บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 626 ทักษะวิชาที่ทำให้ยอดเขาจรัสเทวะต้องตกตะลึง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 626 ทักษะวิชาที่ทำให้ยอดเขาจรัสเทวะต้องตกตะลึง

บทที่ 626 ทักษะวิชาที่ทำให้ยอดเขาจรัสเทวะต้องตกตะลึง

หวังจ้งฮ่วนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก และกระอักเลือดออกมา ทำให้ทุกคนที่มองดูการต่อสู้อยู่ต้องตกตะลึง พวกเขาแทบไม่กล้าเชื่อว่าสิ่งนี้คือความจริงเสียด้วยซ้ำ!

อย่างไรแล้ว ตั้งแต่เข้าสู่ยอดเขาจรัสเทวะเมื่อสิบสามปีก่อน หวังจ้งฮ่วนก็แทบไม่พบคู่ต่อสู้ที่เข้ามือเลย เมื่อประกอบกับดวงชะตาที่ดี พรสวรรค์ธรรมชาติที่โดดเด่น และการเป็นที่ชื่นชอบของผู้อาวุโสมากมาย เขาจึงกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาใกล้ในหมู่ศิษย์ชั้นยอด

ใครจะไปจินตนาการว่าตัวตนผู้แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมอย่างเขาจะต้องพ่ายแพ้ให้กับศิษย์หน้าใหม่อย่างเฉินซีกัน?

ฟุ่บ! ระหว่างที่ทุกคนตกตะลึงอยู่นั้น เฉินซีก็เคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง ทักษะปีกกำราบผกผันกระพืออย่างรวดเร็วก่อนที่ทั้งร่างของเขาจะหายวับไป แล้วชายหนุ่มก็พุ่งตรงไปหาหวังจ้งฮ่วนที่อยู่ไกลออกไป

เฉินซีไม่ได้ตั้งใจจะสังหารหวังจ้งฮ่วน แต่แค่อยากสั่นสอนอีกฝ่ายไม่ให้ลืมไปตลอดชีวิต เฉินซีอยากจะสำแดงพลังออกมาในที่สาธารณะ! ด้วยวิธีนี้ เฉินซีก็จะมีรากฐานที่มั่นคงในยอดเขาจรัสเทวะ!!!

แต่ก่อนที่เฉินซีจะได้เข้าไปถึงตัวหวังจ้งฮ่วน รัศมีอันตรายก็พุ่งพล่านเข้ามาในหัวใจของเขา ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดชะงักลงในทันใด

ปัง!

แน่นอนว่ามันก็เป็นอย่างที่เขาสัมผัสได้ หวังจ้งฮ่วนผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสลุกขึ้นยืนขณะที่ปราณแท้พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกาย แล้วอีกฝ่ายก็ฟื้นฟูร่างกายกลับมายังสภาพสมบูรณ์ในทันที!

นี่มัน… สายตาของเฉินซีหรี่ลงขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยของความหวาดกลัวที่ปรากฏขึ้นในใจ

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพึ่งจะเคยเห็นคนได้รับบาดเจ็บสาหัสฟื้นฟูกลับมาเต็มที่ได้ในชั่วพริบตา ภาพนี้น่าตกตะลึงเกินไป และทำให้แม้แต่เฉินซีต้องรู้สึกกดดันอย่างหนัก

“ดีมาก ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะฝึกทักษะปีกกำราบผกผันด้วย มันทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ” ห่างไกลออกไป ชุดคลุมสีทองของหวังจ้งฮ่วนเปื้อนไปด้วยเลือด แต่เขาก็ดูราวกับบุตรแห่งสวรรค์ผู้ถือกำเนิดใหม่ สีหน้าของเขาบึ้งตึงและเยือกเย็นอย่างถึงขีดสุด ดวงตาของเขามืดและมัวหมอง พวกมันเต็มไปด้วยเจตสังหาร “แต่ข้าต้องบอกเลย ว่าเพราะข้าเสริมสมบัติอมตะของข้า ‘กระบี่สรรค์สร้างขจี้’ อยู่ จึงไม่อาจใช้พลังได้มากกว่านี้นับห้าเท่า ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะทำให้ข้าบาดเจ็บได้หรือ?”

ห้าเท่างั้นหรือ!?

แม้แต่เฉินซีก็ต้องตกตะลึงอยู่ในใจเมื่อได้ยินดังนั้น หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นก็หมายความว่าหวังจ้งฮ่วนเชี่ยวชาญระดับขั้นเต๋ารู้แจ้งขอบเขตสมบูรณ์แล้ว!

“มิน่าล่ะ! ข้าก็คิดว่าพละกำลังของศิษย์พี่หวังจ้งฮ่วนอ่อนแอลง กลายเป็นว่าเขายังไม่ได้แสดงพละกำลังที่แท้จริงออกมานี่เอง”

“ถ้าเช่นนั้น ถึงจะดูเหมือนว่าหวังจ้งฮ่วนแพ้การต่อสู้ แต่เฉินซีก็แค่โชคดีสินะ”

“พลังต่อสู้ห้าเท่า! หากเป็นเรื่องจริง เฉินซีก็คงชนะได้ยากอย่างแน่นอน”

ผู้ชมเหตุการณ์ไกลออกไปต่างก็พูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา ทุกคนตกตะลึงในคำพูดของหวังจ้งฮ่วน และไม่เคยมีใครจินตนาการมาก่อนว่าหวังจ้งฮ่วนจะเก็บพลังอันน่าสะพรึงกลัวเอาไว้จริง ๆ

“ฮึ่ม! หรือเจ้าคิดว่าข้ามีพละกำลังแค่นี้?” เฉินซีพลันคำรามอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดังลั่น แต่ทุกคนที่นี่ต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน

ทันใดนั้น บรรยากาศโดยรอบก็เงียบสงัดลง

คำพูดเหล่านั้นของเฉินซีทำให้ทุกคนต้องตะลึงงัน แค่หวังจ้งฮ่วนสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ได้อีกห้าเท่า มันก็ทำให้พวกเขาประหลาดใจแล้ว และตอนนี้เฉินซียังพูดว่าตัวเขาไม่ได้แสดงพลังออกมาเต็มที่อีก เช่นนั้นจะไม่ให้คนทั้งหมดตกตะลึงได้อย่างไรกัน?

“ทำเป็นคุยโวโอ้อวด!” สีหน้าของหวังจ้งฮ่วนดูจริงจังมากขึ้น แล้วเขาก็กล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ตอนนี้ข้าอยู่ในจังหวะสำคัญของการฝึกฝนแล้ว และในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้ ข้าจะมาบดขยี้เจ้าอย่างแน่นอน ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นข้ารับใช้ของข้า คอยเอาน้ำและชามาให้ข้าดื่ม แล้วก็อย่าฝันที่จะหนีไปจากข้าตลอดชีวิตเสียเถอะ!”

“ใช้เวลาไม่กี่เดือนนี้ให้คุ้มค่าละ เพราะเมื่อถึงเวลา ทุกสิ่งจะไม่อยู่ในการควบคุมของเจ้าอีกต่อไป!” ขณะที่พูด ร่างของหวังจ้งฮ่วนก็กะพริบและหายวับไป

“น่าขันเสียจริง! หากเจ้ามีความสามารถแล้วทำไมไม่ช่วยเหลือข้ารับใช้ของเจ้าไปเล่า หนีไปแบบนี้ยังกล้าพูดจาโอ้อวดอีกหรือ?” เฉินซียืนอยู่เหนือเส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาด ขณะที่มองไปยังร่างที่หายไปของหวังจ้งฮ่วน แล้วสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยเจตสังหารเย็นยะเยือก

เจตนาที่จะแก้แค้นในคำพูดของหวังจ้งฮ่วนนั้นรุนแรงอย่างถึงที่สุด หากไม่ใช่เพราะพวกเขาอยู่บนยอกเขาจรัสเทวะ เฉินซีคงจะพุ่งออกไปและสังหารหวังจ้งฮ่วนเพื่อกำจัดตัวปัญหานี้ไปตั้งนานแล้ว

“ศิษย์พี่เฉินซี โปรดให้อภัยพวกเราด้วยเถิด!”

“พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราไม่ควรนำปัญหามาให้เจ้า ได้โปรดมีเมตตาและยกโทษให้พวกเราเถอะ อย่างไรแล้วก็เป็นศิษย์ในนิกายเดียวกัน”

“ใช่แล้ว พวกเรายืนยันว่าจะไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้ว”

การกระทำและคำพูดของหวังจ้งฮ่วนทำให้เหล่าศิษย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันออกที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าที่พำนักของเฉินซีตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เมื่อพวกเขาคิดว่าเฉินซีอาจจะจัดการกับพวกตนอย่างไรทีหลัง พวกเขาก็ไม่สามารถนั่งเฉยได้และเริ่มร้องขอความเมตตาทันที

ศิษย์ชั้นยอดทั้งหลายเหล่านี้ต่างก็เป็นสุดยอดตัวตนในหมู่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา และพวกเขาต่างก็มีท่าทีที่หยิ่งผยองตอนที่มาถึงที่นี่ก่อนหน้านี้ แต่ไม่ว่าพละกำลังของพวกเขาจะไร้เทียมทานเพียงไร เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอย่างเฉินซี พวกเขาก็เผยท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปและเผยด้านที่อ่อนแอออกมาในทันที

“ในฐานะศิษย์ชั้นยอดแห่งยอดเขาจรัสเทวะ พวกเจ้าทุกคนไม่มีความภาคภูมิใจในตนเองเลยสักนิด พวกเจ้ากลับก้มหัวลงและนั่นมันน่ารังเกียจยิ่งนัก พวกเจ้าทุกคนคือความอับอายแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!” เฉินซีกวาดสายตามองผู้คนเหล่านั้น และไม่ปกปิดความรังเกียจในใจไว้แม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะสบัดแขนเสื้อและกล่าว “ไปให้พ้น! หากพวกเจ้ากล้ามาปรากฏกายใกล้เส้นชีพจรวิญญาณต้นกำเนิดสีชาด อีก ข้าจะขับไล่พวกเจ้าทุกคนออกไปจากยอดเขาจรัสเทวะแน่!”

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ พวกเราจะเชื่อฟังศิษย์พี่เฉินซีเป็นอย่างดี พวกเราจะพยายามกลับตัวกลับใจและไม่กล้าทำอะไรชั่วร้ายอีกแล้ว” เหล่าศิษย์ชั้นยอดแห่งยอดเขาจรัสตะวันออกดูราวกับว่าได้คลายปมในใจลงในที่สุด แล้วพวกเขาก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่ลังเล

หวังจ้งฮ่วนเป็นใครกัน? เขาคือเทพผู้ไร้เทียมทานในหัวใจของพวกเขา แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถทำอะไรเฉินซีได้ ตอนนี้พวกเขาจึงได้แต่นิ่งอยู่กับที่ แล้วจะให้พวกเขากล้าไม่พอใจได้อย่างไรกัน?

แม้ว่าเฉินซีจะก่นด่าพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาก็ยอมฟังแต่โดยดีและไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย

นี่คือการแข่งขันระหว่างศิษย์ชั้นยอดบนยอดเขาจรัสเทวะที่โหดร้ายและสมจริง ผู้อ่อนแอจะมีเพียงแค่ทางเลือกเดียวที่นี่… คือการพัฒนาความแข็งแกร่ง!

หลังจากที่ศิษย์เหล่านี้จากไปด้วยความตื่นตระหนก เฉินซีก็เข้าไปข้างในที่พำนักอีกครั้งและนั่งขัดสมาธิลงก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วเขาก็เริ่มฝึกฝนอย่างเงียบเชียบ

การต่อสู้กับหวังจ้งฮ่วนก่อนหน้านี้ใช้พละกำลังไปมหาศาล และเขาแทบจะต้านทานการระเบิดพลังไม่ไหว สิ่งที่น่ากดดันมากที่สุดในตอนนี้คือการฟื้นฟูพละกำลังให้รวดเร็ว

ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนถึงจุดจบ ตัวตนอันยิ่งใหญ่ของนิกายไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าการแข่งขันระหว่างศิษย์ชั้นยอดบนยอดเขาจรัสเทวะนั้นไร้ขีดจำกัดอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหวังจนหวนถึงกล้าหยิ่งผยองและโหดร้ายถึงขนาดนั้น ซึ่งแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้วันนี้แม้แต่น้อย แต่ตัวของเฉินซีก็ยังต้องระวังไว้ให้ดี!

ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่า หวังจ้งฮ่วนแข็งแกร่งจนน่าตกตะลึงจริง ๆ เขาไม่เพียงครอบครองสมบัติอย่าง ‘ธนูเบญจธาตุ’ และกระบี่สรรค์สร้างขจี้ แต่ยิ่งไปกว่านั้น เขากระทั่งครอบครองเต๋ารู้แจ้งขอบเขตสมบูรณ์ถึงห้าประเภทอีกด้วย เรียกได้ว่าคนผู้นี้ครอบครองทรัพยากรมหาศาล และมากด้วยพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่โดดเด่น!

เฉินซีรู้ว่าหากหวังจ้งฮ่วนเพิ่มพลังต่อสู้ขึ้นอีกห้าเท่าในการต่อสู้ครั้งนี้ โอกาสที่ตนเองจะชนะก็คงน้อยนิดอย่างถึงที่สุด

แน่นอนว่าเขายังมีไพ่ตายที่ไม่ได้ใช้งานเหลืออยู่ อย่างหม้อต้บใบจิ๋วลึกลับที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด หากชายหนุ่มถูกกดดันจนหม้อขนาดจิ๋วนี้เคลื่อนไหว นอกจากหวังจ้งฮ่วนแล้ว แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็คงไม่สามารถต้านทานมันได้!

อย่างไรแล้ว หม้อจิ๋วนั้นก็เคยบอกว่าด้วยพละกำลังของมัน มีโอกาสสามในสิบที่มันจะสามารถสังหารหรือทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์ตัวจริงได้รับบาดเจ็บสาหัสได้!

ส่วนต้นกำเนิดของหม้อขนาดจิ๋วใบนั้นก็น่าตกตะลึงเกินไป มันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และโลกในสมรภูมิบรรพกาล! …ดังนั้นนอกเสียจากว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เฉินซีก็จะพยายามไม่ใช้พละกำลังของหม้อขนาดจิ๋วนี้ออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น

‘เหมือนว่าข้าจะต้องพยายามพัฒนาระดับขั้นเต๋ารู้แจ้งอย่างหนัก และต้องไปให้ถึงขอบเขตสมบูรณ์ให้ได้ เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็จะสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ขึ้นได้ แล้วเมื่อกาลนั้นมาถึง เหตุใดข้าจะต้องหวาดกลัวหวังจ้งฮ่วนด้วยเล่า?’

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ความมุ่งมั่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเฉินซีอีกครั้ง เขารู้ว่าตัวเองพึ่งจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายา นอกจากนี้ยังมีระยะห่างที่ไม่อาจชดเชยได้ระหว่างตนเองกับหวังจ้งฮ่วนผู้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตสถิตมายาเมื่อนานมาแล้ว แต่ตราบใดที่เฉินซีฝึกฝนต่อไปอย่างใจเย็น พละกำลังของเขาก็ยังสามารถพัฒนาเข้าสู่ระดับต่อไปได้

หากผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาต้องการพัฒนาพละกำลังให้มากยิ่งขึ้น มันก็มีเพียงแค่สองวิถีทางเท่านั้น วิธีการแรกคือบ่มเพาะให้แดนฮุ่นตุ้นของตัวเองพัฒนาระดับพลังให้สูงยิ่งขึ้น ส่วนอีกวิธีการนั้นคือทำความเข้าใจเต๋ารู้แจ้งและไปถึงขอบเขตสมบูรณ์ในเต๋ารู้แจ้งนั้น ๆ โดยวิธีการนี้มันก็จะทำให้ศาสตร์เต๋าทวีอำนาจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองเส้นทางนี้ยังส่งเสริมกันเองอีกด้วย!

เพราะมีแต่เมื่อยามแดนฮุ่นตุ้นมั่นคงและกว้างใหญ่เพียงพอแล้วเท่านั้น ที่ผู้บ่มเพาะจะสามารถสะสมปราณแท้ที่มากขึ้นซึ่งนำไปสู่พลังต่อสู้ที่สูงขึ้นได้ ไม่เช่นนั้น แม้ว่าจะพัฒนาเต๋ารู้แจ้งไปถึงขอบเขตสมบูรณ์ได้ บางสิ่งก็ไม่อาจเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้เพราะปราณแท้ของเขาไม่เพียงพอ

ในขณะเดียวกัน ยิ่งผู้บ่มเพาะเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งมากเท่าใด มันก็จะยิ่งแสดงให้เห็นในแดนฮุ่นตุ้นของผู้บ่มเพาะมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรแล้ว เต๋ารู้แจ้งก็เป็นแก่นและกรอบที่ก่อเกิดขึ้นในแดนฮุ่นตุ้น ดังนั้น ยิ่งครอบครองและเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งมากเท่าไร แดนฮุ่นตุ้นนั้นก็จะแข็งแรงและกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ครืน!

เมื่อเฉินซีเข้าไปข้างในปิดด่านบ่มเพาะ อากาศนับไม่ถ้วนก็ผนึกทั่วทั้งที่พำนักของเขาเอาไว้ มันเป็นค่ายกลที่เขาติดตั้งขึ้นและสามารถป้องกันไม่ให้ผู้อื่นบุกรุกเข้ามาได้

“แม้กระทั่งหวังจ้งฮ่วนก็จากไปด้วยความเกลียดชัง เด็กคนนี้ช่างเหนือจินตนาการจริง ๆ ดูเหมือนว่าสัตว์ประหลาดไร้เทียมทานอีกตัวหนึ่งจะปรากฏขึ้นในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราแล้วสิ บางทีเขาอาจจะได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดาในงานชุมนุมวิถีเซียนที่จะจัดขึ้นในอีกไม่นานนี้ก็ได้”

“แน่นอน ความสามารถของเด็กหนุ่มนั่นน่าตกตะลึงจริง ๆ เขาเชี่ยวชาญศาสตร์เต๋าระดับสูงสุดมากมายและฝึกฝนทักษะปีกกำราบผกผันที่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสต้องตกตะลึง ในอนาคต เขาจะต้องเติบโตขึ้นเป็นเสาหลักแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราแน่”

ภายในตำหนักเมฆาคราม ผู้อาวุโสมากมายได้รับชมการต่อสู้นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ และพวกเขาเองก็ตกตะลึงถึงขีดสุดอยู่ในใจเช่นกัน ด้วยระดับพลังของพวกเขา เหล่าผู้อาวุโสสามารถเล็งเห็นได้ถึงศักยภาพของเฉินซี และมั่นใจว่าชายหนุ่มไม่อ่อนแอไปกว่าศิษย์อันดับต้นคนอื่น ๆ ในยอดเขาจรัสเทวะเลย

“เพียงแค่นั้นไม่พอหรอก! เราต้องรายงานเรื่องนี้ไปยังเหล่าผู้อาวุโสที่อาศัยอยู่ในดินแดนเร้นลับ พวกเขาจะต้องสนใจอัจฉริยะแสนโดดเด่นอย่างเฉินซีแน่นอน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นยืน และใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายมิติเพื่อมุ่งหน้าลึกเข้าไปในยอดเขาจรัสเทวะด้วยความตั้งใจที่จะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับผู้อาวุโสเหล่านั้น

ไม่ใช่แค่เพียงเหล่าผู้อาวุโสในตำหนักเมฆาครามเท่านั้น ระหว่างการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ บทสนทนาดุเดือดเกี่ยวกับเฉินซีก็เกิดขึ้นในที่พำนัก ดินแดนเร้นลับ และช่องว่างมิติในยอดเขาจรัสเทวะมากมายหลายแห่ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท