บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 602 ไข่มุกวิญญาณอสูร

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 602 ไข่มุกวิญญาณอสูร

บทที่ 602 ไข่มุกวิญญาณอสูร

เมืองเฉียนหลิว

มันเป็นเมืองเล็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกลของแดนภวังค์ทมิฬซึ่งอยู่ใกล้กับทะเลไร้ขอบเขต อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลิตผลจากธรรมชาติ และมีนิกายหลายแห่งตั้งอยู่ตามแนวเขาที่เชื่อมกับทะเล

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ ‘กองโจรวายุทมิฬ’ ปรากฏตัว นิกายทั้งหมดรอบ ๆ เมืองก็ถูกปล้นชิงและทำลายล้าง กลิ่นคาวของโลหิตคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

กองโจรวายุทมิฬเป็นกลุ่มโจรที่มีสมาชิกอยู่ประมาณสามสิบคน ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะมารที่ไร้คุณธรรม ที่กระทำการดั่งอสุรกายชั่วร้ายกระหายเลือด ตั้งแต่การกวาดล้างอิทธิพลต่าง ๆ ในเมืองเฉียนหลิวจนหมดสิ้น พวกเขาก็อาศัยอยู่ที่นี่และนำพาหายนะมาสู่ทั้งเมือง ไม่ว่าจะผู้บ่มเพาะหรือคนธรรมดา ก็ล้วนแต่ต้องเผชิญกับความทุกข์เข็ญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ตอนนี้เอง ปราณชั่วร้ายลอยฟุ้งกลางอากาศแปดเปื้อนไปถึงท้องฟ้า ห้องโถงที่เคยสวยงามและยิ่งใหญ่ของเมืองเฉียนหลิวบัดนี้เต็มไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีรูปลักษณ์โหดเหี้ยมจำนวนมากกำลังลาดตระเวนอยู่โดยรอบ

ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของนิกายอันดับหนึ่งประจำเมืองเฉียนหลิว หากทว่าบัดนี้มันกลายเป็นรังของกองโจรวายุทมิฬเสียแล้ว

“อย่างแรก เราควรจะดื่มด่ำกับความสุขในชีวิตเท่าที่จะเสาะแสวงได้ ได้โอบกอดสาวงาม ได้ร้องระบำ และร่วมเสพสุขเป็นครอบครัวของนายน้อยท่านนี้ อย่ามัวแต่รอช้า มิเช่นนั้นเมื่อเจ้าแก่ตัวลง จะมีแต่ต้องนั่งหน้ากระจกและถอนใจด้วยความเสียดาย ฮ่า ๆๆๆ…” ภายในห้องโถงซึ่งตกแต่งอย่างวิจิตร นายน้อยผู้มีรูปลักษณ์ผ่าเผยคนหนึ่งกำลังดื่มสุราอย่างเพลิดเพลิน รอบกายของเขาห้อมล้อมไปด้วยสตรีร่างอรชรที่มีรูปงามดั่งบุปผาคอยปรนนิบัติรับใช้ด้วยความเกรงกริ่ง ในขณะที่ผู้บ่มเพาะวิถีมารขอบเขตแกนทองคำหยินหยางกำลังพูดประจบประแจง

นายน้อยผู้นี้เป็นผู้นำของกองโจรวายุทมิฬ มีนามว่าจางก้ายเขาเป็นซากศพเดินได้ที่มีเต๋าสถิตอยู่ภายใน อุปนิสัยเป็นคนเจ้าอารมณ์และโหดเหี้ยม สามารถกระทำเรื่องต่ำทรามได้ทุกประเภทเท่าที่จะมีได้บนโลกนี้ อีกทั้งยังคิดรวบรวมผู้บ่มเพาะวิถีมารเพื่อปล้นชิงนิกายเซียนทั้งหลาย

นิกายต่าง ๆ กว่าร้อยนิกายในเมืองเฉียนหลิวตกอยู่ภายใต้กำมือของเขา ที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือบรรดาศิษย์หญิงทั้งหลายในนิกายเหล่านี้ล้วนแต่ถูกบังคับลงเป็นทาสเพื่อปรนเปรอกามารมณ์

ทั้งยังนำวิชามารมาใช้ขัดเกลาร่างกายของศิษย์ชายให้กลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง!

