บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 607 การแข่งขันเพื่อชิงสังเวียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 607 การแข่งขันเพื่อชิงสังเวียน

บทที่ 607 การแข่งขันเพื่อชิงสังเวียน

การทดสอบแห่งยอดเขาจรัสจะเริ่มขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นเท่ากับต้นไม้สามลำ และเหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งช่วงก้านธูป

“เฉินซีอยู่ที่ใดกัน?”

“เหตุใดเขาถึงยังไม่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้?”

เมื่อเวลาผ่านไป ฝูงชนก็อดไม่ได้ที่จะกระสับกระส่ายเล็กน้อย และคลื่นของการสนทนาก็ดังก้องออกไป

“หรือว่าเขากลัวที่จะเข้าร่วมการต่อสู้? เขาไม่กล้าที่จะแข่งขันกับศิษย์ชั้นสูงคนอื่น ๆ หรือ?”

เยว่ฉือที่ยืนอยู่บนแท่นของยอดเขาสัประยุทธ์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ และรอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก จากนั้นเจ้าตัวก็หันไปด้านข้างและกล่าวกับเลี่ยเผิงว่า “พี่เลี่ย ในเมื่อใกล้ได้เวลาแล้ว เหตุใดเราถึงไม่เริ่มการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสเสียตอนนี้เลยล่ะ”

“โอ้…” เลี่ยเผิงตกตะลึง จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เราไม่รอเฉินซีอีกสักหน่อยหรือ?”

“บางทีเด็กน้อยคนนี้อาจพัวพันกับปัญหาบางอย่าง ดังนั้นเขาคงไม่ร่วมการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสในครั้งนี้” เยว่ฉือกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อตนเสนอประเด็นนี้ เลี่ยเผิงจะเห็นด้วยอย่างแน่นอน แต่ชายชราคนนี้กลับเลี่ยงที่จะตอบและเอ่ยชื่อของเฉินซีแทน …อีกฝ่ายไม่คิดจะไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย!

แต่เยว่ฉือก็รู้เช่นกันว่า เฉินซีเป็นที่ชื่นชอบของผู้อาวุโสทุกคนและในสถานการณ์ปกติ พวกเขาจะไม่สร้างปัญหาให้กับอีกฝ่ายอย่างแน่นอน เว้นแต่ว่าพวกเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น

มันถึงขั้นที่พวกเขาจะไม่ทำ แม้ตัวเขาจะเป็นคนออกหน้าแล้วก็ตาม!

‘ช่วยไม่ได้ เจ้าเด็กน้อยนี้สามารถขึ้นไปบนยอดของแท่นดอกบัว และมันไม่เพียงแต่ได้พบกับผู้อาวุโสเต๋าบงกชเท่านั้น มันยังนำมรดกศาสตร์เต๋าทั้งสี่สิบเก้าเคล็ดออกมาเช่นกัน คุณงามความดีเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้อาวุโสปฏิบัติต่อมันเป็นพิเศษ’

‘แต่โชคดีที่เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น และเจ้าเด็กคนนั้นย่อมมาไม่ทันอย่างแน่นอน…’ เขาคำนวณเวลาในใจอย่างเงียบ ๆ และก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว

เยว่ฉือก้าวไปข้างหน้าและกระแอมไอเบา ๆ เขาได้เตรียมตัวเพื่อประกาศการเริ่มต้นของการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสแล้ว

การกระทำของเขาได้ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมากทันที และทุกคนก็ต่างรู้ว่า การทดสอบแห่งยอดเขาจรัสกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ…

ตู้ม!

ในขณะนี้ เสียงระเบิดดังขึ้นที่ด้านข้างของเยว่ฉือ และอากาศก็เกิดเสียงดังโครมคราม จากนั้นก็ปรากฏความผันผวนที่ดูเหมือนกับคลื่นยักษ์ถาโถมออกไป พร้อมกับแสงที่ส่องประกายเจิดจ้าไปทุกหนทุกแห่ง

คลื่นผันผวนนี้ยิ่งใหญ่และทรงพลัง ซึ่งเผยให้เห็นรัศมีแห่งอำนาจเหนือโลกา มันเหมือนกับพายุหมุนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและพัดพาไปนับล้านลี้ และท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันเช่นนี้ มันก็ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้น ความผันผวนก็สงบลง ก่อนจะปรากฏร่างของชายหนุ่มที่หล่อเหลาและไม่ธรรมดาขึ้นที่กลางอากาศ ทำให้ทุกคนงุนงงจนเป็นไก่ตาแตก

“นี่มันเฉินซี! กลิ่นอายนี้มัน…น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!”

“หลังจากผ่านไปสามเดือน พลังของเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก”

“เขาคือศิษย์พี่เฉินซีหรือ? เขาพุ่งตรงเข้าสู่สนามประลองด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง เขาช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ!”

เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของเฉินซีพุ่งทะยานอยู่บนท้องฟ้า ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที และพวกเขาต่างถกเถียงกันมากมาย

ในทางกลับกัน ดวงตาของเหลิ่งชิว ผางโจว และตู้เซวียนก็หรี่ลงเล็กน้อย ประกายความตกใจพลันแวบผ่านใบหน้าของพวกเขา ด้วยเมื่อสามเดือนก่อน เฉินซีได้ยับยั้งตัวเองดั่งกระบี่ที่อยู่ในฝัก ทำให้มิอาจล่วงรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่ายได้

แต่ในขณะนี้ ชายหนุ่มดูจะกลายเป็นคนละคน เขาทำให้ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันที่รุนแรงทันทีที่ปรากฏตัว และกลิ่นอายที่ส่องแสงเจิดจ้าอยู่เหนือท้องฟ้าของยอดเขาสัประยุทธ์ก็กระจายออกไปทันทีที่ชายหนุ่มมาถึง เนื่องจากพวกมันไม่อาจทนต่อแรงกดดันของกลิ่นอายของเฉินซีได้!

“ขอบเขตสถิตกายา!”

เพียงชั่วพริบตา ทั้งสามคนก็สรุปได้ว่าอีกฝ่ายได้บรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาแล้ว

ร่างกายของเยว่ฉือที่อยู่บนแท่นของยอดเขาสัประยุทธ์แข็งทื่ออย่างช่วยไม่ได้ เพราะเฉินซีได้ปรากฏตัวอยู่ที่ข้าง ๆ เขาโดยไม่รู้ตัว

“นี่มัน…เป็นไปไม่ได้! มันไปบ่มเพาะเคล็ดวิชาอะไรมากันแน่!”

อันที่จริง เขาไม่ได้สังเกตเห็นร่องรอยของอีกฝ่ายมาก่อน และสิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสยองอยู่ในใจ เพราะตำแหน่งที่เฉินซีปรากฏตัวนั้นอยู่ใกล้กับตนมาก และมันอยู่ในระยะที่เอื้อมถึง หากเฉินซีลงมือกับเขาโดยตรง ผลที่ตามมาก็คงมีเพียงแต่หายนะ!

เยว่ฉือรู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย ความเร็วดังกล่าวไม่ต่างอะไรกับการเคลื่อนย้ายมิติ ดังนั้นเฉินซีคนนี้จะเชี่ยวชาญพลังเช่นนี้ได้อย่างไร?

เพราะอย่างไร การเคลื่อนย้ายมิติก็เป็นความสามารถที่มีเฉพาะผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้น!

เขาเหม่อมองท้องฟ้าโดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เพราะบนท้องฟ้ามีพื้นที่สุญญากาศที่ยาวประมาณหนึ่งหมื่นจั้ง เหมือนกับสายรุ้งที่ทอดยาวผ่านท้องฟ้า และมันก็หายไปอย่างรวดเร็วโดยไร้ร่องรอยใด

แต่เยว่ฉือก็รู้ดีว่าสิ่งนี้คือร่องรอยที่เกิดขึ้นจากเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างสุดขั้ว ก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย…

ในเวลานี้ก็มีคนมากมายเห็นสิ่งนี้ และอดไม่ได้ที่จะตกใจเป็นอย่างมาก ความเร็วในการบินนี้ดูจะเทียบเท่ากับการเคลื่อนย้ายมิติเลยมิใช่หรือ?

“ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้เส้นทางปกติ!” เยว่ฉือหันกลับมาทันทีและมีสีหน้าที่ไม่น่าดูเล็กน้อย จากนั้นเขาก็จ้องมองไปยังเฉินซีเป็นเวลานาน ก่อนที่จะถามอย่างเย็นชาและเฉยเมย

“หากใช้เส้นทางปกติ ศิษย์คงไม่สามารถมาถึงที่นี่ได้ทันเวลา และผู้อาวุโสเยว่ฉืออาจตัดสิทธิ์ในการเข้าร่วมการทดสอบของศิษย์มิใช่หรือขอรับ?” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย

สิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ยอดเขาสัประยุทธ์ในเวลานี้แออัดมาตั้งนานแล้ว ทำให้ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยผู้คน ดังนั้นหากเขาไม่บินมา ชายหนุ่มก็จะไม่สามารถไปถึงยอดเขาได้

“ฮึ่ม!” ชายชราคำรามอย่างเย็นชาแล้วกล่าวทันทีว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาใช่หรือไม่? เจ้าทำภารกิจเหล่านั้นเสร็จแล้วหรือยัง? เจ้าควรรู้ไว้ว่า ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่นิกายจนกว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายจะเสร็จสิ้น”

“ขอบคุณผู้อาวุโสเยว่ที่เป็นห่วง ศิษย์คนนี้ได้ส่งมอบภารกิจทั้งหมดให้กับโถงภารกิจสวรรค์ไปก่อนหน้านี้แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ ศิษย์คงไม่กล้าแบกหน้ามาพบกับท่านที่นี่ในวันนี้” เฉินซีมีท่าทางสงบและมั่นใจในขณะที่เขากล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

“โอ้?” สีหน้าของเยว่ฉือค้างไปชั่วขณะ ด้วยเจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจและสงสัยอยู่ในใจเล็กน้อย เพราะเดิมทีเขาตั้งใจที่จะใช้สิ่งนี้เพื่อขัดขวางอีกฝ่าย แต่กลับไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เฉินซีจะสามารถทำภารกิจทั้งร้อยชิ้นให้สำเร็จได้ภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือน

เฉินซีเหลือบมองเยว่ฉือ และไม่สนใจลาแก่คนนี้ที่สร้างปัญหาให้กับเขาอยู่ตลอดเวลาอีก จากนั้นชายหนุ่มก็หันหลังกลับและออกจากแท่นไป

ศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสในครั้งนี้ ได้ยืนอยู่ที่หน้าแท่นแล้ว พวกเขามีจำนวนประมาณร้อยกว่าคน ซึ่งการบ่มเพาะของคนทั้งหมดก็อยู่ที่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์ และเป้าหมายของการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสในครั้งนี้ก็คือการเลือกศิษย์ชั้นยอดห้าคน และหากการบ่มเพาะของใครคนใดคนหนึ่งไม่แข็งแกร่งพอ คนผู้นั้นจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม

ศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสในครั้งนี้ ส่วนใหญ่มาจากยอดเขาจรัสตะวันออก และพวกเขามีจำนวนมากกว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมทั้งหมด ซึ่งน่าตกใจที่เหลิ่งชิว ผางโจว และตู้เซวียนต่างก็ยืนอยู่ท่ามกลางคนทั้งหมด

ถัดมาคือศิษย์ของยอดเขาจรัสใต้และยอดเขาจรัสเหนือ ซึ่งศิษย์ของทั้งสองยอดเขาก็เกือบจะครอบครองอีกครึ่งหนึ่ง ทั้งเซี่ยอี้และอันเวยก็ยืนอยู่ด้วย

มีเพียงเฉินซีคนเดียวที่เป็นศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันตก ในขณะที่หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ไม่ได้เข้าร่วม นั่นเพราะพวกเขาไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้ แม้พวกเขาจะเข้าร่วมการทดสอบ แต่ชะตากรรมของพวกเขาก็คงไม่พ้นจากการถูกทุบตีเท่านั้น

ดังนั้นเฉินซีจึงยืนอยู่เพียงลำพังที่หน้าแท่น ทำให้เขาดูค่อนข้างพิเศษ และไม่ใช่เรื่องยากที่จะสังเกตเห็นถึงความแข็งแกร่งของบรรดายอดเขาทั้งหลายจากจุดนี้ เพราะมันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยการมองเพียงแวบเดียว!

“ศิษย์น้องเฉินซี เหตุใดเจ้าจึงดูเปลี่ยนไปเมื่อเทียบกับสามเดือนก่อน” อันเคอเข้ามาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็เงยหน้าที่สวยงามของนาง ก่อนจะจ้องมองเฉินซีตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยดวงตาสีดำสนิท พร้อมทั้งถามด้วยความสงสัย

เฉินซีรู้ว่านางกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ตั้งแต่เขาบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาและได้พัฒนาแดนฮุ่นตุ้นภายในร่างกาย กลิ่นอายของชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากสภาวะที่ถูกยับยั้งไปสู่สภาวะที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจที่เหนือกว่า อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของการปกครองโลกเบาบาง

หลังจากนั้น เขาก็ใช้เวลาอีกสองสามวันแยกแยะมหาเต๋าอันลึกล้ำที่ตัวเองได้หยั่งถึง เพื่อให้เต๋าแห่งยันต์อักขระเป็นผู้นำและเต๋ารู้แจ้งอื่น ๆ คอยส่งเสริม ทำให้กลิ่นอายของเขาไร้การยับยั้ง ทรงพลัง และกดดันยิ่งขึ้น

ซึ่งหากในยามปกติ เขาคงไม่โอ้อวดพลังเช่นนี้ แต่เขาได้ใช้ปีกนภาดารกะด้วยพลังทั้งหมดที่มี ทำให้พลังที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้เกิดฉากก่อนหน้านี้ขึ้น

เฉินซียิ้มและกล่าวว่า “ข้าเพิ่งทะลวงการบ่มเพาะของข้าได้ไม่นานนัก อะไรหลาย ๆ อย่างจึงยังไม่คุ้นชิน”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” อันเคอพยักหน้า แม้ว่ากลิ่นอายของอีกฝ่ายจะไม่ถูกยับยั้งเหมือนเมื่อก่อนนี้ แต่มันกลับอันตรายยิ่งกว่า หากกล่าวว่าเฉินซีในอดีตไม่อาจหยั่งถึงได้ เขาในตอนนี้ก็คือมหาสมุทร ลักษณะท่าทางของเขายิ่งใหญ่และกว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต ทำให้มันดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม

“พวกเจ้าคิดว่าใครจะสามารถคว้าตำแหน่งเพื่อเป็นศิษย์ชั้นยอดได้?”

“หึ ย่อมเป็นของยอดศิษย์สูงชั้นห้าอย่างแน่นอน มันไม่เหมือนกับการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสครั้งก่อน ๆ หรอกหรือ? เพราะอย่างไรแล้ว การมีอยู่ของยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าก็เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเป็นศิษย์ชั้นยอด”

“มันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เนื่องจากมันมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ และมันก็เคยเกิดขึ้นในอดีตเช่นกัน”

“จริงสิ เฉินซีปรากฏตัวในการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสครั้งนี้ และเขาก็เป็นตัวแปรนั้นอย่างแน่นอน!”

“ตัวแปร? พวกเจ้าทุกคนไม่เห็นเหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกหรอกหรือ? พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เฉินซีได้ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งไปอย่างแน่นอน”

กระแสสนทนาดังมาจากระยะไกล และพวกเขากำลังวิเคราะห์ผู้สมัครที่โดดเด่นในการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสในครั้งนี้อย่างจริงจัง ในที่สุดพวกเขาก็เห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ว่า หากไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ตำแหน่งของศิษย์ชั้นยอดทั้งห้า ย่อมตกอยู่ในมือของยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าอย่างแน่นอน

ในทางกลับกัน แม้ว่าเฉินซีจะเป็นตัวแปร แต่เขาก็สร้างความขุ่นเคืองให้กับยอดเขาจรัสตะวันออก ในขณะที่ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกก็มีจำนวนมากที่สุดในบรรดาผู้เข้าร่วมการทดสอบ ดังนั้นจึงมีความหวังน้อยมากสำหรับชายหนุ่มที่จะได้รับตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเพื่อเป็นศิษย์ชั้นยอด

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

ในขณะนี้ เสียงระฆังก็ได้ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน และประกาศถึงเวลาเริ่มต้นการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสแล้ว

ทั่วทั้งยอดเขาสัประยุทธ์พลันเงียบลงอย่างฉับพลัน

สายตาของผู้คนต่างจับจ้องไปที่สนามประลองทั้งห้า ซึ่งอยู่บนยอดเขาสัประยุทธ์อย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสได้เริ่มต้นขึ้น ศิษย์ที่เข้าร่วมจะแข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นเลิศในสนามประลองทั้งห้า!

เยว่ฉือกวาดสายตาไปรอบ ๆ หลังจากที่เขาจ้องมองเฉินซีเป็นพิเศษ จากนั้นเจ้าตัวก็ประกาศอย่างเฉยเมย “เริ่มได้!”

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ทันทีที่เสียงของเขาได้ดังก้องไปในอากาศ ร่างจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้าแท่นก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในทันที และพวกเขาต่างพุ่งทะยานราวกับสายฟ้า ไปยังสนามประลองทั้งห้าอย่างดุเดือด

เพียงชั่วพริบตา ร่างของอันเวยก็ยืนตัวตรงอยู่ที่สนามประลองแรกแล้ว เสื้อผ้าและเส้นผมของนางปลิวตามลม ทำให้นางดูเหมือนเทพธิดาจากสวรรค์ที่มาจากตำหนักบนดวงจันทร์ ซึ่งงดงามและมิอาจล่วงละเมิดได้

หลังจากนั้น สนามประลองที่สอง สาม และสี่ก็ถูกครอบครองโดยเหลิ่งชิว เซี่ยอี้ และผางโจวตามลำดับ

ทุกคนล้วนไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากตามประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในการทดสอบครั้งก่อน ๆ ยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าล้วนเป็นคนกลุ่มแรกที่ขึ้นสู่สนามประลอง และจากนั้นพวกเขาก็จะรับคำท้าประลองยุทธ์ของศิษย์คนอื่น ๆ

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาทุกคนต้องประหลาดใจก็คือ เมื่อตู้เซวียนกำลังจะขึ้นไปบนสนามประลองที่ห้า ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็มาถึงก่อนเขาและยืนตัวตรงอยู่บนสนามประลอง!

ร่างสูงกำยำและไม่ธรรมดาเช่นนี้ ย่อมคือเฉินซีอย่างแน่นอน!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท