บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 617 เนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 617 เนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์

บทที่ 617 เนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์

เสื้อคลุมนักพรตเต๋าสีฟ้าน้ำทะเล ผมสีดำสนิทและหนา ถึงแม้จะมีใบหน้าที่หล่อเหลาและอบอุ่น แต่กลับมีร่องรอยความดุร้ายปรากฏอยู่ ทั่วร่างกายของเขาไม่มีเครื่องประดับแม้แต่ชิ้นเดียว และตัวคนก็ดูประณีตดั่งคุณชายผู้สง่างามแห่งภพมนุษย์

แต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยประกายทองคำขาวที่ส่องแสงวาววับราวกับใบมีด และมันให้ความรู้สึกที่คมกริบราวกับว่ามันสามารถตัดผ่านทุกสิ่งในโลก อีกทั้งยังทำลายความชั่วร้ายและอุปสรรคทั้งหมดได้

ดวงตาคู่นี้น่าสะพรึงเกินไปและเต็มไปด้วยปรากฏการณ์อันแปลกประหลาด ทำให้คนอื่นไม่กล้าสบตากับพวกมัน

นี่คืออวิ๋นเยี่ย ตัวตนที่น่าเกรงขามในหมู่ศิษย์ชั้นยอด ในวันที่เขาเกิดได้มีปรากฏการณ์อุบัติขึ้นจากฟากฟ้า ซึ่งดวงตาของเขาถูกเรียกว่า ‘เนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์’ และมันน่าเกรงขามยิ่งกว่า ‘ดวงตา’ ที่เฟิงเจี้ยนไป๋แห่งตระกูลเฟิงครอบครองอยู่เสียอีก

ตามข่าวลือ บุคคลที่ครอบครอง ‘เนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธิ์’ จะเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการควบคุมมหาเต๋าแห่งทอง ทำให้คนผู้นั้นสามารถตัดผ่านอุปสรรคทั้งหมด และความเร็วในการบ่มเพาะของมหาเต๋าแห่งทองของบุคคลนั้นจะมากถึงสิบเท่าหรือเร็วกว่าคนปกติถึงร้อยเท่า

แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเฉินซีมากที่สุดคือกระบี่ที่อวิ๋นเยี่ยสะพายอยู่บนหลัง มันมีความยาวยี่สิบสี่ชุ่น กว้างสามนิ้วและมีสีเขียวอมแดงตลอดตัวกระบี่ พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยอักขระยันต์ลึกล้ำมากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งมันยังเปล่งกลิ่นอายโบราณและรกร้างออกมา

กระบี่ยังอยู่ในฝักและดูเหมือนมังกรที่จำศีลอยู่ในหุบเหวลึก แต่แม้ว่ามันจะยังไม่ถูกชักออกมา ทว่ากลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากกระบี่ก็ทำให้เฉินซีสัมผัสได้ว่า นี่เป็นอาวุธยอดเยี่ยมซึ่งครอบครองพลังไม่ด้อยไปกว่าสมบัติกึ่งอมตะอย่างแน่นอน!

เนื่องจากเขากล้าปรากฏตัวพร้อมกับอาวุธวิเศษเช่นนี้ โดยไม่เกรงกลัวว่ามันจะกระตุ้นความโลภของผู้คนแต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า อวิ๋นเยี่ยนั้นมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองมากและเป็นคนที่แข็งแกร่ง หยิ่งยโส และทะนงตัวไปจนถึงกระดูกดำ!

“นี่มันศิษย์พี่อวิ๋นเยี่ยจริง ๆ หรือ? เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังทะเลอสูรทมิฬเพื่อทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายหรอกหรือ?”

“ทะเลอสูรทมิฬนั้นกว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขตและเป็นสถานที่ที่นิกายอสูรทมิฬซึ่งเป็นหนึ่งในหกนิกายอสูรได้ยึดครองอยู่ ในดินแดนแห่งนี้มีอสูรร้ายกาจมากมายที่ออกอาละวาดตามอำเภอใจ และนำความหายนะมาสู่บริเวณโดยรอบ ศิษย์พี่อวิ๋นเยี่ยได้รับมอบหมายให้กำจัดสิบแปดโจรทมิฬ แต่เขากลับมาที่นิกายหลังจากที่ผ่านไปเพียงเดือนเศษ ๆ เท่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาได้ทำภารกิจสำเร็จแล้ว?”