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วนที่ต้องการจัดการเขา ทว่าเพียงอาศัยการฝึกฝนในขอบเขตจุติ รวมทั้งกระบวนยุทธ์ระดับเต๋าวิถีมารซึ่งแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ก็ทำให้เขามีพลังมหาศาลมากพอที่จะสั่นประสาททุกคนที่เข้าใกล้

หากผู้บ่มเพาะซึ่งอยู่ในขอบเขตจุติเข้าหาจางก้ายแบบตัวต่อตัว ก็เชื่อได้ว่าคนผู้นั้นไม่มีทางหลงเหลือชีวิตอีกต่อไปอย่างแน่นอน

“ฮิฮิ เรียนนายน้อย จริงอยู่ที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพวกเรานั้นเพลิดเพลินกับทุกสรรพสิ่งในเมืองเฉียนหลิวอย่างมาก และแม้ว่าจะได้เสพสุขอย่างอิ่มหนำสำราญ ทว่าพวกเราก็ยังปรารถนาจะได้ไปฉุดคร่าแย่งชิงในที่อื่น ๆ บ้าง”

“ใช่แล้วขอรับนายน้อย ข้าน้อยได้ยินมาว่าที่เมืองลวี่เหยา มีสาวงามนางหนึ่ง นางเป็นบุตรีของประมุขนิกายประกายหยก สตรีแบบนี้เท่านั้นที่เหมาะสมคู่ควรกับท่าน นายน้อย!”

“ใช่ เราต้องจับตัวนางผู้นั้นมามอบให้นายน้อยให้จงได้ การได้อยู่เคียงข้างนายน้อยถือเป็นบุญบารมีที่นางสั่งสมมาหลายชาติภพแล้ว!”

ผู้บ่มเพาะวิถีมารพูดขึ้น สายตาของพวกเขาสะท้อนแววตื่นเต้นพร้อมถูมือไปมาเมื่อครั้นคิดว่าจะได้ออกปล้นอีกครั้ง ซึ่งพวกเขาหาต้องการสิ่งใดไปมากกว่าการได้ออกเดินทางไปปล้นชิงนิกายประกายหยกแห่งเมืองลวี่เหยา

กลับกัน บรรดาสาวใช้รูปโฉมงดงามต่างหน้าถอดสีด้วยความกลัว พวกนางซ่อนสุ้มเสียงอย่างเงียบงันดังจักจั่นในคราเหมันต์ เนื่องจากพวกนางล้วนแต่เป็นหญิงสาวที่ถูกกวาดต้อนด้วยวิธีการรุนแรง และต้องเผชิญกับทุกข์รวมทั้งความอัปยศหนักหนาเกินจะเอ่ย ดังนั้นพวกนางจึงเข้าใจดีถึงวิธีการอันป่าเถื่อนของผู้บ่มเพาะวิถีมารที่อยู่ตรงหน้า

“เรียนนายน้อย อย่างไรท่านก็อย่าได้ประมาทไป ตอนนี้นิกายใหญ่ ๆ หลายแห่งเริ่มสังเกตเห็นถึงการมีอยู่ของท่านแล้ว และพวกมันก็มีคำสั่งให้ตามไล่ล่าท่าน” บริวารผู้หนึ่งเตือนด้วยเสียงกระซิบ

“สั่งฆ่าข้า? ฮึ่ม! นายน้อยอย่างข้าไม่เคยรังแกคนของนิกายพวกมันสักครั้ง แล้วจะมายุ่งกับกงการของข้าด้วยเหตุอันใด พวกมันนี่ช่างสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่นเกินไปแล้ว” จางก้ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยันขณะยกจอกสุราซึ่งทำจากกระดูกขึ้นดื่มในคราวเดียว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “หากว่าศิษย์ของนิกายพวกนั้นเสนอมาจริง นายน้อยผู้นี้จะทรมานมันไม่ให้ตายตกโดยดี เพื่อแสดงให้พวกมันทั้งหลายได้เห็นว่าใครคือกันแน่ที่ควรอยู่เฉย ๆ!”

ทันทีที่พูดจบ จางก้ายก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง

ทว่า ในตอนนั้นเอง…

ฉับ!

แสงเย็นปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว กลุ่มผู้บ่มเพาะวิถีมารที่อยู่ภายในห้องโถงต่างพากันกระจายตัวเป็นวงกว้างโดยไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าของพวกเขาแข็งทื่อ

พวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้ความตะลึงงันทันทีที่เห็นว่าแสงกระบี่หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางอากาศเบาบาง และสะบั้นศีรษะของจางก้ายแยกจากร่างกายไปต่อหน้าต่อหน้า โลหิตแดงฉานพวยพุ่งจากคอประหนึ่งน้ำพุเลือดมิปาน!

เสียงหัวเราะแสนเย่อหยิ่งนั้นยังคงกึกก้องไปทั่วห้องโถง ทว่าหัวของเขานั้นหลุดออกจากบ่าเสียแล้ว

แสงกระบี่นี่ช่างว่องไวจริง ๆ!

มันรวดเร็วยิ่งกว่าที่ใครหลายคน ณ ที่แห่งนั้นจะจินตนาการถึง คล้ายหายวับไปมาได้ทุกแห่งหน เมื่อมันสว่างขึ้นครั้งหนึ่ง ก็สามารถตัดหัวจางก้ายให้ขาดสะบั้นในเสี้ยวพริบตา

ผู้บ่มเพาะวิถีมารทั้งหมดที่อยู่ในห้องโถงไม่อาจคลายจากความตกใจได้ พวกเขาหยุดคิดไม่ได้ว่าภาพตรงหน้าเป็นเพียงภาพหลอน…

“กองโจรวายุทมิฬมีสมาชิกทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน มีผู้นำชื่อจางก้าย… หากความจำข้าไม่เลอะเลือน ก็คงเป็นพวกเจ้าทั้งหมด” ครานี้เอง เสียงอันราบเรียบเย็นชาก็กังวานทั่วทั้งห้องโถง

หลังจากนั้น หญิงรับใช้ผู้มีหน้าตางดงามก็ถูกพาตัวมาที่นี่ ภาพเบื้องหน้าของพวกนางคือศีรษะของผู้บ่มเพาะวิถีมารทั้งหมดกองเกลื่อนกลาดพื้น คล้ายถูกปลิดออกด้วยฝีมือของใครบางคน ใบหน้าซึ่งขาดออกจากร่างกายนั้นเจือไปด้วยความหวาดหวั่นและความคลางแคลง พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความตายมาถึงตนได้อย่างไร

ฉับ!

เลือดสีแดงที่ยังอุ่นร้อนกระฉูดออกมาจากคอของพวกเขาดั่งสวนน้ำพุ เป็นภาพที่น่าสลดใจและตระการตาอย่างเหลือเชื่อ

“กองโจรวายุทมิฬตายแล้ว!”

“มารร้ายพวกนี้ถูกกำจัดสิ้นแล้ว!”

“สวรรค์มีตา!”

หญิงรับใช้เหล่านั้นคลายอารามตกใจลง พวกนางส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น ปล่อยคลื่นแห่งความปีติยินดีให้กระจายไปทั่วทั้งโถงกว้าง

ณ เมืองเฉียนหลิว ความโกลาหลครั้งใหญ่อันยากจะกล่าวได้เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงในวันนี้

ผู้คนต่างกระจายข่าวสารไปทั่วเมือง พวกเขาวิ่งพล่านไปมาด้วยความตื่นเต้น ในที่สุดกองโจรวายุทมิฬที่ก่อความวุ่นวายมาตลอดหลายปีก็ถูกกำจัดสิ้น ดังหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงใจพังทลายลง เผยแสงสว่างกลับคืนสู่ชีวิตอีกครั้ง

ร่างสูงสง่าเดินออกจากเมืองเฉียนหลิวช้า ๆ ในหูของเขายังคงได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีดังแว่วมาเป็นระยะ และอดไม่ได้ที่จะเผยอยิ้มบนมุมปาก

การทำความดีก็ถือเป็นการบ่มเพาะอย่างหนึ่งมิใช่หรือ?

ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่เมืองเฉียนหลิวเพียงที่เดียวเท่านั้น หากเกิดขึ้นยังสถานที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งในแดนภวังค์ทมิฬ สร้างความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่า

ทว่าแดนภวังค์ทมิฬนั้นกว้างใหญ่เกินไป มันเป็นสถานที่ซึ่งไร้ขอบเขตและมีความมหัศจรรย์พันลึก ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นในแถบชนบทห่างไกล จึงไม่มีทางจะได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจใด ๆ ในแผ่นดิน

“ยังมีงานสุดท้ายอีกอย่างให้ลงมือก่อนจะกลับนิกาย…” เฉินซียืดเหยียดร่างกายพร้อมกับสูดหายใจลึก อย่างไรก็ดี ความอ่อนล้าที่สั่งสมแน่นหนาตรงหว่างคิ้วก็ยังคงติดตรึงไม่ไปไหน

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ เวลาเกือบทั้งหมดของเขาถูกใช้ไปกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ไปถึงที่หมาย ทำภารกิจและจากไป… วนเวียนซ้ำ ๆ เป็นวัฏจักรไม่รู้จบ ในบางครั้ง เขาต้องเดินทางไปหลายพันลี้กว่าจะถึงปลายทาง บางเมืองอยู่ห่างกันสุดไกลปืนเที่ยง ถึงแม้จะเป็นร่างกายที่ได้รับการบ่มเพาะมาอย่างดี ก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่เผชิญนั้นช่างหนักหนา

โชคดีที่ยังมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติคอยทุนแรง หากไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เฉินซีก็คงใช้เวลาร่วมปีกว่าจะเดินทางไปถึงในแต่ละที่

“เมืองเร้นธารา แดนสาปสาง รวบรวมไข่มุกวิญญาณอสูร …งานนี้ค่อนข้างง่าย คงไม่สายเกินไปหากข้าจะกลับไปที่นิกายและพักผ่อนหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ” เฉินซีกวาดมองภารกิจชิ้นสุดท้ายก่อนจะกลายเป็นลำแสง เลือนหายไปจากอากาศทันทีโดยไม่ทิ้งร่องรอย

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท