บทที่ 614 ศิลาอมตะ
บทที่ 614 ศิลาอมตะ
การทดสอบแห่งยอดเขาจรัสได้สิ้นสุดลงแล้ว ในขณะที่เฉินซีและคนอื่น ๆ ติดตามผู้คุมกฎเลี่ยเผิงไปที่ยอดเขาจรัสเทวะ และในไม่ช้าพวกเขาก็หายไปอย่างรวดเร็วโดยไร้ร่องรอย
หลังจากศิษย์ทุกคนในยอดเขาสัประยุทธ์เฝ้าดูพวกเขาจากไป คนทั้งหมดก็รั้งอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะพากันจากไป
การทดสอบแห่งยอดเขาจรัสของปีนี้นั้นทั้งน่าตื่นเต้นและน่าทึ่งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ระดับความเร้าใจของมันเหนือกว่าการทดสอบที่ผ่าน ๆ มามากเสียจนน่าตกใจด้วยซ้ำ
และคนที่เด่นสะดุดตาที่สุดในหมู่พวกเขา ย่อมเป็นเฉินซีอย่างไม่ต้องสงสัย!
เขากวาดล้างศิษย์ทั้งหมดของยอดเขาจรัสตะวันออกที่เข้าร่วมการทดสอบนี้เพียงลำพัง เอาชนะเหลิ่งชิว ผางโจว และตู้เซวียน จากสามในห้าศิษย์ชั้นยอด และกลายเป็นศิษย์ชั้นยอดที่โดดเด่นอันดับต้น ๆ ในคราวเดียว ดุจดวงอาทิตย์บนท้องฟ้ายามเที่ยงวัน!
“ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ! ตัวตนที่วิเศษเช่นศิษย์พี่เฉินซี กลับเป็นศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันตก”
“ในความคิดของข้า ด้วยพรสวรรค์ของศิษย์พี่เฉินซี ภายในร้อยปี เขาจะต้องกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่จะเขย่าทั้งแดนภวังค์ทมิฬให้ต้องตกตะลึงเป็นแน่!”
“ถ้ามีโอกาส ข้าจะไปที่ยอดเขาจรัสตะวันตกเพื่อเยี่ยมเยือนศิษย์พี่เฉินซี”
วันนี้ทั่วทั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างก็กำลังพูดถึงนามเดียวกัน นั่นคือเฉินซี! ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาได้กลายเป็นประเด็นร้อนในการสนทนาของทุกคนไปแล้วเรียบร้อย
ถึงขนาดที่เมื่อผู้อาวุโสของนิกายทั้งภายในและภายนอกสั่งสอนบทเรียน พวกเขาก็จะนำเฉินซีมาเป็นตัวอย่าง และกระตุ้นศิษย์ของพวกเขาให้ทำงานหนักและฝึกฝนให้มาก เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นเฉินซี
มีเพียงยอดเขาจรัสตะวันออกเท่านั้นที่เงียบสนิท และปกคลุมด้วยบรรยากาศอึมครึม
ตั้งแต่เยว่ฉือผู้เป็นปรมาจารย์แห่งยอดเขา ตลอดจนเหลิ่งชิวและศิษย์ชั้นยอดคนอื่น ๆ ต่างก็นิ่งเงียบ แม้จะไม่มีใครเอ่ยชื่อของเฉินซีเลย แต่ชื่อนี้ก็ยังเป็นเหมือนหนามทิ่มแทงใจพวกเขา ทำให้รู้สึกเศร้าใจยิ่ง
หากพิจารณาด้านความคึกคักแล้ว ยอดเขาจรัสตะวันตกก็เป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ล้วนยิ้มแย้ม ขณะที่พวกเขารวมตัวกันที่หน้าสระชำระกระบี่อย่างมีความสุข คนทั้งกลุ่มดื่มกินอย่างสนุกสนาน ในขณะที่เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะก้องอยู่ทั่วในอากาศ พวกเขารู้สึกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่อิ่มเอมใจที่สุด มีความสุขที่สุด และน่าพึงพอใจที่สุดนับตั้งแต่พวกเขามาอยู่ที่ยอดเขาจรัสตะวันตกนี้
พวกเขารู้สึกภาคภูมิใจอย่างหาที่เปรียบมิได้ที่ได้ครอบครองน้องชายคนเล็กอย่างเฉินซี!
…
ภายในอาณาจักรลับอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ปกคลุมไปด้วยปราณเซียน ซึ่งตั้งอยู่ที่หลังยอดเขาสัประยุทธ์ เงาร่างที่ทรงพลังจำนวนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ร่างของพวกเขาเปล่งพลังศักดิ์สิทธิ์มากมายออกมารอบ ๆ
ในบรรดาร่างเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือประมุขนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เวินหัวถิง ส่วนที่เหลือนั่นก็ล้วนเป็นผู้นำระดับสูงของนิกายทั้งสิ้น
“ด้วยมรดกศาสตร์เต๋าระดับสูงทั้งสี่สิบเก้า นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามารถฟื้นฟูความรุ่งเรืองเช่นในอดีตได้อีกแล้ว วันนี้ข้าได้ส่งต่อศาสตร์เต๋าทั้งหมดนี้ไปให้บรรพบุรุษลี่หานแห่งยอดเขาจรัสเทวะแล้ว”
เวินหัวถิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นที่ดังก้องไปทั่วทั้งดินแดนลับ “เมื่อถึงเวลา บรรพบุรุษลี่หานจะส่งต่อมันให้แก่ศิษย์ชั้นยอดเหล่านั้น จากการคำนวณของข้า นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราจะมีศิษย์ชั้นยอดจำนวนมากมายไปฝากชื่อเสียงไว้ทั่วโลกภายในหนึ่งร้อยปี!”
“ใช่แล้ว การฟื้นคืนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองอยู่ใกล้แค่เอื้อม หากเราพิจารณาทั้งหมดนี้อย่างถี่ถ้วน ผลงานนี้ก็ควรจะเป็นของสหายน้อยเฉินซีผู้นั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเขาขึ้นไปบนแท่นดอกบัวและมีโชคลาภได้พบกับผู้อาวุโสเต๋าบงกช จนได้รับศาสตร์เต๋าระดับสูงทั้งสี่สิบเก้าเหล่านี้มาโดยบังเอิญ ข้าเกรงว่าพวกมันคงจะถูกเก็บไว้ในกรุและไม่อาจได้ปรากฏตัวสู่โลกกว้างได้อีกเลย!”
ชายชราที่สูงสง่าและมีใบหน้าแดงดุจผลพุทราเชื่อม พูดด้วยเสียงที่ดังชัด เขาคือเหลยชง ปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสใต้ ชายผู้มีทักษะการขัดเกลากายาที่น่าสะพรึงกลัว
“เฉินซีนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ เด็กคนนี้เป็นผู้ครอบครองโชคลาภที่ไม่มีใครเทียบได้และมีโชคชะตาที่มั่นคง ยิ่งกว่านั้น พรสวรรค์ของเขายังพิเศษและประณีตยิ่ง ความแข็งแกร่งของเขาเองก็เหนือกว่าสหายรุ่นเดียวกันมาก คนประเภทนี้หากไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างหนัก พรสวรรค์ที่สวรรค์ประทานมอบให้ก็คงจะสูญเปล่าอย่างแท้จริงแล้ว”
เมื่อพูดถึงเฉินซี เวินหัวถิงก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ “แม้ว่าศิษย์พี่ใหญ่หลิ่วจะไปยังภพเซียนแล้ว หากเขารู้ว่าเฉินซีทำได้ดีเช่นนี้ เขาก็คงโล่งใจ”
“แต่ท่านประมุข ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่เยว่ฉือมักจะใช้อุบายและเล่ห์เหลี่ยมทุกรูปแบบทำให้เฉินซีลำบากทุกครั้ง นี่ไม่ใช่การผลักให้เขาเข้าไปในกองเพลิงหรือ? ถ้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาข้าเกรงว่ามันจะจัดการยากนะเจ้าคะ”
ในอีกด้านหนึ่ง หญิงงามในชุดคลุมหรูหราพูดขึ้นอย่างช้า ๆ นางคือกงซู่จิ่น ปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสเหนือ ผู้เงียบขรึม ใจดี แต่ก็เป็นผู้มีพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเช่นกัน
“ไม่เป็นไร” ผู้เป็นประมุขนิกายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะโบกมือและพูดว่า “ไม่ว่าศิษย์พี่เยว่ฉือจะลงมือเกินไปเพียงใด เขาก็ยังเป็นคนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองเรา เขาคงไม่บังคับเฉินซีจนตายหรอก”
หวือ!
ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา ทันใดนั้นแสงสีทองริ้วหนึ่งก็ลอยเข้ามาจากที่ไกล ๆ และเปลี่ยนกลายเป็นแผ่นหยก
“ผลการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสออกมาเร็วเพียงนี้เชียวหรือ? มา มา มาดูกันว่าใครจะได้รับตำแหน่งเป็นศิษย์ชั้นยอดในครั้งนี้”
นิ้วของเวินหัวถิงแตะลงบนแผ่นหยก ทำให้มันกลายเป็นม่านแสงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยรัศมี ก่อนที่ฉากต่าง ๆ ของการต่อสู้จะปรากฏขึ้นมาพร้อมกับเสียงดังฟังชัด
“หือ ในเวลาไม่ถึงสามเดือน เสี่ยวเฉินคนนี้ได้บรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาแล้วหรือ? น่าทึ่งมาก แม้แต่ตู้เซวียน อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งจากตระกูลอีกาวิญญาณ ก็ยังถูกเขาเป่าให้กระเด็นออกจากสนามประลอง”
“สวรรค์ เขาบอกว่าต้องการท้าทายศิษย์ยอดเขาจรัสตะวันออกที่เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดด้วยตัวเอง!”
“น่าขัน! ไม่ใช่ว่าวิธีการของศิษย์พี่เยว่ฉือออกจะเกินเลยไปหน่อยหรือ? เฉินซีไม่ได้คิดที่จะท้าทายเช่นนี้เลย เห็นได้ชัดว่าเขาถูกบังคับให้ทำมัน ศิษย์พี่เลี่ยเผิงไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ”
“เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล! ฮ่า ช่างเป็นสหายน้อยที่แข็งแกร่งนัก เขาล้มศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกกว่าสิบคนในก้าวเดียว… เฮ้! เป็นไปได้ยังไง! แม้แต่ผางโจวกับเหลิ่งชิวยังพ่ายแพ้หลังพวกเขาลงมือเคลื่อนไหวจริงจัง!”
“ม่านเงาทองปทุมม่วง เคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล เคล็ดกระบี่ฝังวิญญาณบงการนภา ฝ่ามือหมื่นคลื่นใต้พิภพ… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นศาสตร์เต๋าระดับสุดยอดทั้งนั้น เจ้าหนูตัวน้อยนี่เข้าใจและเชี่ยวชาญมันทั้งหมดได้ภายในสามเดือนได้อย่างไรกัน?”
“ทุกคน ดูเร็วเข้า! นั่นอะไร! ดูเหมือนว่าจะ…”
เมื่อเห็นดอกไม้สีเลือดที่เฉินซีกวาดออกไปทั่ว พร้อมกับทะเลสีเหลืองขุ่นปรากฏขึ้นในม่านแสง บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้ต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ประกายเยือกเย็นฉายวาบขึ้นในดวงตา ขณะที่พวกเขารู้สึกงุนงงและประหลาดใจ
“ปารมิตา การลืมเลือน… สองในสามเต๋ารู้แจ้งที่จักรพรรดิยมโลกแห่งยุคบรรพกาลเชี่ยวชาญ!” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เวินหัวถิงก็กล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ น้ำเสียงของเขายังคงมีร่องรอยความประหลาดใจและความสับสน
“ใช่จริง ๆ มันเป็นเต๋ารู้แจ้งจากยมโลกจริง ๆ ทว่าแม้แต่ในยมโลกพวกมันก็ถือเป็นมหาเต๋าสูงสุด!” ปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสใต้เหลยชงค่อย ๆ กล่าว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าหนูน้อยคนนี้จะเป็นคือผู้สืบทอดของจักรพรรดิยมโลก?” กงซู่จิ่น ปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสเหนือ ถามอย่างลังเล
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวขึ้น ทุกคนก็เงียบลงในทันที ราวกับพวกเขากำลังนึกถึงตัวตนที่ยิ่งใหญ่จนทำให้ทั้งสามภพในอดีตต้องตกตะลึงมาก่อน ทำให้สีหน้าของพวกเขาดูประหลาดเล็กน้อย
“คงไม่หรอก เจ้าตัวเล็กไม่ได้ใช้มหาเต๋าแห่งจุดจบ ข้าคิดว่าทุกคนคงรู้ดีว่าทันทีที่มหาเต๋าแห่งจุดจบปรากฏขึ้น กฎแห่งเต๋าสวรรค์ย่อมต้องตอบสนองและสังหารเจ้าตัวเล็กในทันทีอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ กฎแห่งเต๋าสวรรค์ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาผิดปกติใด ๆ ดังนั้นข้าเดาว่าเขาคงเพียงแค่บังเอิญโชคดี แล้วได้เข้าใจถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและการลืมเลือน” เหลยชงขมวดคิ้วและพูดต่อหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“ทว่ามันก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้มัน แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาเชี่ยวชาญมันหรือไม่” กงซู่จิ่นที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับค้านขึ้น
“พอแล้ว!”
เวินหัวถิงพูดปรามคนทั้งสองขึ้นทันที “ในอนาคต อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก ไม่ว่าเฉินซีจะเชี่ยวชาญมหาเต๋าต้องห้ามอย่างมหาเต๋าแห่งจุดจบหรือไม่ ตอนนี้เขาก็เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา!”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็ดูจริงจังอย่างมาก “นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่อาจรั่วไหลออกไปได้ ไม่อย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร ก็อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยม!”
ทุกคนต่างรู้สึกหวาดวิตกอย่างยิ่งในใจ
พวกเขาทุกคนรู้ว่าหากเรื่องที่เฉินซีเข้าใจเต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและการลืมเลือนรั่วไหลออกไป ไม่ต้องพูดถึงเทพเจ้าของทั้งสามภพ เพียงแค่หกสายเลือดของนิกายอสูร ก็คงพร้อมที่จะเคลื่อนไหวเพื่อลงมือกับเขาแล้ว
แต่ไม่ว่าจะรู้ดีเพียงใด พวกเขาทั้งหมดก็ย่อมเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นดั่งกระดาษที่ไม่อาจห่อไฟเอาไว้ได้ และมันจะเกิดขึ้นอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ผู้ได้เห็นเฉินซีใช้เต๋ารู้แจ้งแห่งปารมิตาและการลืมเลือนก็มีจำนวนมากเกินไปจริง ๆ ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยู่ในหมู่พวกเขา?
“ทุกคนอย่ากังวลไปเลย สามภพกำลังจะได้ต้อนรับกลียุค บุคคลผู้ยิ่งใหญ่จากทุกภพล้วนยุ่งกับเรื่องของตัวเองมากพอแล้ว ดังนั้นพวกเขาจะมีเวลามาให้ความสนใจสถานที่ห่างไกลเช่นภพของเราได้อย่างไร?”
เวินหัวถิงเองก็รู้เช่นกันว่าบางสิ่งนั้นมิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เขาก็มีแผนของตัวเองเช่นกัน “ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่า การครอบครองมหาเต๋าสูงสุดแห่งยมโลกของเฉินซีนั้นเป็นโชคหรือหายนะ เราแค่ต้องทำเท่าที่ทำได้ และปล่อยให้ที่เหลือเป็นไปตามชะตากรรม!”
“ข้าแค่กังวลว่าศิษย์พี่เยว่ฉือจะ…” จู่ ๆ เหลยชงก็ทักขึ้น
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว!”
เวินหัวถิงขัดจังหวะ “ศิษย์พี่เยว่ฉือมีสหายมากมาย ทั้งผู้อยู่ในวิถีเซียนและวิถีอสูร แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนต้องไม่ลืมว่าเขายังเป็นลูกชายของประมุขนิกายคนก่อน สายเลือดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองยังคงไหลเวียนอยู่ในตัวของเขา ถ้าเขากล้าที่จะเมินเฉยต่อผลประโยชน์ของนิกายและกล้าทำเรื่องเช่นนั้นจริง ๆ ข้าคงจะไม่ใช่คนแรกที่ไว้ชีวิตเขา!”
“ข้าหวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น” เมื่อเหลยชงเห็นสีหน้าจริงจังของเวินหัวถิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก
“ท่านประมุข ศิษย์น้องเหลยชงกำลังพูดเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าเองนะ เพราะเมื่อหลายปีก่อนศิษย์พี่เยว่ฉือก็ไม่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประมุข ความแค้นที่อยู่ในใจของเขาย่อมสะสมมาเป็นเวลานานไม่น้อยแล้ว”
กงซู่จิ่นพูดต่อช้า ๆ “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองกำลังของยอดเขาจรัสตะวันออกของเขายังคงขยายตัวอย่างไม่หยุด ทั้งยังเรื่องที่เขาพยายามดึงตัวผู้อาวุโสนิกายมากมายให้ไปอยู่ข้างตน ไหนจะศิษย์ของเขาที่ล้วนมีอยู่ทั่ว ทั้งศิษย์สายใน ศิษย์สายนอก ศิษย์ชั้นสูง และศิษย์ชั้นยอด มันมาถึงจุดที่เขาพร้อมจะต่อกรกับเจ้าได้แล้ว ดังนั้นเจ้าต้องระวังเขาให้ดี”
“ข้าเข้าใจเรื่องนี้ดีแล้ว” เวินหัวถิงชะงักไป จากนั้นเขาก็ถอนหายใจและพึมพำ “ข้าแค่อยากจะให้โอกาสเขาได้รับรู้ถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง และหันกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องเท่านั้น…”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ พวกเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ
…
ระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังยอดเขาจรัสเทวะ เฉินซีก็ได้ตระหนักถึงความกว้างใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ทิวเขาสูงตระหง่านเป็นชั้น ๆ ราวมังกรที่ขดตัวอยู่บนพื้นดิน พวกมันล้วนน่าเกรงขามยิ่ง
ท่ามกลางพวกมันคือ วังใหญ่มากมายที่ล่องลอยอยู่ในท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ ราวกับตำหนักเซียนสวรรค์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นบนท้องฟ้าด้วยบรรยากาศที่ดูสูงส่งยิ่ง
“นี่คือศิลาอมตะทั้งห้า พวกเจ้าแต่ละคนรับไปคนละหนึ่งก้อน แล้วฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพวกเจ้าให้ไว หลังจากที่เราไปถึงยอดเขาจรัสเทวะ ข้าเกรงว่าคงจะมีคนมายั่วยุพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าไว้ให้ดี”
ระหว่างทาง จู่ ๆ ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็สั่งการพวกเขาอย่างกระทันหัน ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อขณะที่พูดขึ้น ส่งลำแสงหลากสีห้าดวงพุ่งออกมาและตกลงสู่มือของเฉินซีกับคนอื่น ๆ
ศิลาอมตะ!
เมื่อได้ยินคำนี้ หัวใจของเขาก็ตกตะลึง เขามองไปที่ก้อนหินซึ่งมีขนาดเท่าไข่นกพิราบในมือของตน มันใสราวกับผลึกแก้ว และมีประกายแสงจากปราณเซียนวาววับอยู่ด้านใน จนทำให้ดวงตาของเขาทอแสงพร่างพราว
ศิลาอมตะคือสมบัติในตำนานที่หาได้เพียงภพเซียนเท่านั้น เพราะพวกมันคือสมบัติล้ำค่าที่มาจากชีพจรเซียน!