บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 591 ชั่วพริบตาเดียว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 591 ชั่วพริบตาเดียว

บทที่ 591 ชั่วพริบตาเดียว

ยืมหัวหรือ?

ผู้บ่มเพาะโดยรอบต่างอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก่อนจะเหลือบมองกัน น้ำเสียงเช่นนี้… ฟังดูจองหองเสียยิ่งกว่าฟางสิงโจวแห่งนิกายธาราเมฆอีก!

เจ้าหนุ่มนี่เป็นใคร?

เขามาจากที่ใดกัน?

หรือว่าเขาจะมาจากนิกายใหญ่เช่นเดียวกับฟางสิงโจว?

มีศิษย์รุ่นเยาว์มากมายจากหลากหลายนิกายที่เดินทางมายังเมืองรอยจันทราอยู่ทุกวัน โดยต่างหมายทำลายอสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ด หากไม่ใช่เพื่อสร้างชื่อให้ตนเอง ก็เป็นเพราะได้รับภารกิจจากนิกายตน

แต่เมื่อผ่านไปหลายปี อสูรไก่ฟ้าทมิฬทั้งเจ็ดยังคงอยู่ดีมีสุข ในขณะที่ศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังไร้ชื่อ แต่กลับต้องตายจากไป ไม่เหลือไว้แม้แต่ร่าง

ชายหนุ่มผู้นี้ สุดท้ายก็ต้องพบกับจุดจบเช่นนั้นกระมัง?

ไม่มีใครมองว่าเฉินซีจะทำสำเร็จ ถึงขนาดไม่กล้ามองเลยด้วยซ้ำ คนหนุ่มสาวมักมีความหยิ่งผยอง แต่บางครั้ง การหยิ่งผยองเกินไปก็อาจเป็นหนทางสู่ความตายได้…

ลวี่ช่งมีใบหน้าบิดเบี้ยว เพราะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนกับคนอื่น ท่าทีสงบเงียบไม่รีบร้อนของชายหนุ่มทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตราย เสมือนเรื่องน่ากลัวกำลังใกล้เข้ามา

แต่ในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เขาก็ปัดความคิดนั้นทิ้งไป มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน? ก็เป็นแค่คนหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะแค่คุยโวโอ้อวดไปเท่านั้นก็ได้

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ลวี่ช่งจึงคลี่ยิ้มโหดเหี้ยมออกมา “เจ้าหนู ศีรษะข้าอยู่ตรงนี้ มันจึงอยู่ที่ฝีมือเจ้าแล้วว่าจะมาเอามันไปได้หรือไม่!”

ตู้ม!

ว่าแล้วเขาก็เหินร่างขึ้นฟ้าพร้อมกับลำแสงสีแดงที่ระเบิดออกมารอบกาย จากนั้นฝ่ามือหนาใหญ่ก็พลันทะยานเข้าใส่เฉินซีที่อยู่ไกล ๆ

แรงลมที่ปล่อยออกมาจากฝ่ามือนั้นรุนแรงและบ้าเลือดมาก มันได้กร่อนทำลายห้วงอากาศ กรีดผ่านรอบทิศ แม้กระทั่งทำให้เกิดเสียงภูตผีร้องโหยหวนและปีศาจคำรามไม่หยุดดังก้องทั่วฟ้าดินอยู่ภายในทะเลเลือดอันน่าสยดสยอง

“ผนึกอสูรหมื่นวิญญาณเลือดl!”

“นี่คือศาสตร์เต๋าที่ยังไม่สมบูรณ์ ลวี่ช่งบ่มเพาะมันมานานหลายปีแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่วิชาธรรมดาจะสามารถต่อกรได้”

“ถอย! เร็วเข้า! ไม่ว่าจะคนหรือผีก็ไม่อาจหลบหนีจากความตายแห่งผนึกอสูรหมื่นวิญญาณเลือดได้!”

ทุกคนมีสีหน้าซีดเผือด พากันหันหลังวิ่งหนีไปอย่างไม่ลังเล กลัวว่าหากช้าแม้เพียงนิดก็จะถูกแรงลมจากฝ่ามืออันน่าเกรงขามนี้เข้า

ครืน!

เกิดเสียงครืนดังลั่นจนสะเทือนฟ้าดิน อาคารตึกทั้งหลายในระยะหกลี้พังทลายลงมาไม่เหลือชิ้นดี ส่วนผืนดินก็เต็มไปด้วยหลุม กลุ่มคนจำนวนมากที่วิ่งหนีไปกำลังถูกแสงสีแดงเลือดดูดกลืน พวกเขาไม่ทันได้ส่งเสียงร้องก็หายไปเสียแล้ว

เมื่อหันไปมองจุดที่เฉินซียืนอยู่ พื้นที่ตรงนั้นก็กลายเป็นรอยแยกดั่งผาลึก มองลงไปไม่เห็นก้น ไร้ความมีชีวิตชีวาใดหลงเหลืออยู่

“ฮ่า ๆ! กล้าท้าทายท่านปู่ผู้นี้ด้วยความสามารถเพียงเท่านี้อย่างนั้นหรือ? ประมาทเกินไปแล้ว เกิดชาติหน้าก็ขอให้มีสายตาเฉียบแหลมกว่านี้ก็แล้วกัน!” ลวี่ช่งระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ตอนแรกเขากังวลว่าเฉินซีอาจมีไพ่ตายอะไรบางอย่างอยู่ ดังนั้นจึงใช้กระบวนท่าขั้นสูงอย่างผนึกอสูรหมื่นวิญญาณเลือดที่ตนเองมีออกมาทันทีอย่างเต็มกำลัง แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว ร่างแหลกสลายกลายเป็นชิ้นไปแล้ว!

ที่น่าเสียใจเพียงอย่างเดียวก็คือ หลังจากคู่ต่อสู้ถูกระเบิดร่างไปแล้ว สมบัติทั้งหลายก็จะถูกระเบิดหายไปด้วย ทำให้ลวี่ช่งถอนหายใจด้วยความเสียดายยิ่ง

ผู้บ่มเพาะที่ชมการต่อสู้อยู่รอบข้างได้แต่เหลือบมองหน้ากัน แล้วพากันถอนหายใจ ก็แน่สิ เป็นลูกนกอีกตัวที่เอาชีวิตมาทิ้ง ไม่สามารถต้านทานกระบวนท่าเดียวได้ ย่อมต้องสูญสลายหายไปเช่นนั้น

แต่ก็ไม่นับว่าเสียเพียงอย่างเดียว ด้วยถึงขนาดได้ตายภายใต้วิชาผนึกอสูรหมื่นวิญญาณเลือดของลวี่ช่ง เพราะคนอื่นยังไม่มีใครที่สามารถบีบให้เจ้าตัวต้องใช้กระบวนท่านี้และถูกสังหารอย่างโหดร้ายได้เพียงนี้!

ฟิ้ว!

ทว่าเมื่อลวี่ช่งคิดจะเข้าปล้นสมบัติของฟางสิงโจว ทั่วทั้งร่างพลันหยุดชะงักเหมือนกลายเป็นรูปปั้นดินเผาไปอย่างนั้น

ภายในม่านตาของเขาพลันเห็นแสงกระบี่ที่ส่องประกายวาววับระเบิดออกมา ร่างสูงใหญ่ของเฉินซีปรากฏตัวขึ้นประหนึ่งแสงจ้า ชายหนุ่มเคลื่อนร่างผ่านเขาไปด้วยความเร็วที่เทียบกับการข้ามมิติได้ทีเดียว

ฟู่!

เลือดสีแดงฉานกรุ่นร้อนกระเซ็นออกมา ทั้งน่ากลัวและน่าตกใจยิ่งนัก

“เจ้า… ยัง… ไม่ตาย… อย่างนั้นหรือ…?” ลูกตาของลวี่ช่งขยับไปมา สองมือกำลำคอแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและความหวาดกลัว

ที่น่ากลัวที่สุดคือ ทุกคำที่เขาพูดออกมาได้ก่อให้เกิดเลือดพุ่งออกมาจากลำคอ เมื่อพูดคำสุดท้ายจบแล้ว ศีรษะก็กระเด็นไปเหมือนผลแตงสุก จากนั้นร่างก็หงายลงกระแทกพื้น

หมับ!

มือข้างหนึ่งคว้าศีรษะโชกเลือดของลวี่ช่งเอาไว้ เฉินซีเหลือบมองศพไร้หัวบนพื้นก่อนส่ายหน้า เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ข้าเองก็ลืมบอกเจ้าไปว่าข้าบ่มเพาะถึงขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ตั้งนานแล้ว…”

น่าเสียดายที่ลวี่ช่งเป็นพวกเจ้าเล่ห์เจ้ามากแผนการ และมักจะทำการสิ่งใดรอบคอบมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายกลับต้องมาตายเพราะความประมาท

แต่แน่นอนว่า ไม่ว่าจะระแวดระวังอย่างไร แต่ชีวิตก็ไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปเมื่อเฉินซีหมายสังหาร ชายหนุ่มมีทั้งพลัง ทั้งยังได้เปรียบ จนตัวเขาไม่อาจเทียบได้เลย!

ทุกคนโดยรอบตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าเฉินซีถูกแรงระเบิดตายไปแล้วอยู่เลย ไม่คิดเลยว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาไม่เพียงแต่จะสามารถกลับมาปรากฏตัวอย่างไร้รอยขีดข่วนอยู่ตรงหน้า กลับยังตัดหัวอีกฝ่ายได้อีกด้วย!

ไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าเฉินซีลงมือตอนไหน!

ความเร็วเช่นนี้เหนือกว่าจินตนาการของผู้ใด ทำให้ทุกคนไม่อยากเชื่อสายตาตน

ซัดคราวเดียวศีรษะก็ร่วงหล่นอย่างนั้นหรือ นี่มันท่ากระบี่อันน่าเกรงขามอันใดกัน? อย่างกับเจ้าแห่งความตายที่มาจากนรกก็มิปาน ระหว่างที่ทุกคนตกใจก็เอาชีวิตคนไปได้แล้ว!

“ชายหนุ่มผู้นี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!” ผู้บ่มเพาะคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหนักหน่วง

“ลวี่ช่งพเนจรไปทั่วอยู่นานหลายปี แต่กลับต้องมาตายตกภายใต้กระบวนท่านี้ ต้องแข็งแกร่งแค่ไหนถึงจะทำเช่นนี้ได้?” อีกคนเอ่ยขึ้นด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

“เขาคงไม่ใช่ศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองกระมัง? เหมือนเห็นเงาตู้เซวียนมาจากเขา ทั้งคู่ยังหนุ่ม อีกทั้งหากลงมือแล้วต้องมีคนตายเหมือนกัน”

“ตู้เซวียน? หนึ่งในห้าศิษย์ชั้นยอดแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง อัจฉริยะจากตระกูลอีกาวิญญาณน่ะนะ? เจ้าเด็กตรงหน้าพวกเรานี่แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?”

“ถึงไม่แกร่งกว่า แต่ก็คงไม่ได้ด้อยกว่าตู้เซวียนแน่”

ผู้คนโดยรอบกระซิบกระซาบกันอย่างออกรส

เฉินซีย่อมได้ยินคำพูดพวกนั้น และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำ ‘หากคนพวกนี้รู้ว่ากระทั่งตู้เซวียนยังพ่ายแพ้ฝีมือข้า ไม่รู้ว่าจะคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง?’

พร้อมกันนั้น เขาก็เข้าใจถึงอิทธิพลของกระบี่เก้าเรืองรอง ด้วยกระทั่งชื่อเสียงของศิษย์อย่างตู้เซวียนยังดังไกลมาถึงเมืองห่างไกลออกมานับแสนลี้ได้เช่นนี้ ย่อมแน่ชัดว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองมีอำนาจมากเพียงใด!

แต่ไม่นานเท่าใดเขาก็หันไปสนใจลวี่ช่งแทน

แม้ว่าในตอนนี้ลวี่ช่งจะกลายเป็นศพไปแล้ว แต่แก่นวิญญาณยังคงอยู่ อีกทั้งด้วยความที่เจ้าตัวฆ่าคนมามาก ไฟบาปที่เรืองออกมาจึงหนาแน่นนัก กระทั่งหกวิถีสังสารวัฏยังไม่คิดรับคนชั่วช้าเช่นนี้ ฉะนั้นคงเกิดใหม่ไม่ได้อีกแล้ว

แน่นอนว่าลวี่ช่งอาจหาร่างใหม่เพื่อฟื้นคืนชีพได้ แต่น่าเสียดายที่เฉินซีย่อมไม่ให้อีกฝ่ายทำตามหวัง

ขวับ!

ชั่วพริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็ยื่นมือออกมาคว้าอากาศ มือไร้รูปร่างขนาดใหญ่เคลื่อนออกไป ‘คว้า’ ร่างวิญญาณของลวี่ช่ง ซึ่งก็คือแก่นวิญญาณของลวี่ช่งนั่นเอง

“เจ้าคนชั่ว! ปล่อยท่านปู่ของเจ้าเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นหากพวกพี่ใหญ่รู้เข้า พวกเขาจะมาเลาะเส้นเอ็น ถลกหนัง เผากระดูก สาดเถ้าเจ้าทิ้งแน่! พวกเขาต้องบดขยี้สังหารเจ้าแน่นอน!” แก่นวิญญาณของลวี่ช่งร้องโหยหวน แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ถูกอีกฝ่ายคว้าไว้มั่น ไม่เหลือโอกาสหนีอีกต่อไป

“หือ?” เฉินซีมุ่นคิ้ว เขารู้สึกว่าถึงลวี่ช่งจะหนีไปไม่ได้ แต่มันก็มีพลังงานแห่งบาปสีดำพุ่งออกมาจากแก่นวิญญาณในร่างเขา เหมือนต้องการบ่อนทำลายแก่นโลหิตและวิญญาณ

“วิชาแท่นดอกบัว ทุกขั้นดอกบัวรวมเป็นหนึ่งแสงศักดิ์สิทธิ์กระจ่าง สังหารความชั่วร้ายให้สิ้นไป!” ชั่วพริบตาต่อมา แสงสว่างเจิดจ้าของแท่นดอกบัวก็เปล่งออกจากมือของเฉินซี มันเป็นแสงสีทองเจิดจ้าที่มีกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถชำระล้างใต้หล้า ขจัดความชั่วร้ายได้

นี่คือศาสตร์เต๋าจากสัจธรรมสวรรค์ มีชื่อว่าสิบสองแท่นดอกบัวแห่งการหลุดพ้น มันสามารถขจัดความชั่วร้ายได้ ทั้งยังรับมือกับวิชาอสูรได้เป็นอย่างดี

ระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาปิดประตูบ่มเพาะอยู่ภายในโลกแห่งดารา เฉินซีได้เรียนรู้ทำความเข้าใจศาสตร์เต๋ามากมายแล้ว และสิบสองแท่นดอกบัวแห่งการหลุดพ้นก็เป็นหนึ่งในนั้น

ซึ่งหากบ่มเพาะศาสตร์เต๋านี้ได้ถึงระดับสูง ก็จะสามารถสลายภัยพิบัติในใต้หล้า ขจัดความชั่วร้าย ทำลายบาปทั้งหลายได้ ศักดิ์สิทธิ์เป็นยิ่งนัก

ฟิ้ว!

ราวกับเทน้ำมันราดกระทะร้อน ทันทีที่แก่นวิญญาณของลวี่ช่งถูกลำแสงสีทองโอบล้อมไว้ มันก็สั่นสะเทือนอย่างแรง แสงเรืองแห่งบาปสีดำที่เปล่งออกมาถูกแผดเผาจนหายไป มันเจ็บปวดเสียจนลวี่ช่งร้องเสียงแหลม ร้องขอความเมตตาไม่หยุด

เมื่อแสงแห่งบาปดับมอดไปแล้ว แก่นวิญญาณก็เหือดแห้ง สูญสิ้นสติสัมปชัญญะ สลายหายไปในฟ้าดิน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องชิงร่างมาเกิดใหม่เลย กระทั่งไปเกิดชาติใหม่ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!

การกระทำเช่นนี้ทำให้ไม่อาจเกิดใหม่ได้ตลอดกาล และไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเผ่าอื่นใด มันก็นับเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดซึ่งไม่อาจยอมรับได้ เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกสังหารเสียอีก

“ว่ามา ศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่มาเมืองรอยจันทราเมื่อหลายวันก่อนอยู่ที่ใด?” เฉินซีถามเสียงเย็น

“เจ้า…เจ้ามาจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองหรือ!?” ลวี่ช่งร้องเสียงตกใจ

“หากยังเอ่ยอะไรไร้สาระอีก อย่าโทษว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน” ชายหนุ่มเหลือบมองแท่นดอกบัวในมือก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

“หากพูดเจ้าจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่?” อีกฝ่ายร้องขอ

เขาไม่พูดต่อ จากนั้นจึงใช้แท่นดอกบัวบดขยี้แก่นวิญญาณของลวี่ช่งอีกครั้ง ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนอีกฝ่ายร้องโหยหวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสุดท้ายอีกฝ่ายไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้ จึงบอกทุกอย่างออกมาในที่สุด

ตู้ม!

หลังจากได้รู้ข้อมูลทุกอย่างแล้ว เฉินซีก็ทำลายแก่นวิญญาณของลวี่ช่งทิ้ง จากนั้นก็หายตัวไป

อึดใจต่อมา ณ พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองรอยจันทรา สถานที่ตั้งของนิกายวายุม่วง

‘จากที่ลวี่ช่งว่า ศิษย์พี่ชิงอวี่ถูกขังอยู่ที่นี่ แต่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ? หรือว่าเขาคิดอย่างไรก็ต้องตาย จึงจงใจหลอกล่อให้เขามาที่นี่กัน?’ ร่างสูงมาถึงนิกายวายุม่วงอย่างเงียบเชียบภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาพึมพำพลางมองไปยังหอสูงซึ่งมีแสงเรืองออกมาจากไกล ๆ แต่ถึงนี่จะเป็นรังมังกร ชายหนุ่มก็คงได้แต่ต้องเข้าไปแล้ว…

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท