บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 598 ผลประโยชน์มากมายก่ายกอง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 598 ผลประโยชน์มากมายก่ายกอง

บทที่ 598 ผลประโยชน์มากมายก่ายกอง

หินหลอมเหลวในสระเปลวเพลิงไหลเชี่ยวกราก ผสมผสานเข้าด้วยกันกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีฟ้า ทำให้ดูลี้ลับยิ่งนัก

ทันใดนั้น มือของเฉินซีก็สะบัดไปรอบ ๆ ส่งแหอักขระยันต์อันกว้างใหญ่ ทอดไปยังสระเปลวเพลิงเหมือนตาข่าย

นี่คือวิชาที่จารึกอยู่บนแผ่นหยกที่ปี้หลิงอวิ้นได้มอบไว้ให้กับเขา เพราะภายในนั้นไม่เพียงแต่จะมีวิธีขัดเกลาพัดเทพอัคคี มันยังมีวิชากักเบญจเพลิงที่สามารถกักเก็บเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าที่จำเป็นอีกด้วย ซึ่งเพลิงที่ว่าก็จะประกอบไปด้วยเพลิงทองคำ เพลิงวิญญาณพฤกษา เพลิงวารีทมิฬ เพลิงตะวันและเพลิงหินย้อย

โดยวิชากักเบญจเพลิงนี้ก็ได้แบ่งแยกและมีความล้ำลึกยิ่ง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเพลิงชนิดนั้น ๆ ที่กำลังเก็บเอาไว้ เช่น ที่ชายหนุ่มใช้เพื่อกักเก็บเปลวเพลิงวารีทมิฬอยู่ในขณะนี้

วื้ด!

หินหลอมเหลวไหลเชี่ยวอย่างรุนแรงไม่มีที่สิ้นสุด ไม่นานนัก เปลวเพลิงวารีทมิฬสีฟ้าจึงถูกดึงขึ้นมา มันกลายมาเป็นดวงแสงที่มีขนาดเท่ากำปั้นอยู่ภายในร่างแห

เพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้เย็นวาบไปถึงกระดูก หากผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติสัมผัสโดนแม้แต่นิด ทั้งร่างและจิตวิญญาณก็จะถูกแช่แข็ง กลายเป็นประติมากรรมที่ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า

และมันยังคงเป็นหนึ่งในเปลวเพลิงที่หายากที่สุดในการใช้หลอมพัดเทพอัคคี ซึ่งถูกจัดลำดับให้เป็นสมบัติที่ต้องอาศัยโชคเท่านั้นจึงจะหาได้!

“วารีทมิฬ… จงบรรจบ!” ไม่นานนัก เปลวเพลิงวารีทมิฬที่มีขนาดเท่ากำปั้นก็ได้ถูกห่อด้วยบางสิ่งนับร้อยนับพันชั้น ทำให้มันไม่อาจขยับได้ หลังจากนั้นเฉินซีพลันเปิดปาก กลืนกินเปลวเพลิงวารีทมิฬเข้าไปในคำเดียว และหล่อเลี้ยงมันไว้ในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขา

เพลิงศักดิ์สิทธิ์นี้ควบคุมได้ยาก เขาทำได้เพียงแค่ผนึกมันไว้ชั่วคราว ขณะเดียวกันก็ต้องค่อย ๆ ทำให้มันเชื่องก่อนที่จะนำมาใช้ได้ในวันข้างหน้า

อึก! อึก!

ทันทีที่เปลวเพลิงวารีทมิฬถูกชายหนุ่มคว้าไป หินหลอมเหลวในสระเปลวเพลิงก็เหือดแห้งด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด เหลือเพียงแต่ก้นสระที่ว่างเปล่า

ยิ่งไปกว่านั้น ก้นสระยังคงเต็มไปด้วยเงาสีครามและดำ เป็นเหมือนประกายแสงศักดิ์สิทธิ์

“เอ๊ะ มันไม่เพียงแต่จะมีปีกของวิหคเพลิงนภา ยังมีปีกไก่ฟ้าทมิฬอีกด้วย!” หลิงไป๋ก้มลงมองพลางร้องด้วยความตกใจ

เฉินซีหรี่ตาลง เมื่อสังเกตเห็นว่า ปีกครามกับปีกดำที่วางอยู่ตรงก้นสระนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือ ซึ่งเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และแสงที่ลุกโชน

ในจังหวะถัดมา สมบัติอันล้ำค่าทั้งสองชิ้นนี้ก็ตกไปอยู่ในมือของเฉินซี น้ำหนักที่เบาเหมือนความว่างเปล่าสัมผัสกับฝ่ามือของเขา เมื่อสังเกตดู ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน ปีกคู่นี้ถูกสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มันสามารถเทียบกับสมบัติกึ่งอมตะได้เลยทีเดียว!

“เสวียนเจิงหาสมบัติที่ล้ำค่าเช่นนี้ได้ นับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะอย่างไรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปีกของวิหคเพลิงนภาหรือไก่ฟ้าทมิฬ ก็ล้วนเป็นสัตว์ปีกที่น่าเกรงขาม ซ้ำยังเป็นวัสดุที่ยอดเยี่ยม หายากและมีค่ามหาศาล เพื่อใช้สร้างสมบัติอมตะ” หลิงไป๋ยกย่อง

เฉินซีทราบว่าทั้งปักษาครามและไก่ฟ้าทมิฬต่างเป็นสัตว์ปีกที่น่ายำเกรงในยุคบรรพกาลทั้งสิ้น พวกมันเก่งกาจเสียจนต่อกรกับทวยเทพได้ด้วยซ้ำ!

และการจะได้มาซึ่งปีกทั้งสองนี้ก็ช่างยากไม่ต่างอะไรกับการขึ้นสวรรค์ ที่แม้แต่เหล่าทวยเทพก็ใช่ว่าจะบรรลุถึง ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายดายมาก ประการหนึ่งคือสัตว์ปีกเหล่านี้มีสายเลือดที่น่าสะพรึงกลัวและทรงเกียรติ จึงมีพละกำลังที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง อีกประการหนึ่งก็คือ แม้จะกำจัดพวกมันได้ ปีกของพวกมันก็จะถูกทำลายไปด้วย ทำให้หมดโอกาสที่จะใช้

หากต้องการชิงสมบัติจากสัตว์ร้ายเหล่านี้ ก็ทำได้เพียงรอคอยจนกว่าพวกมันจะสิ้นอายุขัยและสลัดปีกทิ้ง แต่โดยปกติแล้ว แม้ว่าพวกมันจะสลัดปีกทิ้ง ก็จะไม่ปล่อยให้มนุษย์ได้ครอบครอง แต่จะทิ้งปีกไว้ให้ลูกหลานของมันเท่านั้น

จึงเห็นได้ชัดว่าปีกของวิหคเพลิงนภากับปีกไก่ฟ้าทมิฬนั้นล้ำค่าเพียงใด

และตามที่จารึกไว้ในตำราโบราณ ปีกของวิหคเพลิงนภา ไก่ฟ้าทมิฬ และวิหคเพลิงเป็นปีกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงด้วยสัตว์ร้ายผู้เป็นเจ้าของ …ในแง่ของความล้ำค่า พวกมันด้อยกว่าอัฐิล้ำค่าในร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนสาเหตุที่อัฐิล้ำค่านั้นหายากยิ่งกว่า เพราะทุกกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าโดยกำเนิดจากสัตว์ปีกเหล่านี้ล้วนมาจากอัฐิล้ำค่าในร่างกาย ความล้ำลึกของเต๋าที่ตราอยู่ภายในนั้นจึงหายากกว่าปีกเสียอีก

ตัวอย่างเช่น อัฐิล้ำค่าของคุนเผิงที่เฉินซีครอบครองไว้ ก็ทำให้เขาเรียนรู้พลังอิทธิฤทธิ์ก่ออัสนีผสานดาราที่แฝงอยู่ภายในนั้นได้

“เพียงพัดนกยูงเพลิงที่ถูกสร้างขึ้นมาจากขนของราชานกยูงปรโลก ก็นับว่าเป็นสมบัติกึ่งอมตะที่ทรงพลังมากแล้ว ข้าจึงสงสัยนักว่าปีกของวิหคเพลิงนภากับปีกไก่ฟ้าทมิฬจะมีพลังมากเพียงใดกัน…” ชายหนุ่มถูปีกทั้งสองคู่ ทำให้เกิดเสียงเสียดสีขึ้น แล้วลำแสงศักดิ์สิทธิ์ปะทุออกมา มันเปล่งเสียงราวกับหินกระทบกับทองคำ

ฟิ้ว!

เฉินซีแกว่งปีกของวิหคเพลิงนภาเบา ๆ ทำให้เปลวเพลิงพลันพวยพุ่งออกมา เพลิงสีครามเผาไหม้พื้นที่โดยรอบอย่างเดือดดาล เพียงแค่พลังนี้ก็สามารถละลายสมบัติระดับสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย

หลังจากนั้น เขาจึงทำการทดสอบอิทธิฤทธิ์ของปีกไก่ฟ้าทมิฬซึ่งน่าตกตะลึงไม่แพ้กัน!

“เป็นอย่างนี้นี่เอง ปีกของวิหคเพลิงนภาบรรจุเพลิงศักดิ์สิทธิ์ครามสงบ ขณะที่ปีกไก่ฟ้าทมิฬบรรจุเพลิงศักดิ์สิทธิ์กร่อนทมิฬ พวกมันดีไม่แพ้เปลวเพลิงสมาธิที่แท้จริงซึ่งอยู่ในพัดนกยูงเพลิงเลยแม้แต่น้อย…” ชายหนุ่มพลันเก็บสมบัติทั้งสองชิ้นนี้พร้อมกับความพึงพอใจที่เต็มเปี่ยม

ไม่ว่าจะเป็นปีกของวิหคเพลิงนภาหรือปีกไก่ฟ้าทมิฬ ทั้งคู่ต่างก็เป็นวัตถุดิบหลักในการหลอมสร้างสมบัติอมตะพัดเทพอัคคี หากรวมพัดนกยูงเพลิงแล้ว เขาก็จะขาดแค่ปีกวิหคอมตะ ปีกอีกาทมิฬ ปีกกระเรียนปรภพ และปีกอีกาทองคำ

ในส่วนของเปลวเพลิง เขาเก็บเปลวเพลิงวารีทมิฬมาได้แล้ว แต่ยังขาดเปลวเพลิงทองคำ เพลิงวิญญาณพฤกษา เพลิงตะวันและเพลิงหินย้อย

ตราบใดที่เขาทำตามไปทีละขั้น ก็จะสามารถรวบรวมวัสดุและเปลวเพลิงทั้งหมดเพื่อสร้างพัดเทพอัคคีได้ในที่สุด คิดเพียงเท่านี้ก็ทำให้เขารู้สึกทะเยอทะยานมากแล้ว

“อะแฮ่ม เฉินซี โชคชะตาเข้าข้างเจ้าเสียจริง เสวียนเจิงรวบรวมสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้นนี้อย่างอุตสาหะด้วยความตั้งใจที่จะใช้เปลวเพลิงวารีทมิฬกับแก่นโลหิตของชิงอวี่เพื่อหลอมรวมทุกอย่างกลายเป็นสมบัติล้ำค่า แต่สุดท้ายมันกลับตกเป็นของเจ้า” หลิงไป๋ให้กำลังใจเฉินซีพลางยิ้มกล่าว

“จริงด้วย แล้วศิษย์พี่ชิงอวี่เป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าตัวก็ยิ้มเช่นกัน แต่ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อเห็นชิงอวี่ที่มีสีหน้าว่างเปล่าราวกับวิญญาณออกจากร่าง

“เขาสบายดี นี่เป็นเพียงวิธีการผนึกวิญญาณเท่านั้น ภายในสามวันเขาก็จะตื่นแล้ว” หลิงไป๋กล่าว

“ดีล่ะ อย่างนั้นไปกันเถิด” เฉินซีถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ว่าแล้วชายหนุ่มก็รีบพาชิงอวี่กับหลิงไป๋จากไป เขาออกจากถ้ำใต้ดินก่อนที่จะพุ่งไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ภายนอกแคว้นสือโดยไม่รีรอ

ระหว่างทาง เฉินซีค้นพบว่าเหตุใดหลิงไป๋จึงหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปช่วยชิงอวี่อยู่หลายวัน นั่นเป็นเพราะเพื่อให้ได้มาซึ่งปีกของวิหคเพลิงนภาของเสวียนเจิงนั่นเอง!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ต่อให้เขาไม่มา หลิงไป๋ก็ยังคิดจะกำจัดเสวียนเจิงอยู่ดี!

ไม่นานหลังจากที่เฉินซีจากไป ความผันผวนของมิติอันแน่นหนาก็ปรากฏขึ้นเหนือเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้า ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นซากปรักหักพังเสียแล้ว

ฟิ้ว!

ร่างที่สง่างามปรากฏตัว นางมีผมสีดำขลับเคลียบ่า รูปลักษณ์มีเสน่ห์มาพร้อมกับริมฝีปากสีแดงสด และทุกการเคลื่อนไหวของนางได้เผยให้เห็นความงาม เป็นที่น่าดึงดูดสายตาของทุกคน

ที่น่าตกใจคือ นางเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง เสวี่ยเหยียน

“บัดซบ! ข้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง…” เสวี่ยเหยียนกัดริมฝีปากเบา ๆ ดวงตาอันน่าหลงใหลของนางเจือโทสะ ถึงกระนั้นก็ยังเผยให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ทำให้ใจของผู้คนเต้นแรงและเต้นเร็ว

“ควรทำอย่างไรดี? ผู้อาวุโสมอบหมายให้ข้าจัดการกับเรื่องนี้แล้ว หากกลับไปมือเปล่า คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษได้…” นางขมวดคิ้วพลางกล่าวเสียงแผ่วเบา

หลังจากนั้น ดูเหมือนว่านางจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ดวงตาเปล่งประกาย “ประเดี๋ยวนะ เจ้าเด็กนี่เพิ่งจากไปไม่นานนี้เอง ข้ามั่นใจว่ายังใช้วิชาตามรอยของเขาได้…”

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางจึงยื่นมือเรียวขาวและบอบบางคู่นั้นออกมา ทันใดนั้นก็มีม่านที่ราวกับแผ่นน้ำแข็งไหลออกมาพร้อมกับแสงศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะกลายเป็นกระจกเงาท่ามกลางหมอก

ว่าแล้วพลันมีฉากปรากฏขึ้นในกระจก และที่น่าตกใจคือทุกอย่างซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในเทือกเขาเทพเจ้าไก่ฟ้าเมื่อไม่นานมานี้ได้ถูกฉายอยู่ในนั้น!

ช่วงเวลาถัดมาไม่นาน นางก็จ้องเขม็งไปยังร่างสูง แต่เมื่อได้ใช้วิชานี้ด้วยความตั้งใจที่จะค้นหาเส้นทางที่เฉินซีจากไป นางกลับเริ่มรู้สึกใจสั่น ชีพจรโลหิตไหลไปในทิศทางตรงกันข้าม ทันใดนั้น นางก็กระอักเลือดสีแดงเข้มออกมาเต็มปาก

“เป็นไปได้อย่างไร! ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจ้าเด็กนี่ล้วนมีสวรรค์เป็นใจทั้งสิ้น! ต้องมีพลังมากเท่าไรกันจึงจะบรรลุถึงขั้นนี้ได้?” เสวี่ยเหยียนเช็ดรอยเลือดที่ไหลออกจากมุมปากของนาง ดูตกตะลึงพร้อมน้ำตาคลอเบ้า

นางไม่ทราบถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และเมื่อสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับโชคชะตาของอีกฝ่าย หญิงสาวก็ต้องทรมานกับผลร้ายที่ตามมา และหากไม่ใช่เพราะหยุดใช้วิชานี้ทันเวลา นางคงเกือบต้องทนทุกข์ทรมานจากลมปราณแตกซ่านเสียแล้ว!

“เจ้าเด็กนี่มันเป็นใคร…?” เสวี่ยเหยียนวิงเวียนศีรษะอยู่นานพลางถอนหายใจแผ่วเบา

นางไม่เสียเวลาที่นี่อีกต่อไป จากนั้นก็เปิดมิติออกและเดินจากไป

ความผิดปกติของเฉินซีทำให้นางตระหนักได้ทันทีว่า เด็กที่นางเคยคิดว่าจะกำราบได้อย่างง่ายดายกลับมีเบื้องลึกเบื้องหลังอื่นซ่อนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น อาจมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวและยิ่งใหญ่หนุนหลังอีกด้วย!

อีกทั้งการดำรงอยู่ที่สามารถควบคุมพลังสวรรค์ได้นั้นย่อมน่ากลัวและยิ่งใหญ่ที่สุดในสามภพ สามารถทำให้ทุกภพสั่นสะเทือนได้อย่างง่ายดาย!

ดังนั้นนางจึงต้องรายงานนายท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้และให้ผู้อาวุโสตัดสินใจ

แสงวาบเข้ามาในขณะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปิดใช้งาน ภายในเวลาไม่ถึงลมหายใจ เฉินซีก็อยู่นอกนิกายกระบี่เก้าเรืองรองแล้ว

“ศิษย์น้อง เจ้ากลับมาแล้ว!”

“ฮ่า ๆ! ว่าแล้วเชียว! ตราบใดที่ศิษย์น้องลงมือ เขาจะต้องพาศิษย์น้องชิงอวี่กลับมาได้อย่างแน่นอน”

เฉินซีได้รับคำทักทายจากหั่วโม่เลยและพวกพ้องทันทีที่มาถึงยอดเขาจรัสตะวันตกพร้อมกับชิงอวี่ โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาเห็นชิงอวี่อยู่บนหลังของเขา คนทั้งหมดต่างก็แสดงความปลื้มปีติยินดีออกมา

“เฉินซี ไม่ได้เจอกันนานทีเดียว!” ทว่าบัดนี้ เสียงอันเยือกเย็นพลันดังขึ้น และแม้จะเป็นเพียงประโยคธรรมดา แต่มันก็เผยถึงความทรงพลังและความทะนงตัว!

เมื่อเฉินซีเหลียวมอง จึงได้พบกับชายหนุ่มรูปงามที่มากด้วยเสน่ห์ มีผมสีแดงเข้มราวกับเปลวเพลิงและสายตาที่ราวกับสายฟ้าฟาด เขายืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว ทว่ากลับมีกลิ่นอายที่เย่อหยิ่งและทรงพลัง

ชายหนุ่มรู้สึกมึนงงเมื่อเห็นคนผู้นี้ เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อน ว่าหลังจากผ่านไปหลายปี จะได้เจอคนผู้นี้ที่นี่!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท