บทที่ 638 สำแดงจำอวด
บทที่ 638 สำแดงจำอวด
หลงเจิ้นเป่ยในขณะนี้รู้สึกแค้นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะการถูกหลอกใช้ซึ่งหน้าแบบนี้มันอัปยศอดสูเกินไป และหากไม่ใช่เพราะเฉินซีเป็นศิษย์ร่วมนิกาย เขาก็คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าได้ฟาดไอ้สารเลวนั่นให้ตาย!
ในฐานะหนึ่งในศิษย์ชั้นยอดอันดับต้น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เขากลับไม่เคยไหวตัวมาก่อนเลยว่าถูกวางแผนไว้ตั้งแต่เมื่อไร
ทำให้ตอนนี้ตัวเขาต้องทำตัวไม่ต่างจากกุลีรับจ้าง!
หลงเจิ้นเป่ยโกรธเกรี้ยวเกินขีดจำกัด และเจ้าตัวก็ระบายความเดือดพล่านที่ระอุภายในอกไปยังฝ่ายตรงข้ามเต็มแรง
ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวดังมังกรเวียนว่าย แข็งแกร่งและอยู่เหนือยิ่งกว่า หลงเจิ้นเป่ยสำแดงความสามารถที่ได้รับการฝึกฝนอย่างสุดกำลัง ทุกการขยับย่างของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังที่รุนแรงและเยือกเย็น คล้ายดังว่าเจ้าตัวสามารถฉีกโลกเป็นเศษเสี้ยวและบดขยี้ตะวันจันทราได้ในฝ่ามือเดียว!
แม้ว่าชายหนุ่มผอมแห้งจากเกาะปีศาจฉลามมังกรจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มพูลถึงสี่เท่า ทว่ามีหรือที่อีกฝ่านจะเทียบได้กับร่างกายอันน่ายำเกรงของหลงเจิ้นเป่ย! ดังนั้นคนจากเผ่าฉลามมังกรผู้นี้จึงตกเป็นรองในทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ร่างกายผอมแห้งถูกทุบตีจนต้องถอยกรูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำได้เพียงป้องกันการโจมตีที่กระหนำดังพายุ ทว่าก็น่าเวทนานักที่มีแค่การยกแขนขึ้นมากันศีรษะและการหลบหลีกเท่านั้นที่พอจะทำได้
จริงอยู่ที่หลงเจิ้นเป่ยเจ็บปวดใจ หากทว่าชายหนุ่มผอมแห้งกลับเจ็บปวดยิ่งกว่า เดิมทีเขาตั้งใจจะจัดการเพียงเฉินซีเท่านั้น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีผู้ใดมาขัดขวางกลางคันด้วยการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ การต่อสู้นี้จึงดูจะสิ้นหวังลงทุกที หลงเจิ้นเป่ยทำกับเขาประหนึ่งว่าตนเองไปฆ่าพ่ออีกฝ่ายตายอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ชายหนุ่มผอมแห้งมีอาการอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก!
มารดามันเถิด! ข้าไปทำอะไรให้ตอนไหนกัน ข้าเพียงแต่มาเพื่อแก้แค้นแทนศิษย์น้องเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เสียหน่อย ไอ้เวรเอ้ย! พวกนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมันเป็นบ้ากันไปหมด…
สารรูปของชายผอมแห้งบัดนี้ดูไม่จืดอย่างยิ่ง ความอดสูอัดแน่นในอกเสียจนอยากกระอักออกมาเป็นก้อนเลือด หากรู้ตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์มากฝีมือของนิกายเก้ากระบี่เรืองรอง เขาไม่มีทางมาที่นี่เด็ดขาด!
ตอนนี้ตัวเขาถูกคุมตัวและโดนกระหน่ำทุบตีอย่างหนัก ไม่เพียงแต่ไม่สามารถแก้แค้นได้สำเร็จ ทว่าขาข้างหนึ่งยังก้าวไปสู่ความตายเป็นที่เรียบร้อย และปัญหาหลัก ๆ ในยามนี้ของชายหนุ่มผอมแห้งก็คือตัวเขาจะรอดพ้นไปจากสถานการณ์เบื้องหน้าได้อย่างไร…?
ชายทั้งสองแม้มีจุดคิดที่ต่างกัน หากทว่าความโกรธในใจกลับอยู่ในระดับที่แทบไม่ทิ้งห่างกันแม้แต่น้อย พวกเขาระบายความคั่งแค้นทั้งหมดที่มีใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ยั้งมือ กลายเป็นภาพการต่อสู้ที่ทรงพลังและยอดเยี่ยมในสายตาของผู้พบเห็น ทำให้ผู้ชมทั้งหลายต่างร้องอุทานออกมาด้วยความสนุกสนาน
เนื่องจากชั้นสูงสุดของตำแหน่งเมฆาเยือกแข็งปกคลุมไปด้วยค่ายกลป้องกันจำนวนมากมาย จึงไม่ต้องกังวลไปว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะไปทำลายโครงสร้างของอาคารแต่อย่างใด
กระนั้น เพื่อให้ทั้งสองได้ต่อสู้กันอย่างอิสระ ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงจึงค่อย ๆ ถอยออกไปด้านข้าง เปิดพื้นที่เป็นลานกว้างให้ทั้งคู่ได้ต่อสู้กันจนพอใจ
“โอ้โห หลงเจิ้นเป่ยสมกับเป็นยอดคนจากเผ่ามังกรอสรพิษ ศาสตร์เต๋าของเขาช่างงดงามและล้ำลึก รัศมีพลังอันน่าเกรงขามได้กระจายไปทั่วแผ่นฟ้าราวกับสายรุ้ง มิหนำซ้ำ ความแข็งแกร่งของเขาก็ยิ่งใหญ่มากพอจะได้เป็นผู้นำคนถัดไป!”
“เห็นด้วยเลย แต่เดิมพรสวรรค์ของเฉินซีนั้นนับว่าน่าประหลาดใจมากแล้ว ทว่าสำหรับหลงเจิ้นเป่ยน่ะเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเสียอีก ถือเป็นวาสนาของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่มีคนทั้งสองอยู่ในนิกาย!”
“เอ๊ะ! ดูผู้เยี่ยมยุทธ์จากเกาะปีศาจฉลามมังกรนั่นสิ ก่อนหน้านี้เขายังน่ากลัวมากอยู่เลย แล้วมาดูเขาตอนนี้สิ กลับทำได้แต่เอามือปิดหน้าหนีหัวซุกหัวซุน ไม่เหลือความน่าเกรงขามอันใดเลย!”
ผู้คนต่างแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งนี้เป็นการฆ่าเวลา ในฐานะที่ได้เป็นหนึ่งในสักขีพยานของสุดยอดการต่อสู้ก่อนจะเข้าไปสู่เหวเงาทมิฬ
ชายหนุ่มผอมแห้งหดหู่ต่อภาพตรงหน้าไปชั่วขณะ เส้นเลือดข้างขมับปูโปนเป็นรอยเกร็ง ดังว่าคลื่นพายุลูกหนึ่งกระหนำพัดอยู่ภายในหัวใจ มารดามันเถิด ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าข้ากำลังถูกต้อนอยู่ พวกเจ้าทั้งหลายไม่เพียงไม่ช่วยไกล่เกลี่ย แต่ยังผลักให้ข้ากลายเป็นเหยื่อของมัน กล้าทำแบบนี้ได้อย่างไร!?
น้ำตาของเขาแทบไหลหลั่ง ในอกชอกช้ำด้วยความโศกเศร้าเหลือคณา ไม่ควรเลย ข้าไม่น่ามาที่นี่เลย!
อีกฝากหนึ่ง เสียงสนทนาเหล่านี้กลับทำให้สีหน้าของหลงเจิ้นเป่ยสดใสขึ้น คิ้วสองข้างคลายปมที่ขมวดไว้ลง การได้รับเสียงชื่นชมจากบุคคลที่อยู่ในระดับต้น ๆ ทำให้เขาผ่อนคลายลงอย่างมาก แม้แต่ความโกรธและความเสียใจก็ทุเลาลงโดยไม่รู้ตัว
“หนอย! เจ้าหาว่านิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าไร้น้ำยาอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นข้าจะมอบประสบการณ์ที่เจ้าจะต้องจดจำไปชั่วชีวิตให้เอง!” หลงเจิ้นเป่ยโจมตีอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่พลังปราณของเขาทวีความน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้เกิดเป็นภาพนี่น่าพึงพอใจไม่น้อย
ราวกับว่าเขากำลังทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นแท่นหินสำหรับอวดความแข็งแกร่ง และด้วยสิ่งนี้ มันจะทำให้หลงเจิ้นเป่ยสามารถแสดงพลังและกอบกู้ศักดิ์ศรีได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งก็แน่นอนว่ามันได้ผล เขาได้รับเสียงกู่ร้องยินดีมากมายจากฝูงชนในห้องโถง!
สถานการณ์แบบนี้ทำให้หลิงเจิ้นเป่ยเป็นปีติยินดียิ่งนัก เขาเริ่มคิดไปว่าเฉินซีนั้นช่างมีประโยชน์ หากไม่ใช่เพราะไอ้สารเลวนี่ที่ทำให้ตัวเขาได้เป็นจุดสนใจ หลงเจิ้นเป่ยก็คงไม่มีโอกาสได้ซัดคนตรงหน้าอย่างอิสระเช่นนี้
เมื่อนึกถึงเฉินซี หลงเจิ้นเป่ยก็เหลือบมองไปยังเฉินซีผ่านหางตาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังดูการต่อสู้ด้วยรอยยิ้ม บางครั้งอีกฝ่ายก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทีของชายหนุ่มก็กำลังราวกับกำลังรับชมสุดยอดการแสดงอยู่อย่างไรอย่างนั้น
การแสดงอย่างนั้นหรือ?
ขณะที่เขามองไปที่รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของเฉินซี ความลำพองใจที่หลงเจิ้นเป่ยมีก็พลันเลือนหายไปอย่างไร้เหตุผล เขารู้สึกแย่ขึ้นมาในทันที ตอนนี้เอง ที่ตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นเหมือนลิงที่แสดงจำอวด กระโดดโยกย้ายไปมาตามจังหวะปรบมือและซุ่มเสียงให้กำลังใจของผู้ชม
กลับกัน เฉินซีเป็นเหมือนนักแสดงที่วางแผนการแสดงไว้อย่างดี…
เมื่อคิดได้ดังนั้น มุมปากของหลงเจิ้นเป่ยก็กระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกราวกับว่ามีเสียงกระซิบแหบพร่ามากมายกำลังดังแว่วภายในโสตประสาท วงเวียนอยู่เช่นนั้นไม่รู้จบ เจ้าบ้า! เจ้าคนสารเลว! เล่นตลกเหมือนกับข้าเป็นลิง!
ความเดือดดาลปะทุขึ้นภายในใจ ทำให้ชายหนุ่มโจมตีไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างทารุณยิ่งขึ้นด้วยขาดสติ ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มผอมแห้งกระอักเลือดออกมากองโต และส่งเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวด
ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของหลงเจิ้นเป่ย พวกเขายังคงส่งเสียงโห่ร้องคึกครื้นให้ความห้าวหาญที่อีกฝ่ายโจมตีผู้เยี่ยมยุทธ์จากเกาะปีศาจฉลามมังกรประหนึ่งตีสุนัขใกล้ตาย
กระนั้น เสียงชื่นชมยินดีเหล่านี้กลับเป็นดังมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงลงกลางใจหลงเจิ้นเป่ยเสียมากกว่า ยิ่งฟังมากเท่าไร หัวใจก็ยิ่งช้ำชอกไปด้วยเลือดเท่านั้น
อย่างกับลิง… อย่างกับลิง…
คำพูดที่เป็นดังคำสาปร้ายผุดขึ้นมาในจิตใจของหลงเจิ้นเป่ย อย่างไม่รู้สิ้น หลงเจิ้นเป่ยรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกมีดหั่นเป็นชิ้น ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บปวดทรมานไปจงถึงขั้วหัวใจ สิ่งนี้ยิ่งทำให้เขาระเบิดโทสะออกมา และเขาหาได้ต้องการสิ่งใดไปกว่าการร้องคำรามให้ดังถึงสรวงสวรรค์!!
พลังโจมตีของเขาทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ โหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด มันก็คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายแห่งจิตสังหาร!
พรวด!
ท้ายที่สุด ชายหนุ่มผอมแห้งก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีได้อีกต่อไป เขากระอักเลือดออกมาเต็มปากพร้อมทั้งถอยหลังกรูดจนสุดทาง ใบหน้าที่เคยสมบูรณ์บิดเบี้ยวไม่เหลือเค้า
“มารดามันเถิด! นี่เป็นแค่การปะมือเท่านั้น ทว่าเจ้ากลับลงมืออย่างเหี้ยมโหด จะนิกายกระบี่เก้ากระบี่เรืองรองหรืออะไรข้าก็ไม่สนแล้ว วันนี้ข้าจะบดขยี้เจ้าให้จมแทบเท้า ไอ้สารเลวเอ้ย!”
สิ้นคำพูด เขาพลันร้องคำรามดั่งพยัคฆ์ก่อนจะกระโจนไปข้างหน้าอีกครั้ง คล้ายว่าชายหนุ่มผอมแห้งพร้อมแลกชีวิตด้วยปรารถนาจะลากหลงเจิ้นเป่ยให้ตายตกไปตามกัน
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘หากไม่บ้าระห่ำ ก็ไม่นับว่าได้ใช้ชีวิต’ ในระหว่างการประลองจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มผอมแห้งถูกข่มขวัญอย่างไม่หยุดต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้เขาโกรธเกรี้ยวและสูญสิ้นความหวัง ดังนั้นแล้วต่อแต่นี้ไป ชายหนุ่มผอมแห้งจึงตั้งใจจะเอาชีวิตนี้เข้าแลกเป็นเดิมพัน!
“ว่าอย่างไรนะ! นี่เจ้ากล้าด่าข้างั้นหรือ?” จิตใจของหลงเจิ้นเป่ยถูกไฟแห่งความโกรธแค้นครอบงำ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง …ตั้งแต่ที่เขาพยายามสร้างชื่อให้ตนเอง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าด่าทอหยาบคายใส่ มันจึงทำให้หลงเจิ้นเป่ยโกรธจัด และตัดสินใจที่จะจัดการเจ้าบ้านี่ให้มันจบ ๆ ไป
เห็นทีคงต้องเชือดไก่ให้ลิงดู!
ในเวลานั้นเอง หลงเจิ้นเป่ยพลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่งท่ามกลางพายุโทสะ นั่นคือความตายที่น่าสังเวชของผู้เยี่ยมยุทธ์จากเกาะปีศาจฉลามมังกรหาใช่เพราะอีกฝ่ายทำให้ตัวเขาโมโหไม่ หากแต่เป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเฉินซีที่ประทับลงภายในใจ…
อย่างกับลิง… อย่างกับลิง…
คำสาปร้ายปรากฏขึ้นใจเบื้องลึกจิตใจอีกครั้ง
ให้ตายเถอะ! นี่มันน่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
คล้ายว่านี่เองที่เป็นชนวนแห่งความโกรธ ทำให้ไฟโทสะลุกโชนท่วม และหลงเจิ้นเป่ยพลันพุ่งตัวไปข้างหน้าทันที!
“ตายซะ!” หลงเจิ้นเป่ยคำรามลั่น
ละอองเลือดสาดกระเซ็นดังเม็ดฝน ในขณะที่ร่างของชายหนุ่มผอมแห้งถูกตัดผ่า และอวัยวะภายในซึ่งอาบด้วยสีแดงเลือดกระจัดกระจายไปทั่วพื้น
กลิ่นคาวเลือดพลันแตะจมูกชวนให้สะอิดสะเอียน และเกิดเป็นภาพที่น่าสลดใจอย่างถึงที่สุด
ชั่วครู่นั้น บรรยากาศในห้องโถงเงียบลงอย่างฉับพลัน ปราศจากเสียงดังหลุดลอด ผู้คนโดยรอบต่างจ้องมองกันและกันด้วยดวงตาเบิกกว้าง ด้วยเพราะมันเป็นภาพที่โหดร้ายเกินไป พวกเขาจึงตกใจเกินกว่าจะมีคำใดหลุดออกมาได้!
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าจิตสังหารของหลงเจิ้นเป่ยจะรุนแรงถึงเพียงนี้ ไม่หนำซ้ำ วิธีจัดการคู่ประลองยังเต็มไปด้วยความโหดร้าย ใครจะกล้าเชื่อกันว่าผู้เยี่ยมยุทธจากเกาะปีศาจฉลามมังกรนั้นถูกเขาฉีกเป็นชิ้น ๆ จริง ๆ!
ศิษย์ที่เป็นผู้หญิงบางคนถึงกับหน้าถอดสีต่อฉากน่าหวาดกลัวเบื้องหน้า ดวงตาของพวกนางสั่นระริกขณะที่จ้องมองหลงเจิ้นเป่ยจากที่ไกล
ราวกับว่ากำลังจับจ้องยังเพชฌฆาตกระหายเลือด
หลังจากนั้น หลงเจิ้นเป่ยได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ และเขาเองก็ตกตะลึกเช่นกันเมื่อเห็นสายตาแปลก ๆ มากมายที่มองมายังตนเอง ในชั่วครู่หนึ่ง… ตัวเขาเหมือนจะได้สติจากห้วงแห่งโทสะ และเกิดความคิดในใจขึ้นว่า
‘นี่เขา… ฆ่าอีกฝ่ายไปแล้วจริง ๆ หรือ?’
ทั้งแขนขาที่ขาดวิ่น บรรยากาศอันเงียบสงัด และสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของผู้ชม… สิ่งเหล่านี้เหมือนฝ่ามือที่ตบหน้าเขาโดยแรงให้ตื่นรู้ว่าเมื่อก่อนหน้านี้ตนเองขาดความยับยั้งชั่งใจต่อโทสะ และได้ลงมือคร่าชีวิตคน ๆ หนึ่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะไอ้สารเลวนั่น!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลงเจิ้นเป่ยพลันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ หากทว่าเขากลับไม่เห็นร่องรอยของเฉินซีแม้แต่น้อย คล้ายกับว่าชายผู้นั้นได้เดินออกไปจากห้องโถงนานมากแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้เป็นเพียงความฝัน จิตใจของหลงเจิ้นเป่ยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และหากจะพูดว่าในระหว่างต่อสู้กับชายหนุ่มผอมแห้ง ความคิดของเขาไม่เป็นตัวของตัวเองก็ไม่นับว่าผิดนัก ซึ่งมันทำให้ความหนาวเหน็บและหวาดหวั่นก่อตัวขึ้นภายในใจของหลงเจิ้นเป่ยอย่างไม่มีเหตุผล
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอันใดขึ้นกันแน่?
การบ่มเพาะจิตวิญญาณของข้ามันถดถอยลงตั้งแต่เมื่อไร?
หลงเจิ้นเป่ยตะลึงงัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นนับตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะ ซึ่งเขาหาได้กังวลอันใดกับความตายของฝ่ายตรงข้าม หากแต่แคลงใจในข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นกับศาสตร์เต๋าของตน ด้วยหากมันมีความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย สิ่งนี้ก็อาจก่ออันตรายรุนแรงให้เขาได้ในระหว่างฝึกฝน!
“ศิษย์น้องเฉินไปไหนเสียแล้ว?” หลงเจิ้นเป่ยกลับมานั่งยังที่นั่งหน้าโต๊ะ ก่อนจะถามนักพรตเต๋าสุริยันชาดซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม
ในระหว่างนั้น เศษซากจากการต่อสู้ซึ่งเกลื่อนกลาดนองพื้นก็ได้รับการทำความสะอาดโดยผู้ดูแลของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง ทำให้บรรยากาศในห้องโถงกลับคืนสู่สภาวะปกติ ราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน และในท้ายที่สุด มันก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนอีกต่อไป
สัจธรรมของโลกล้วนเป็นเช่นนี้ ในแดนภวังค์ทมิฬอันกว้างใหญ่ มีเหตุการณ์นองเลือดไม่เว้นแต่ละวัน เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งผ่านประสบการณ์การต่อสู้มานับไม่ถ้วนล้วนชาชินกับเรื่องทำนองนี้มานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เว้นเสียแต่ว่าผู้ตายจะเป็นยอดคนที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง ซึ่งก็แน่นอนชายหนุ่มผอมแห้งผู้นี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้น
“เขาไปแล้วล่ะ” นักพรตเต๋าสุริยันชาดตอบ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องของเจ้าผู้นี้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นสะดุดตาจริง ๆ”
“เขาน่ะหรือ?” หลงเจิ้นเป่ยคลางแคลงใจเล็กน้อย
ชายหนุ่มยังคงคิดไม่ตกว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ตนเองถึงได้มีโทสะมากเพียงนั้น ส่วนเรื่องที่เฉินซีไม่อยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่ได้ใส่ใจนัก คิดว่าดีแล้วที่อีกฝ่ายไม่อยู่ให้เห็นหน้า อย่างน้อยก็ลดความรำคาญลูกตาไปได้เยอะทีเดียว