“สิบแปดโจรทมิฬก่อกรรมทำเข็ญมามากมายนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อสิบปีที่แล้ว พวกมันได้วางยาพิษและและทำร้ายศิษย์ชั้นยอดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราไปมากมาย ทำให้พวกมันถูกนิกายนี้ไล่ล่าตลอดมา ทว่าก็ไม่มีใครประสบความสำเร็จ ซึ่งในครั้งนี้ ศิษย์พี่อวิ๋นเยี่ยออกไปทำภารกิจด้วยตัวเองและได้ต่อสู้ในดินแดนที่มีอาณาเขตหลายแสนลี้ ดังนั้นการที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย ย่อมหมายความว่าเขาทำภารกิจได้สำเร็จอย่างแน่นอน!”

มีศิษย์ชั้นยอดเข้ามาในตำหนักเมฆาครามไม่หยุด และหลังจากได้เห็นอวิ๋นเยี่ยปรากฏตัวอยู่ที่นี่ พวกเขาทั้งหมดต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงเริ่มสนทนาด้วยเสียงแผ่วเบา

ตำหนักเมฆาครามเป็นตำหนักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาจรัสเทวะ ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเหล่าศิษย์ชั้นยอด นอกจากนี้ พวกเขาไม่เพียงจัดหาสถานที่บ่มเพาะและสิ่งอำนวยความสะดวกประจำวันให้แก่ศิษย์ชั้นยอดคนใหม่เท่านั้น แต่ยังแจกจ่ายภารกิจให้กับศิษย์ชั้นยอดในเวลาเดียวกัน

ผู้อาวุโสเก่าแก่บางคนที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษบนยอดเขาจรัสเทวะ และเป็นผู้อาวุโสที่เก่งกล้าจนน่าตกตะลึง บางทีพวกเขาก็อาจจะเลือกตำหนักเมฆาครามเป็นสถานที่เพื่อคลายข้อสงสัยและถ่ายทอดเคล็ดวิชาที่ลึกล้ำให้แก่เหล่าศิษย์

“อวิ๋นเยี่ย? ในเมื่อเจ้ากลับมาเร็วเช่นนี้ เช่นนั้นก็สังหารสิบแปดโจรทมิฬได้แล้วหรือ?” เมื่อเห็นชายหนุ่มปรากฏตัว ผู้อาวุโสของตำหนักเมฆาครามก็ทยอยเดินออกมาทีละคน และดวงตาพวกเขาก็มีปรากฏความรู้สึกปีติยินดี

“เราจะกล่าวถึงเรื่องนี้ในภายหลัง ข้าแค่อยากรู้ว่าใครทำร้ายศิษย์น้องสยงก่อนหน้านี้?” อวิ๋นเยี่ยพยักหน้าให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่งยิ่ง

แต่ผู้อาวุโสเหล่านั้นกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะศิษย์ชั้นยอดเช่นอวิ๋นเยี่ยมีสถานะและตัวตนที่น่านับถือมาก อีกทั้งยังได้รับการชื่นชมจากผู้อาวุโสบางคนเป็นอย่างสูง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้อาวุโส แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิบัติกับอวิ๋นเยี่ยในฐานะผู้น้อย

พรึ่บ!

ชั่วพริบตาต่อมา สายตาส่วนใหญ่ในตำหนักต่างจดจ้องไปทางเฉินซี และสีหน้าของพวกเขาต่างก็แสดงท่าทีแปลกพิกลระคนเยาะเย้ยออกมา

พวกเขาส่วนใหญ่ได้ชมฉากที่เฉินซีบดขยี้ ‘ศิษย์พี่สยง’ และเมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยต้องการที่จะประณามความผิดของใครบางคนและยืนหยัดเพื่อ ‘ศิษย์พี่ใหญ่สยง’ พวกเขาก็มีความสุขมากที่ได้ชมการแสดงนี้

“เป็นเจ้าหรือ?” อวิ๋นเยี่ยกะพริบตาอันงดงามราวกับทองคำขาวสองดวงที่ส่องประกายเจิดจรัส ในขณะที่มองไปยังชายหนุ่ม

ตู้ม!

พื้นที่โดยรอบพลันแตกเป็นเสี่ยง ขณะเดียวกันเฉินซีก็รู้สึกได้ถึงกระแสลมที่รุนแรงและน่ากลัวซึ่งปิดล้อมตัวเขาไว้ ทั้งยังสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่คล้ายดั่งกระบี่คมกริบมากมายกำลังชี้มาที่เขา ทำให้ผิวหนังทั่วร่างรู้สึกเหมือนถูกเฉือนด้วยใบกระบี่คมกริบ

‘เพียงแค่จ้องมองแต่กลับมีพลังถึงขนาดนี้แล้ว!’

‘นี่คือพลังของผู้ครอบครองเนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์หรือ? มันทรงพลังอย่างแท้จริง อีกทั้งเขายังแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหลิ่งชิว ผางโจว และคนอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ…’

แดนฮุ่นตุ้นภายในร่างกายของเฉินซีกำลังโคจรอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระแสลมมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา และมันก็สลายความรู้สึกที่ร่างกายถูกเฉือนในทันที ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มกลับมานิ่งสงบเหมือนเช่นเคย

การแสดงของอีกฝ่ายทำให้เขาตระหนักได้ว่า ความแข็งแกร่งของศิษย์ชั้นยอดนั้นเป็นสิ่งที่ศิษย์ชั้นสูงซึ่งเขาเคยพบในอดีตไม่อาจเทียบได้ เพราะศิษย์ชั้นยอดนั้นแข็งแกร่งกว่าและน่าสะพรึงกว่ามาก ทำให้เขาต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นหากต้องการตั้งหลักอยู่ที่นี่

“หืม?” เมื่อเห็นเฉินซีสามารถลบล้างพลังของตนได้อย่างง่ายดาย อวิ๋นเยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาหรือ? เจ้าชื่ออะไร?”

“เฉินซี” ชายหนุ่มตอบอย่างใจเย็น

“เมื่อเทียบกับศิษย์ใหม่จากปีที่แล้ว ฝีมือของเจ้าไม่เลวเลย”

อีกฝ่ายกล่าวว่า “อย่างน้อยเจ้าก็ยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้เมื่อคุยกับข้า และเจ้าก็ไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ไม่มีความกล้าแม้แต่จะสบตากับข้า” แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะดูเฉยเมย ไม่เร่งรีบ ทว่าทัศนคติของเขาที่แฝงมากับวาจา รวมถึงท่าทีซึ่งแสดงออก มันก็ฉายชัดถึงนิสัยที่หยิ่งผยองและถือดีของเขาอย่างชัดเจน!

“เราทั้งคู่ต่างเป็นศิษย์ชั้นยอดและอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นแค่สบตากับเจ้า แล้วจะมีปัญหาอันใดกัน?” เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วน ศิษย์ชั้นยอดเหล่านี้ล้วนหยิ่งยโสอย่างแท้จริง และความเย่อหยิ่งของพวกเขาก็ฝังแน่นอยู่ในกระดูกดำ!

“ฮึ่ม! การสำรวมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การหยิ่งยโสเกินไปจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของเจ้า!” อวิ๋นเยี่ยหรี่ตาลง และทันใดนั้นก็มีแสงเย็นวาบปรากฏขึ้น จากนั้นประกายแสงทองคำขาวที่ลุกโชนก็พุ่งออกมาจากดวงตาของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้กลิ่นอายรอบกายเขาพุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน ตัวคนดูเหมือนกับกระบี่ขนาดมหึมาที่ไม่อาจสั่นคลอน ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวรรค์และโลก คมกระบี่พลันปรากฏขึ้นมา

ครืน!

พื้นที่โดยรอบได้รับแรงกดดันจากกลิ่นอายอันโอ่อ่าของเขา ทำให้มันส่งเสียงก้องกังวานและเสียงที่กำลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับมันถูกเฉือนออกจากกันด้วยใบมีดนับไม่ถ้วนอย่างรุนแรง

ทันใดนั้น เฉินซีก็รู้สึกเหมือนอยู่ในนรกอันมืดมิด ซึ่งมีใบมีดแหลมคมและน่ากลัวอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ราวกับมันต้องการจะบดขยี้เขาให้สิ้นซาก จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก

“ข้าเฉินซีจะหยิ่งผยองหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าตัดสินใจได้!” เสื้อผ้าของเฉินซีกระพือขณะที่ก้าวไปข้างหน้า ทำให้เจตนาฆ่าฟันที่เย็นยะเยือกระเบิดออกมาราวกับกระแสความเย็นถาโถมไปรอบ ๆ จากนั้นมันก็บดขยี้ ทำลาย และกำจัดอานุภาพน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขตที่อยู่รอบ ๆ ตัวโดยตรง

แม้ ‘เนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธิ์’ ของอีกฝ่ายจะทรงพลัง แต่มันจะเทียบเคียงกับเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารที่เขาครอบครองได้อย่างไร?

ถึงอย่างไร เต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารก็เป็นแก่นแท้มหาเต๋าที่มีเจตจำนงของการสังหาร ในอดีตที่ผ่านมา เฉินซีไม่เคยใช้พลังที่แท้จริงของมันเลยแม้แต่น้อย และมันก็เหมือนกับไข่มุกเม็ดงามที่ถูกซ่อนอยู่ ซึ่งไม่เคยเปิดเผยความเจิดจรัสของมัน

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เขาใช้เต๋าแห่งยันต์อักขระเพื่อสั่งการมหาเต๋าชนิดอื่น ๆ ที่ครอบครองอยู่ และชายหนุ่มได้เปลี่ยนเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารให้เป็นอักขระ ‘乂’ ด้วยจังหวะการวาดนิ้วทั้งซ้ายและขวาของอักขระตัวนี้ ทำให้เจตนาฆ่าของเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหารถูกใช้ออกมาอย่างเต็มที่

ดังนั้นการใช้สิ่งนี้เพื่อทำลายล้างพลังที่อวิ๋นเยี่ยปล่อยออกมา จึงเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนกับการเป่าฝุ่น!

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการปะทะกันของกลิ่นอายที่ทั้งสองคนกระทำ ซึ่งไม่อาจชี้วัดได้ว่าความแข็งแกร่งของอวิ๋นเยี่ยนั้นด้อยกว่าเฉินซี

“วิเศษ!” เมื่อเห็นสิ่งนี้ อวิ๋นเยี่ยก็อุทานออกมาอย่างเย็นชา ถึงแม้จะดูเหมือนว่ากำลังยกย่องเฉินซีอยู่ แต่มันกลับเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอันเย็นชาและน่าสยดสยอง ซึ่งทำให้คนอื่น ๆ ตระหนักได้ทันทีว่าเจ้าตัวนั้นโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง

“เฉินซี เจ้าเพิ่งเข้าสู่ยอดเขาจรัสเทวะ ดังนั้นเจ้าอาจจะยังไม่รู้จักความสามารถของข้าอวิ๋นเยี่ย จึงทำให้เจ้ากล้าดูหมิ่นข้า!”

แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องประกายอย่างไม่มีที่สิ้นสุดภายในดวงตาของอวิ๋นเยี่ย และพวกมันก็เหมือนกับกระบี่ที่น่าสยดสยองนับไม่ถ้วนที่กำลังร่ายรำอยู่รอบ ๆ ยิ่งกว่านั้น เสียงของเขายังเย็นยะเยือกและเสียดกระดูกราวกับใบมีด ซึ่งแทงเข้าไปยังหัวใจโดยตรง ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูจะเย็นฮวบ

“หากเจ้าเคารพคนอื่น คนอื่นก็จะเคารพเจ้า เจ้าเป็นเพียงศิษย์ชั้นยอดเช่นเดียวกับข้าและไม่ใช่ผู้อาวุโสของนิกาย ดังนั้นเหตุใดข้าถึงต้องเคารพเจ้าด้วย?” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย

“วิเศษ! เจ้าช่างกล้าหาญเสียจริง! เช่นนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าได้รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องเคารพข้า!” อวิ๋นเยี่ยปรบมือขณะที่ระเบิดเสียงหัวเราะ ร่างกายของเขาอาบไปด้วยแสงสีทอง ในขณะที่ดวงตาก็มีปรากฏการณ์เกิดขึ้น และดูเจ้าตัวจะต้องการลงมือในทันที!

“เอาล่ะ อวิ๋นเยี่ย เฉินซี พวกเจ้าถอยหลังไปคนละก้าว ภายในตำหนักเมฆาครามแห่งนี้ห้ามต่อสู้กันเป็นอันขาด” ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเผชิญหน้ากัน และอวิ๋นเยี่ยกำลังจะลงมือเพื่อทุบตีเฉินซีอย่างดุเดือดจนกว่าชายหนุ่มจะสะบักสะบอม ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวออกมาทันที

ผู้อาวุโสคนนี้สวมเสื้อคลุมสีเทา เขามีผมสีขาว ผิวที่อ่อนเยาว์ และให้ความรู้สึกเหมือนนักปราชญ์ ปราณเซียนเลือนรางที่ไหลเวียนไปทั่วร่างของคนผู้นี้ ทำให้กลิ่นอายของเขาดูเหมือนกับหุบเหวที่ไร้ก้นบึ้ง เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในขอบเขตเซียนปฐพี

เมื่อได้เห็นผู้อาวุโสคนนี้ก้าวออกมาเพื่อหยุดเฉินซีและอวิ๋นเยี่ย ศิษย์ทุกคนในตำหนักเมฆาครามที่ตั้งใจจะดูการต่อสู้ก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมา แต่พวกเขาก็ตระหนักอยู่แก่ใจเป็นอย่างดีเช่นกันว่า ภายในตำหนักเมฆาครามนี้ ศิษย์ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้

แน่นอนว่ากฎนี้จะไร้ผลบังคับใช้ หลังจากออกไปจากตำหนักเมฆาคราม ในเวลานั้น ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่ได้ถูกทำร้ายจนตาย ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อาวุโสเหล่านี้ แม้แต่ผู้อาวุโสที่อาศัยอยู่อย่างสันโดษอยู่บนยอดเขาจรัสเทวะ ก็จะไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“ฮึ่ม! ช่างน่าผิดหวังเสียจริง ๆ!” อวิ๋นเยี่ยสบถเสียงเย็น จากนั้นเขาก็เหวี่ยงมือออกไป ทำให้ศีรษะที่เปื้อนเลือดร่วงหล่นลงบนพื้น ซึ่งเมื่อนับดูดี ๆ แท้จริงแล้วมันมีถึงสิบแปดหัวด้วยกัน

“นี่มันหัวของสิบแปดโจรทมิฬ!”

“สวรรค์! ศิษย์พี่ใหญ่อวิ๋นเยี่ยทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จแล้วจริง ๆ เขาสังหารอสูรขอบเขตสถิตกายาทั้งสิบแปดตัวที่ก่อกรรมทำชั่วด้วยตัวคนเดียว!”

“วิเศษมาก! เหตุการณ์นี้อาจทำให้ทั้งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองสั่นคลอนภายในเวลาไม่ถึงวัน! นอกจากนี้ ชื่อเสียงของศิษย์พี่ใหญ่อวิ๋นเยี่ยจะต้องกลายเป็นดั่งพระอาทิตย์บนท้องฟ้ายามเที่ยงวันและโด่งดังไปทั่วโลกแน่!”

เมื่อเห็นศีรษะที่อยู่บนพื้นอย่างชัดเจน เหล่าศิษย์ทั้งหมดก็พากันตื่นตระหนกในทันที และพวกเขาทั้งหมดก็ตกใจเป็นอย่างมาก เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ชายหนุ่มจะทำภารกิจที่สุดแสนอันตรายนี้ได้สำเร็จ!

“นี่คือหัวของสิบแปดโจรทมิฬ ข้าทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว ส่วนรางวัลและค่าตอบแทนของข้า ผู้อาวุโสโปรดให้คนนำมันไปยังที่พำนักของข้าด้วย”

เมื่อเขาได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจากรอบข้าง ความเย่อหยิ่งก็อดไม่ได้ที่จะเผยออกมาจากมุมปากของอวิ๋นเยี่ย จากนั้นสายตาของเจ้าตัวก็จ้องมองไปที่เฉินซี แล้วจึงหัวเราะอย่างเย็นชา ก่อนจะชี้ไปที่หัวทั้งสิบแปดหัวบนพื้นและกล่าวว่า “จงดูซะ นั่นคือผลของการที่ไม่ให้เกียรติข้าอวิ๋นเยี่ย! แต่เนื่องจากเจ้าเพิ่งเข้าสู่ยอดเขาจรัสเทวะในวันนี้ ดังนั้นในฐานะศิษย์พี่ ข้าจะไม่ทำให้ศิษย์ใหม่เช่นเจ้าลำบากอย่างแน่นอน แต่ในภายภาคหน้า เจ้าก็ควรระวังเอาไว้เสียบ้าง!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท