวันแลจันทราที่กำลังตกลงมา สวรรค์และปฐพีพังทลาย ความโกลาหลถือกำเนิด
เมื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เฉินซีก็สัมผัสได้ถึงอำนาจสูงสุดภายในดวงตาคู่นั้น มันเหมือนกับเจ้าแห่งโลกาที่ครอบครองจักรวาลมาเยือนพร้อมกับความเฉยเมย เยือกเย็น และน่าสะพรึงกลัว!
ดวงตาเหล่านี้คืออันใดกัน?
ตัวตนเช่นใดกันที่มีดวงตาเช่นนี้?
แม้เฉินซีจะตื่นตัวฟื้นคืนสติ แต่ก็ยังมีความหวาดกลัวแฝงอยู่ในใจทุกครั้งที่เขาคิดถึงดวงตาคู่นั้น
เขาพอเข้าใจคร่าว ๆ ว่าการพังทลายของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับดวงตาคู่นั้น! ในทางกลับกัน การก่อตั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นก็มาจากกลีบของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ที่ปลิวไสวมาสู่จักรวาลแห่งนี้!
ฮึบ!
เฉินซีสูดหายใจเข้าสองสามครั้ง ก่อนที่จะขจัดความกลัวออกไปจากหัวใจ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะบอกให้มู่ขุยฟังในที่สุดว่าเขาจะปิดด่านบ่มเพาะสักพัก จากนั้นจึงเปิดเคหาภายในจี้หยกและก้าวเข้าสู่โลกแห่งดารา
…
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีเข้าสู่เคหาบ่มเพาะตั้งแต่ออกมาจากแผ่นดินซ่ง
เพราะก่อนหน้านี้เขาเกรงกลัวต่อกฎแห่งฟ้าดินในสมรภูมิบรรพกาลจึงไม่กล้าที่จะเปิดเคหา ไม่อย่างนั้นหากอาศัยอภิปาฏิหารย์ของเคหา ก็คงจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไปได้นานแล้วและคงจะไม่ตกอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเช่นก่อนหน้า
นอกจากนั้น ตามที่จี้อวี๋กล่าวว่า ตราบเท่าที่เขาไม่ก่อความวุ่นวายครั้งใหญ่ แม้จะเปิดเคหาบ่มเพาะหลังจากเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่ากฎแห่งฟ้าดินจะสังเกตเห็น
เพราะอย่างไรแล้ว แดนภวังค์ทมิฬนั้นก็กว้างใหญ่ไพศาล ฉะนั้นหากกฎแห่งฟ้าดินต้องการหาร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงบนโลก ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
ทว่าชายชราไม่อาจอยู่ในเคหาได้ มิฉะนั้นกฎแห่งเต๋าสวรรค์จะพบเห็นทันทีที่เขาปรากฏตัว ภัยพิบัติมากมายจะถาโถมใส่
นี่เป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะอยู่เมื่อเฉินซีเดินทางออกจากแผ่นดินซ่ง
ภายในเคหาบ่มเพาะยังคงเป็นเช่นเดิม มีแม่น้ำไหลหลั่ง พื้นดินปกคลุมไปด้วยพรมหญ้า บททดสอบแห่งสรวงสรรค์ตั้งตระหง่านอยู่ที่ใจกลางแม่น้ำอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นคง ไม่สึกกร่อนไปตามกาลเวลา
เฉินซีกวาดสายตามองพื้นที่โดยรอบ จากนั้นเขาถอนหายใจ การได้เห็นภาพนี้ทำให้เขารื้อฟื้นความทรงจำในใจขึ้นมา หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงสายศีรษะพลางพุ่งตัวออกไปยังบททดสอบแห่งสรวงสรรค์
วูบ!
ในจังหวะถัดมา ฉากก็เปลี่ยนไป ท้องนภาดาราอันกว้างใหญ่ปรากฏขึ้น ธารดาราพาดผ่านท้องนภาในขณะที่กลุ่มดาวมากมายลอยอยู่ตรงนั้น ดวงดาวสว่างไสวนับไม่ถ้วนที่หมุนวนอยู่บนท้องฟ้าเป็นฉากที่ลึกซึ้ง ลี้ลับ และงดงามยิ่ง
เฉินซีกำลังยืนอยู่ท่ามกลางนภาดารา
“ช่างเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยม! กาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงถูกควบคุมเพื่อพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นโลกแห่งดารา พลังเยี่ยงนี้เพียงพอที่จะทำให้ทั้งสามภพตกตะลึง…” ในจังหวะนี้ หม้อใบจิ๋วบนหน้าอกของเฉินซีพลันเอ่ยขึ้น
“โอ้ เจ้ารู้จักเคหาแห่งนี้หรือ?” เฉินซีชะงักงัน
“ไม่ แต่ข้ารู้ว่าผู้ที่สร้างเคหาบ่มเพาะเช่นนี้ได้นั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา” มันตอบ “บ่มเพาะอย่างสบายใจได้ หนึ่งปีในโลกภายนอกเท่ากับหนึ่งทศวรรษในที่แห่งนี้ มันช่างมหัศจรรย์ยิ่ง เจ้าต้องใช้ประโยชน์ให้ดี และเมื่อพละกำลังของเจ้าเพิ่มพูนก็จะสามารถช่วยข้าได้…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ หม้อใบจิ๋วก็หยุดชะงักและตกอยู่ในความเงียบงันอยู่นานก่อนกล่าว “พวกเราจะมาคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันหลัง”
และไม่ว่าเฉินซีจะพยายามแค่ไหน หม้อใบจิ๋วก็ไม่ยอมตอบ มันกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
“ไม่เป็นไร เมื่อใดที่พละกำลังของข้าแข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง มันก็คงจะถามหาข้าเอง…” เฉินซีส่ายศีรษะ
ผ่านไปไม่นาน เขาก็เพ่งจิตไปที่กลีบดอกไม้ทองคำในมืออีกครั้ง
กล่าวตามตรงว่าเฉินซีนั้นคือผู้คลั่งไคล้ในการบ่มเพาะโดยแท้ เพราะเขามักจะลืมทุกสิ่งทันทีที่เริ่มทำการฝึกฝน หลายปีที่ผ่านมาเขาเป็นเพียงผู้สร้างยันต์ฝึกหัดในเมืองหมอกสนและเคยอยู่ในจุดนี้มาก่อน เขาบ่มเพาะจนถึงขั้นที่ไม่หลับไม่นอน ลืมกินข้าวโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เขารู้สึกตะลึงอีกครั้ง จิตและเจตจำนงวางอยู่ที่สัจธรรมสวรรค์ ก่อนที่จะทำความเข้าใจในความลึกซึ้งของมันและทำการแสวงหาเต๋าที่อยู่ภายในนั้น
จิตใจของเขาบริสุทธิ์ดุจหิมะที่สะท้อนบนน้ำในบ่อ ท้องฟ้าสดใสประดับจันทรา มันช่างโปร่งใสไร้ที่ติ ปราณวิญญาณมหาศาลของเฉินซีส่องแสงไปยังสัจธรรมสวรรค์ในขณะที่เขาเริ่มทำความเข้าใจ
โลกแห่งดารานั้นเงียบสงบ ดวงดาวโคจรพร้อมกับเปล่งแสงสีเงินที่เย็นยะเยือกและสว่างไสวไปทั่วจักรวาล ดูลึกลับสุดขั้ว เฉินซีจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกรบกวนในขณะที่อยู่ที่นี่
เขาเพ่งจิตวิญญาณไปยังสัจธรรมสวรรค์และหลงลืมไปแล้วว่าตนอยู่ที่แห่งใด
ในชั่วพริบตานี้ ดูเหมือนเขาจะกลับไปสู่ยุคบรรพกาลอีกครั้ง เป็นยุคที่ทวยเทพถือกำเนิด สัตว์ร้ายอาละวาด เป็นฉากที่อ้างว้างและเต็มไปด้วยความโกลาหล
ปั้ง!
คุนเผิงกางปีกออกมาเพื่อปกคลุมท้องฟ้าและปิดบังดวงตะวัน มันเหินเวหาอย่างอิสระไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้าพลางฟาดไปที่ดวงดาราดวงแล้วดวงเล่า
เถาอู้ส่งเสียงคำรามกลบท้องนภา ทำให้เมฆาสลายไป หุบเขาและแม่น้ำในพื้นที่กว้างใหญ่ระเบิดเป็นจุณ ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นซากปรักหักพัง
เฝยอี๋ที่มีลำตัวสีแดงเข้มยาวหมื่นจั้งเลื้อยไปมา ทุกที่ที่มันผ่านถูกแผดเผากลายเป็นหินหลอมเหลวที่นำหายนะมาสู่โลก
เทพอสูรโบราณยืนตระหง่านบนท้องนภาพลางกำดวงตะวันและจันทราอยู่ในมือขณะที่ครอบครองธาตุทั้งห้าอยู่ในร่างกาย มันจับสัตว์ร้ายที่กำลังโบยบินด้วยมือเปล่า บีบคั้นจนเกิดเป็นฝนโลหิตเทลงมา พลังอำนาจของมันมากล้นและดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบได้
นี่คือยุคบรรพกาลที่เหล่าสัตว์ร้ายและเทพอสูรท่องไปในโลกอย่างอิสระ ยิ่งไปกว่านั้น ทวยเทพที่กำเนิดขึ้นในยุคซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหลนี้ก็ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใด
ในเวลาเดียวกัน นี่คือยุคที่ผู้คนวุ่นวายโกลาหล เหล่าทวยเทพแก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่ สัตว์ร้ายต่อสู้กันเพื่ออาณาเขต วีรชนผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถือกำเนิดในยุคนี้ต่างเป็นตำนานที่ยอดเยี่ยมและเป็นนิรันดร์
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวของช่วงเวลาในยุคบรรพกาลที่ตราลงบนสัจธรรมสวรรค์ เหมือนกับเส้นขนบนวัวทั้งเก้า ทว่าภายใต้การมองเห็นที่จำกัด เฉินซียังสามารถจินตนาการได้ว่ายุคสมัยนั้นงดงามเพียงใด ทำให้เขารู้สึกอยากสัมผัสมันด้วยตัวเอง
เฉินซีสัมผัสได้ถึงแก่นแห่งเต๋าดั้งเดิมที่บรรจุอยู่ภายในสัจธรรมสวรรค์ซึ่งสืบทอดมาจากยุคบรรพกาล เป็นช่วงเวลาที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ตั้งรากฐานบนพื้นดินพร้อมยืนตระหง่านอยู่บนโลก บัวดอกนี้ได้พบเห็นการต่อสู้ฆ่าฟันมานับไม่ถ้วน ส่วนศาสตร์เต๋าที่มันทำความเข้าใจจนช่ำชองนั้นถูกตราลงในสัจธรรมสวรรค์
หากเขาต้องการทำความเข้าใจศาสตร์เต๋าของตนจากสัจธรรมสวรรค์ สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือทำความเข้าใจเกี่ยวกับยุคบรรพกาลและทุกสิ่งที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์เคยประสบมา ก่อนที่จะสามารถหยั่งถึงศาสตร์เต๋าอย่างชำนาญได้
ตัวอย่างเช่น ร่างแปลงเก้าวิญญาณได้มาจากความดุร้ายทั้งเก้าหลังจากที่ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ทำลายพวกมัน ซึ่งมันได้ก่อตัวเป็นเคล็ดวิชาประเภทหนึ่งหลังจากที่ทำความเข้าใจสำเร็จ
ด้วยเหตุนี้เอง เฉินซีจึงหมกมุ่นอยู่กับการเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงในยุคบรรพกาลและทำความเข้าใจความล้ำลึกของแก่นแท้ดั้งเดิมแห่งเต๋า เขาตกอยู่ในภวังค์ความคิด ถูกตัดออกจากโลกภายนอก แทบจะไม่ตระหนักถึงกาลเวลาที่ผ่านไป
…
ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก
หลิงไป๋กำลังขี่หลังของไป๋คุยขณะที่เคลื่อนผ่านภูเขาอย่างช้า ๆ ระหว่างทางพวกเขาเพลิดเพลินไปกับผลไม้วิญญาณและอาหารรสเลิศต่าง ๆ บนหุบเขา เพลิดเพลินจนไม่คิดจะกลับบ้าน ส่วนมู่ขุยกำลังนั่งตัวตรงอยู่บนยอดเขาพร้อมด้วยสีหน้าเย็นชาขณะที่เฝ้าระมัดระวังสิ่งรอบข้าง
ตั้งแต่ประสบกับเหตุการณ์มากมายในวันนั้น หั่วโม่เลยและพวกพ้องแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาต่างรวมตัวกันอย่างลับ ๆ ทุกวันเพื่อหารือเกี่ยวกับบางอย่าง
โดยรวมแล้วตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานยอดเขาจรัสตะวันตกอีกต่อไป บรรยากาศที่เงียบสงบอันแสนหายากก็ปรากฏขึ้นบนหุบเขา
ฟุ่บ!
ครึ่งเดือนต่อมา ลำแสงที่ส่องประกายได้ปรากฏขึ้นเหนือยอดเขาจรัสตะวันตก เมื่อลำแสงจางหาย ชายหนุ่มเสื้อขาวรูปร่างสูงซึ่งมาพร้อมกับท่าทางเคร่งขรึมถมึงทึงก็ปรากฏกายขึ้น
“ศิษย์น้องแห่งยอดเขาจรัสตะวันตกอยู่หรือไม่?” ทันทีที่ชายหนุ่มมาถึง เขาก็พูดด้วยเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำ แสงสว่างที่แผ่ออกมาจากตัวคนยังคงล่องลอยไปทั่วยอดเขาจรัสตะวันตก พลังเพียงเท่านี้ก็เผยให้เห็นการบ่มเพาะที่ล้ำลึกของเขาแล้ว
“ข้าขอถามศิษย์พี่ได้หรือไม่ว่าเหตุใดท่านจึงมาที่ยอดเขาจรัสตะวันตกของข้า?” มีร่างหนึ่งลอยขึ้นกลางเวหาด้วยความเร็วสูง ซึ่งก็คือมู่ขุยนั่นเอง เขาสังเกตเห็นคนผู้นี้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้จึงเอ่ยถามออกไป
ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้สั่งไว้ว่าหากมีใครเข้ามาที่ยอดเขาจรัสตะวันตก ให้มู่ขุยคอยจัดการ เพราะอย่างไรแล้วอาจารย์ผู้เป็นปรมาจารย์สูงสุดของพวกเขาก็ได้จากไปแล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงมู่ขุยเท่านั้นที่ทำได้
“หืม? เป็นอสูรหมาป่าจริงรึ? ช่างกล้า! เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดในที่แห่งนี้?” ชายหนุ่มชุดขาวทำหน้ามุ่ยก่อนขมวดคิ้วพลางกล่าว
เขาทราบว่ามีร่างที่ดุร้ายโผล่ออกมาจากยอดเขาจรัสตะวันตก ดังนั้นจึงไม่กล้าลงไปยังยอดเขา ทว่าเมื่อเห็นอสูรหมาป่าซักถามโดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
เท่าที่ทราบ ไม่มีตัวตนเช่นนี้ในบรรดาศิษย์ชั้นสูงแห่งยอดเขาจรัสตะวันตก
“ข้าคือผู้รับใช้ของเฉินซี นายท่านแห่งข้า และข้าได้รับความไว้วางใจจากนายท่านให้ดูแลสถานที่แห่งนี้ หวังว่าศิษย์พี่จะไม่รังเกียจ” มู่ขุยไม่พอใจอย่างมากที่ถูกว่าต่อหน้า ทว่าเขาก็ยอมอดทนอธิบาย
“โอ้?” ชายหนุ่มชุดขาวเลิกคิ้วขึ้นก่อนกล่าวอย่างไม่ใส่อารมณ์ “เจ้าคือผู้รับใช้ที่อยู่เคียงข้างศิษย์น้องเฉินซีสินะ จงบอกเขาว่าซินหรูไห่จากโถงภารกิจสวรรค์ในยอดเขาจรัสสสารมีเรื่องจะหารือ”
“โอ้ ศิษย์พี่ซินหรูไห่” มู่ขุยอึ้งงันพลางสงสัยเล็กน้อยในใจ เขาทราบว่าโถงภารกิจสวรรค์ของยอดเขาจรัสสสารเป็นสถานที่มอบหมายภารกิจภายในนิกาย และเป็นสถานที่ซึ่งวัดระดับผลงานของเหล่าศิษย์
แต่เหตุใดคนจากโถงภารกิจสวรรค์อย่างซินหรูไห่จึงมาที่นี่กัน?
“อ๋า? ศิษย์พี่ซินหรูไห่มาเยี่ยมถึงที่ ช่างเป็น… แขกผู้มีเกียรติ” เมื่อหั่วโม่เลยกับพวกพ้องได้ยินเสียง พวกเขาล้วนแสดงสีหน้าละอายใจเมื่อเห็นอีกฝ่าย
ซินหรูไห่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเมื่อเห็นหั่วโม่เลยกับพวกพ้อง ทว่าก็ยังคงควบคุมอารมณ์พลางกล่าวอย่างอดทนว่า “ศิษย์น้อง ภารกิจของนิกายที่แบ่งไปตามยอดเขาจรัสตะวันตกถูกเลื่อนออกไปครึ่งปีแล้วและยังไม่เสร็จสมบูรณ์ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเจ้าทุกคนจะไม่ได้รับผลประโยชน์หรือทรัพยากรใด ๆ ที่นิกายแจกจ่ายให้”
หั่วโม่เลยและพวกพ้องแสดงสีหน้าราวกับคาดเดาได้แล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงมาที่นี่
“อันใดกัน? พวกเจ้ายังคิดจะผัดวันต่อไปอย่างนั้นหรือ?” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเผยท่าทางเช่นนี้ คิ้วของซินหรูไห่ก็ยิ่งขมวดเข้าไปใหญ่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ครั้งนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว ข้าได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสว่า หากพวกเจ้าไม่สามารถทำภารกิจให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน ไม่ใช่เพียงแค่จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์และทรัพยากรเท่านั้น พวกเจ้าจะถูกลงโทษอีกด้วย และแม้กระทั่งถูกลดขั้นเป็นศิษย์สายใน!”
บัดนี้ สีหน้าของหั่วโม่เลยและพวกพ้องพลันหม่นหมองลง ในที่สุดก็ตระหนักถึงความตึงเครียดของสถานการณ์!