บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 608 กลยุทธ์คลื่นมนุษย์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 608 กลยุทธ์คลื่นมนุษย์

บทที่ 608 กลยุทธ์คลื่นมนุษย์

“เจ้ากำลังรนหาที่ตาย! กล้าดียังไงถึงมาแย่งสนามประลองกับข้า!?” เมื่อเห็นร่างของเฉินซีปรากฏอยู่บนสนามประลองต่อสู้ ตู้เซวียนอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ใบหน้าของเขากลายเป็นมืดมนอย่างมากและรีบพุ่งขึ้นไปบนสนามประลองเช่นกัน

“บัดซบ! สวรรค์มีให้เดินกลับไม่เดิน เจ้ากลับเลือกที่จะลงนรก! เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน คุกเข่าลงต่อหน้าข้าเดี๋ยวนี้!” ทันทีที่ตู้เซวียนขึ้นสนามประลอง เขาก็ตะโกนออกมาดังก้อง จากนั้นก็เปิดฉากโจมตีใส่อีกฝ่าย

ตู้ม!

แดนฮุ่นตุ้นภายในร่างกายของตู้เซวียนกำลังโคจร ในขณะที่ปราณแท้พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา และฝ่ามือของเขาก็ปกคลุมด้วยแสงสีดำที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จากนั้นตัวคนก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยกลิ่นอายที่รุนแรงมาก

เฉินซีในขณะนี้มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่น่าเกรงขาม ในขณะที่พลังชีวิตของเขาก็กลมกลืนกับฟ้าดิน ไม่ต้องกล่าวถึงคนที่อยู่บนสนามประลอง แม้แต่คนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างนอกก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ และต่างรู้สึกว่าพลังนั้นยากจะต้านทาน

“ขอบเขตสถิตกายา!”

ทุกคนต่างรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่า เฉินซีนั้นแตกต่างไปจากเมื่อสามเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง และพลังของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า ส่วนทุกกระบวนท่าที่เขาใช้ก็แฝงไปด้วยพลังแห่งฟ้าดิน ซึ่งคือพลังของขอบเขตสถิตกายา!

โอม!

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงแห่งสวรรค์นับพันนับหมื่นก็สาดส่องออกมาจากร่างของเฉินซี จากนั้นมันก็แปรสภาพเป็นยันต์อักขระหนาแน่นนับไม่ถ้วน ทำให้ร่างของเขาดูเหมือนกับภาพมายา และระเบิดความผันผวนของปราณแท้ที่ไม่มีใครเทียบได้ออกมา

ร่างของเขาเหมือนกับมังกรที่ทะยานผ่านอากาศ ทันทีที่ฟาดฝ่ามือลงไป สัญลักษณ์ที่ลึกล้ำและคลุมเครือก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ และมันแฝงได้ด้วยกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง

ตู้ม!

ฝ่ามือของพวกเขาปะทะกัน ลำแสงที่สว่างวาบพุ่งออกมา และดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะระเบิดออก แต่โชคดีที่สนามประลองถูกวางค่ายกลขนาดใหญ่เอาไว้แล้ว และมันสามารถต้านทานการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับขอบเขตเซียนปฐพีได้ มิฉะนั้น ภายใต้การโจมตีครั้งนี้ สนามประลองจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน

“ฮึ่ม! เจ้าต้องชดใช้ความอัปยศอดสูที่ข้าได้รับเมื่อสามเดือนก่อน!” ตู้เซวียนตะโกนออกมาอย่างดุดัน และเขาดูราวกับเหยี่ยวที่โฉบลงมาจากท้องฟ้า ในขณะที่กระโจนใส่เฉินซีอีกครั้ง

ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็ติดพันอยู่ในการต่อสู้ที่รุนแรง และปะทะใส่กันไม่หยุดพร้อมกับระเบิดแสงออกมา

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า หลังจากที่ผู้อาวุโสเยว่ฉือประกาศว่าการทดสอบได้เริ่มต้นขึ้น การต่อสู้ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินจะปะทุขึ้นบนสนามประลองที่ห้า มันกะทันหันและรุนแรง จนทำให้ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก

เพราะคนหนึ่งเป็นหนึ่งในยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้าและผู้เยี่ยมยุทธ์อัจฉริยะของตระกูลอีกาวิญญาณ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา และตั้งแต่อยู่ที่ขอบเขตจุติ ความแข็งแกร่งของเขาก็ทรงพลังเป็นอย่างมาก ยิ่งตอนนี้เมื่อได้บรรลุขอบเขตสถิตกายา มันก็ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมถึงสองเท่า พลังดังกล่าวจึงมหาศาลจนไม่สามารถต้านทานได้และน่าเกรงขามยิ่ง

ส่วนอีกคนเป็นศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันตกที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายได้ไม่นาน แต่กลับมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว เขาได้ทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากมายและทำให้ทุกคนต้องตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในตอนนี้ เขาได้ขึ้นไปบนสนามประลองที่ห้าก่อนตู้เซวียนด้วยซ้ำ ความทะนงตัวนี้ของเขาทำให้ทุกคนประทับใจในตัวชายหนุ่ม และรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม บนสนามประลองอื่น ๆ กลับกลายเป็นเงียบสนิทแทน หลังจากที่อันเวย เหลิ่งชิว เซี่ยอี้ และผางโจวได้ครอบครองสนามประลองแต่ละแห่งแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายพวกเขาเลย!

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างจดจ้องไปที่การต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับตู้เซวียน

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

จู่ ๆ ร่างของตู้เซวียนก็รวดเร็วยิ่งขึ้น ปราณกระบี่ที่ดุร้ายอย่างหาที่เปรียบมิได้พลันระเบิดออกมาจากร่าง เหมือนดั่งพายุฝนที่หลอมรวมเข้ากับอากาศและหายวับไปในพริบตา

เคล็ดสังหารฉับพลันอันลึกล้ำ!

มันไม่เหมือนกับตอนที่เขาใช้เมื่อสามเดือนก่อน ทันทีที่ตู้เซวียนใช้เคล็ดวิชานี้ ด้ายปราณกระบี่ที่ไร้ขอบเขตก็ถาโถมออกมาดั่งกระแสน้ำ และหลอมรวมเข้ากับอากาศทันทีที่ปรากฏขึ้น ทำให้อากาศที่อยู่ในบริเวณโดยรอบของสนามประลองทั้งหมด ปั่นป่วนวุ่นวายราวกับว่ามันถูกเฉือนเป็นเส้นเล็ก ๆนับไม่ถ้วน

‘เขายอมรับความอัปยศอดสูที่เกิดขึ้น และใช้มันเพื่อกระตุ้นตัวเอง การถูกเฉินซีทุบตีอย่างอัปยศเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นดั่งหินลับมีดที่ขัดเกลาเซวียนเอ๋อร์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ…’ เมื่อเห็นฉากนี้ เยว่ฉือที่อยู่ไกลออกไปก็ยกย่องอย่างไม่รู้จบในใจ

เมื่อเขาหวนนึกกลับไปเมื่อตอนที่ตนเองอยู่ในขอบเขตเดียวกันกับตู้เซวียน มันก็ไม่มีทางที่เขาจะใช้พลังของศาสตร์เต๋าได้ในระดับเดียวกับเด็กคนนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่าตู้เซวียนนั้นเชี่ยวชาญในศาสตร์เต๋าแล้ว!

“ตู้เซวียนแข็งแกร่งขึ้นมากจริง ๆ”

อันเวย เหลิ่งชิว เซี่ยอี้และคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไกลก็สังเกตเห็นความแข็งแกร่งที่เปลี่ยนแปลงไปของตู้เซวียนเช่นกัน และพวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกในใจ โดยต่างตระหนักได้ว่า ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะพัฒนาขึ้นในช่วงสามเดือนนี้ แต่คนอื่น ๆ ก็มีการพัฒนาเช่นเดียวกัน

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ด้ายปราณกระบี่ทะลวงผ่านอากาศและส่งเสียงหึ่ง ๆ เหมือนเสียงผึ้งกระพือปีก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเร็วที่เร็วสุดขีด หลังจากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าใส่เฉินซีจากทุกทิศทุกทาง

หากเป็นคนอื่นที่เผชิญกับกระบวนท่านี้ ก็คงยากที่จะขยับกายหรือหลีกเลี่ยงท่าสังหารที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และคนผู้นั้นก็คงได้แต่รอให้ถูกหั่นทั้งเป็นออกเป็นชิ้น ๆ

แต่น่าเสียดายที่เป้าหมายในครั้งนี้ดูเหมือนจะเล่นผิดคน!

ในช่วงเวลาถัดมา ดอกบัวสีม่วงก็ผุดขึ้นรอบ ๆ กายเฉินซี และกลีบของมันก็ระเบิดแสงสีทอง ซึ่งก่อตัวเป็นม่านแสงที่ห่อหุ้มเขาเอาไว้ภายใน

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ด้ายปราณกระบี่ได้ฟันลงมา ทว่ากลับไม่สามารถทะลุผ่านม่านแสงนี้ไปได้ และพวกมันก็ถูกทำลายโดยแสงสีทองที่ไหลลงมาจากม่านแสงแทน!

เมื่อมองจากระยะไกล เฉินซีเป็นดั่งบุตรของเทพเจ้าที่ถือกำเนิดจากดอกบัวสีม่วง เขาปล่อยแสงสีทองที่ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่สามารถเข้าใกล้ตัว จากนั้นการโจมตีทั้งหมดก็สลายหายไปเหมือนหมอกควัน

นี่คือศาสตร์เต๋า… ม่านเงาทองปทุมม่วง!

“เป็นไปได้อย่างไรกัน! ทั้งที่ข้าบรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้ว และยังเชี่ยวชาญในการใช้พลังของแดนฮุ่นตุ้น ยิ่งกว่านั้น ข้าได้เชี่ยวชาญในเคล็ดสังหารฉับพลันของข้าแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่สามารถทะลวงม่านแสงนี้ได้อย่างไร!” ดวงตาของตู้เซวียนหดตัวลง เดิมทีเขาคิดว่าด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบัน การบังคับให้เฉินซีคุกเข่าต่อหน้าทุกคนย่อมทำได้อย่างง่ายดาย แต่เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น?

ผู้คนที่จ้องมองการต่อสู้อยู่ต่างรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจเช่นกัน ด้ายปราณกระบี่สายนั้นมีอานุภาพที่รุนแรงมาก แต่มันกลับไม่สามารถทะลุม่านแสงที่ปกคลุมเฉินซีได้ มันจึงทำให้พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อ

มีเพียงไม่กี่คนที่มีความสามารถในการแยกแยะที่สูงมาก จึงจะรับรู้ได้ว่า ม่านแสงที่ห่อหุ้มเฉินซีอยู่นั้นคือศาสตร์เต๋าที่มีความสามารถในการป้องกันที่ทรงพลังอย่างยิ่ง อีกทั้งคุณภาพของมันก็ยังเหนือกว่าเคล็ดสังหารฉับพลันด้วย!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศาสตร์เต๋าที่เฉินซีใช้ออกมานั้น มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นศาสตร์เต๋าระดับสูงหรือแม้แต่ศาสตร์เต๋าระดับสูงสุด!

เมื่อทราบถึงเรื่องนี้ สีหน้าของศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมในการทดสอบต่างกลายเป็นหนักอึ้ง เพราะคู่ต่อสู้เช่นนี้ดูจะไม่ได้ด้อยไปกว่าหนึ่งในยอดศิษย์ชั้นสูงทั้งห้า และทำให้พวกเขารู้สึกกดดันทันที

“รับกระบวนท่าซะ!”

จู่ ๆ ตู้เซวียนก็ตะโกนออกมาอย่างดุดัน ด้วยท่าทางที่ดุร้ายและเด็ดขาด ปราณแท้ที่อยู่รอบตัวเขาพลันพวยพุ่งอย่างรุนแรงและสอดประสานกับพลังฟ้าดิน จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้เคล็ดสังหารฉับพลันด้วยพลังทั้งหมด ทำให้กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากกายทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขีดจำกัดในทันที

“เจ้าก็รับกระบวนท่าของข้าด้วย!” เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเฉินซียังคงสงบและไม่แยแส จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาเบา ๆ ในขณะที่ดอกบัวสีม่วงที่ห่อหุ้มกายอยู่พลันสลายหายไปในทันที

เพียงชั่วพริบตาต่อมา เขาก็มาถึงตรงหน้าตู้เซวียน สัญลักษณ์โบราณและเลือนรางก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือของชายหนุ่ม ก่อนที่จะฟาดมันลงไป มุ่งเป้าทำลายด้ายปราณกระบี่ที่ปกป้องร่างของตู้เซวียนโดยตรง จากนั้นส่งมันกระแทกเข้ากับหน้าอกของอีกฝ่าย!

การโจมตีในครั้งนี้รวดเร็วและน่าสะพรึงกลัวมาก ด้วยการฟาดฝ่ามือเพียงครั้งเดียว กลับทำลายการป้องกันของตู้เซวียนทั้งหมด ทำให้อีกฝ่ายกระเด็นออกจากสนามประลองและกระแทกลงกับพื้นดินอย่างรุนแรง ตัวคนกระอักเลือดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่ใบหน้าก็ซีดเผือดอย่างน่าสยอง

ในทำนองเดียวกัน ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป เมื่อทุกคนตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตู้เซวียนก็ล้มลงอยู่ที่นอกสนามประลองและกระอักเลือดอยู่บนพื้นแล้ว!

“เขาเอาชนะศิษย์พี่ตู้เซวียนด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!”

“พวกเจ้าทุกคนเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้อย่างชัดเจนหรือไม่? ศิษย์พี่เฉินซีไม่สนใจด้ายปราณกระบี่เลย และเคลื่อนไหวราวกับเคลื่อนย้ายมิติ ก่อนจะซัดศิษย์พี่ตู้เซวียนกระเด็นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันช่าง… เหลือเชื่อยิ่งนัก!”

“วิเศษแท้! ศิษย์พี่เฉินซีคู่ควรกับชื่อเสียงที่เขาได้รับเสียจริง ๆ แม้ว่าจะอยู่ในนิกายเพียงสามเดือน แต่ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ก็เพียงพอที่เขาจะดูแคลนเหล่าศิษย์ชั้นสูงส่วนใหญ่ได้แล้ว”

เมื่อสายตาจำนวนมากจับจ้องไปที่เฉินซี บรรยากาศโดยรอบก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที และทุกคนต่างก็แสดงความชื่นชมออกมา เพราะความแข็งแกร่งดังกล่าวทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่นในใจ!

มีเพียงสีหน้าของเยว่ฉือเท่านั้นที่มืดมนจนถึงขีดสุด เมื่อจ้องมองไปทางตู้เซวียนซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนนอนกองอยู่กับพื้น หัวใจของเขาก็แทบหลั่งเลือดออกมา ด้วยผลลัพธ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่ตัวเขาไม่สามารถยอมรับได้!!

เพราะก่อนหน้านี้ เขาได้วางตัวตู้เซวียนให้เป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งของศิษย์ชั้นยอดเมื่อนานมาแล้ว ทว่าในตอนนี้ เด็กคนนี้กลับบาดเจ็บสาหัสด้วยน้ำมือของเฉินซี และนี่ก็เท่ากับสูญเสียโอกาสในเป็นศิษย์ชั้นยอดไปโดยปริยาย…

“พี่เยว่อย่าได้มีโทสะไป เคล็ดวิชาที่เฉินซีใช้นั้นเป็นหนึ่งในมรดกศาสตร์เต๋าที่เขาได้มอบให้กับนิกาย มันคือเคล็ดวิชาม่านเงาทองปทุมม่วง ซึ่งเป็นศาสตร์เต๋าระดับสูงสุด ดังนั้น การที่ตู้เซวียนพ่ายแพ้นั้น จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้” ผู้คุมกฎเลี่ยเผิงที่อยู่ใกล้เคียงอธิบาย

“ข้าเข้าใจ ข้าแค่รู้สึกว่ามันน่าเสียดายเล็กน้อย ด้วยพรสวรรค์ของเซวียนเอ๋อร์ ย่อมเพียงพอที่เขาจะได้รับเลือกให้เป็นศิษย์ชั้นยอด แต่ตอนนี้เขากลับพ่ายแพ้ และในฐานะอาจารย์ ข้าจึงรู้สึกเสียใจแทนเขาเช่นกัน” เยว่ฉือตกตะลึงและได้สติจากความโกรธที่ครอบงำ จากนั้นสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ เขาถอนหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ ทว่าแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่สายตาของเขากลับจดจ้องไปยังเหล่าศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกที่อยู่หน้าแท่น

เมื่อสายตาของเยว่ฉือกวาดผ่านพวกเขา ศิษย์เหล่านั้นทั้งหมดดูราวกับถูกปลุกจากความฝัน และในชั่วพริบตาต่อมา พวกเขาทั้งหมดต่างมองไปทางเฉินซีที่อยู่บนสนามประลองด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตร

แม้แต่เหลิ่งชิวกับผางโจวก็จ้องมองกันและกันด้วยสายตาสื่อความนัยบางอย่าง

ฟิ้ว!

ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกได้ก้าวขึ้นไปบนสนามประลองแล้ว และเขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ข้าจู้ตงแห่งยอดเขาจรัสตะวันออก ศิษย์น้องเฉินซี โปรดชี้แนะข้าด้วย!”

เฉินซีกลับขมวดคิ้วและนิ่งเงียบแทน สายตาของเขากวาดไปยังศิษย์คนอื่น ๆ ที่มาจากยอดเขาจรัสตะวันออก ซึ่งยืนอยู่ที่ด้านหน้าของแท่น ก่อนจะมองไปทางเหลิ่งชิวกับผางโจวที่ยืนอยู่บนสนามประลองด้านข้าง จากนั้นชายหนุ่มก็กล่าวออกมาทันทีว่า “ต่อไป ศิษย์ทั้งหมดจากยอดเขาจรัสตะวันออก จะมาท้าประลองข้าหรือ?”

จู้ตงรู้สึกตกตะลึง เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะถามคำถามนี้ แต่ในเวลาไม่นาน เขาก็หายตกใจและกล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าศิษย์น้องเฉินซีจะยืนหยัดอยู่บนสนามประลองได้นานแค่ไหน!”

ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขา จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่ศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออก แล้วค่อยมองไปยังเฉินซีซึ่งอยู่คนเดียวบนสนามประลอง และคนทั้งหมดก็ดูจะคาดเดาอะไรบางได้ราง ๆ

“ไอ้สารเลวพวกนี้ตั้งใจจะทำให้เฉินซีเหนื่อยด้วยการผลัดกันสู้กับเขา!” หลิงไป๋ผู้นอนอยู่บนไหล่ของชิงอวี่อย่างเกียจคร้าน พลันกล่าวหยามเหยียดออกมา

“พวกมันคงไม่ต่ำช้าขนาดนั้นหรอกกระมัง?” ชิงอวี่ตกตะลึง จากนั้นเขากวาดสายตาไปที่เหล่าศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออก และเห็นคนสี่สิบหรือห้าสิบคนกำลังรวมตัวกัน ทำให้หัวใจของเขาดิ่งวูบทันที เพราะตระหนักได้ทันทีว่า หากศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกเหล่านี้เดินหน้าเรียงแถวและท้าประลองกับเฉินซีทีละคน พวกเขาอาจจะประสบความสำเร็จได้

แต่ผู้คนที่อยู่ในตอนนี้ ไม่มีใครสักคนที่เป็นคนโง่เขลา เพราะหลังจากได้ยินการสนทนาระหว่างเฉินซีกับจู้ตง พวกเขาก็พอคาดเดาการกระทำของเหล่าศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกได้ทันที ทำให้บางคนถึงกับขมวดคิ้ว บางคนถึงกับส่ายหัว และแสดงท่าทางแตกต่างกันไป

แต่ไม่มีใครกล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากนี่คือการทดสอบแห่งยอดเขาจรัส และตามกฎแล้ว ศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมการทดสอบย่อมสามารถท้าทายศิษย์ที่อยู่บนสนามประลองทั้งห้าได้ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎ หากศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกจะทำเช่นนี้

หลังจากเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงที่ทำหน้าผู้คุมกฎก็ยังขมวดคิ้ว และเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ความขัดแย้งระหว่างเฉินซีกับยอดเขาจรัสตะวันออกได้ทวีความรุนแรงจนไม่สามารถประนีประนอมกันได้ และถ้าเขาเข้าไปแทรกแซงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันจะต้องเกิดปัญหากับตัวเองอย่างแน่นอน!

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเป็นกลาง และตราบใดที่พวกเขาไม่ละเมิดกฎ เขาก็ทำได้เพียงแต่ยืนดูเท่านั้น

“ศิษย์น้องเฉินซี เจ้ากล้ารับคำท้าประลองของข้าหรือไม่? หากไม่กล้า ก็จงปล่อยสนามประลองไปแต่โดยดีซะ!” เมื่อเห็นเฉินซีนิ่งเงียบไป มุมปากของจู้ตงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเย็นชาและตะโกนถามเสียงดัง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท