บทที่ 639 เตาหลอมสวรรค์
บทที่ 639 เตาหลอมสวรรค์
ถนนเมืองเหมันต์บรรพกาลเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังดำเนินชีวิตไปมาดูวุ่นวายยิ่ง ในขณะที่ทั่วทั้งเมืองก็ถูกปกคลุมอยู่ใต้หิมะ ทำให้ดูเป็นสีขาวบริสุทธิ์
เฉินซีเดินอยู่เพียงลำพังในชุดคลุม สองมือไพล่หลัง ท่าทีสบายอารมณ์
เมื่อมีข่าวเรื่องเหวเงาทมิฬกำลังจะปรากฏขึ้นได้แพร่กระจายออกไปทั่วแล้ว เมืองโบราณที่ตั้งอยู่จุดนี้มานานนับปีจึงยิ่งคึกคักกว่าเดิม เต็มไปด้วยฝูงชนที่เดินชนไหล่ และรถม้าที่วิ่งกันขวักไขว่
สามารถพบเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากหลายขุมกำลังมาจากทั่วทุกสารทิศที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางได้ทั่ว มียอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากทั้งนิกายเซียนและนิกายอสูร ทั้งยังมีผู้ล้ำเลิศที่สร้างชื่อด้วยตนเองอยู่หลากหลาย อีกทั้งเหล่าผู้น่าเกรงขามจากตระกูลมากหลายในยุคบรรพกาลนั่นอีก! …อาจกล่าวได้ว่าที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมยอดอัจฉริยะและผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายที่มีมากมายราวกับต้นไม้ในป่า
เหล่าผู้คนบนท้องถนนต่างพากันพูดคุยเรื่องเหวเงาทมิฬ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและตั้งตารอคอย ราวกับว่าจะได้โชคครั้งใหญ่ติดมือกลับไปอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น แม้ว่าเหวเงาทมิฬนับเป็นสถานที่ที่น่ากลัวอย่างยิ่ง แต่เต๋าแห่งสวรรค์ก็มักเหลือทางรอดไว้ให้ทุกคนอยู่เสมอ
หากสามารถได้มันมา แม้จะไม่อาจกลายเป็นเซียนได้ในทันที แต่อย่างน้อยก็สามารถบรรลุความยิ่งใหญ่ สร้างความตื่นตะลึงให้ใต้หล้าได้
เพราะอย่างไร มันก็เป็นที่รู้กันดีว่ามีความลับอยู่มากมายซุกซ่อนอยู่ภายในเหวเงาทมิฬ และมีเพียงชิ้นส่วนมหาเต๋าเท่านั้นที่ทุกคนรู้ว่ามีอยู่ในนั้น แต่เพียงเท่านี้ก็มากพอจะทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งหลายต่อสู้แย่งชิงกันด้วยชีวิตแล้ว
ระหว่างนั้น เฉินซีได้ยินข้อมูลมามากมาย ส่วนมากเป็นข้อมูลที่ฟังดูไร้สาระ มีความน่าเชื่อถือต่ำ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
เมืองเหมันต์บรรพกาลแห่งนี้มีเสน่ห์ในตัวมันเอง เมื่อย่ำเดินอยู่ภายใน หิมะขาวก็ร่วงโปรย น้ำแข็งสีใสกระจ่างกองพะเนินอยู่บนพื้น ส่งผลให้ใจสงบ ตอนนี้เฉินซีจึงมีอารมณ์ผ่อนคลายและสดชื่นขึ้นมาก
เทียบกับปัญหาที่พบมากมายตอนที่อยู่ชั้นสูงสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง การได้เดินอยู่คนเดียวเช่นนี้นับว่าสบายและสงบกว่ามาก
แต่แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ดีว่าปัญหาที่พบในตำหนักเมฆาเยือกแข็งเมื่อก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วจะเรียกว่าปัญหาไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นสี่พี่น้องฉลามมังกร หรือไป๋กู่หนาน และคนอื่น ๆ จากเทือกเขาหนามม่วง คนพวกนี้มีความแข็งแกร่งน้อยกว่าเขามาก เอาชนะได้ง่ายเหมือนไล่แมลง เมื่อชนะแล้วก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกสำเร็จแต่อย่างไร
ส่วนชายหนุ่มผอมแห้งที่ปรากฏตัวในตอนท้ายนั้น แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าเขาถึงสี่เท่า ทว่าเฉินซีก็หาได้เกรงกลัวไม่ เหตุผลที่ชายหนุ่มไม่ต่อสู้ก็เพียงเพราะไม่อยากให้หลงเจิ้นเป่ยได้เห็นการต่อสู้สมดั่งใจหมายก็เท่านั้น
อ้อ ไม่รู้ว่าสหายผู้นั้นที่ถูกวิชามายาใจบงกชไปจะออกฆ่าสังหารคนผอมแห้งนั่นไปแล้วหรือไม่นะ? หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงรู้สึกว่าน่าสรรเสริญมากกระมัง? มุมปากเขาเผยรอยยิ้มขำขันขึ้นมาเมื่อนึกถึงหลงเจิ้นเป่ย เพราะก่อนชายหนุ่มจะจากตำหนักเมฆาเยือกแข็งมา เขาก็ได้แอบใช้ศาสตร์เต๋าที่เรียกว่าวิชามายาใจบงกชไปแล้ว
ศาสตร์เต๋านี้แปลกประหลาดนัก สามารถทำอันตรายที่มองไม่เห็นได้ เมื่อใช้แล้วก็จะกลายเป็นเหมือนปีศาจภายใน ที่คอยยุแหย่จิตใจศัตรู คอยกระตุ้นความโกรธ ความเกลียด ความไม่พอใจ ความริษยา และอารมณ์เชิงลบทั้งหลายภายในส่วนลึกของจิตใจขึ้นมา ทำให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้
อีกทั้งศาสตร์เต๋านี้ยังน่าเกรงขามมากเพราะความ ‘ไร้เสียง’ ศัตรูจึงสังเกตได้ยาก และเว้นเสียแต่ว่าศาสตร์เต๋าจะเข้าขั้นสมบูรณ์ไร้ที่ติ ไม่เช่นนั้นคนผู้นั้นก็จะถูกผลของศาสตร์เต๋าทันที
ส่วนที่เฉินซีทำสำเร็จเป็นเพราะฉวยโอกาสจังหวะที่หลงเจิ้นเป่ยชะงักไป
และเท่าที่เขารู้ หลังจากหลงเจิ้นเป่ยสังหารชายร่างผอมด้วยความโกรธไปแล้ว หลงเจิ้นเป่ยคงได้รับคำชมจากทุกคน กลายเป็นจุดสนใจไปเป็นแน่แท้ ดังนั้นการกระทำของเขาจึงไม่นับว่าเป็นการทำร้ายหลงเจิ้นเป่ย แต่มันกลับมอบโอกาสให้อีกฝ่ายได้สำแดงพลังด้วยซ้ำ ดังนั้นหลงเจิ้นเป่ยจึงควรจะดีใจ
ทว่าที่เฉินซีไม่รู้คือตอนนี้หลงเจิ้นเป่ยกำลังดื่มสุราด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่สบายใจที่ตนเองหลุดการควบคุมไปเช่นนั้น
เฉินซีเดินไปครุ่นคิดไป ไม่รู้เลยว่าเดินมาถึงเขตวุ่นวาย เสียงตะโกนดังลั่นฟ้า ผู้บ่มเพาะทั้งหลายกำลังขายของโบราณ ของแปลกประหลาด และสมบัติพิเศษอยู่
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นตลาดแลกเปลี่ยนที่ผู้บ่มเพาะชอบมาเยี่ยมเยือน เพราะบางครั้งก็มีวัสดุและสมบัติพิเศษบางชิ้นที่ตนเองไม่สามารถใช้ได้ แต่สามารถนำมาขายแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ที่นี่
“เห็ดเก้าใบจากเขาเศียรมังกรแลกกับโลหะจิตน้ำแข็งทมิฬเท่านั้น!”
“แท่นวางอายุนับศตวรรษที่เก็บสมบัติล้ำค่าจากทั่วโลก ราคายุติธรรมไม่มีกลโกงใด สหายเต๋าต้องการสิ่งใดโปรดเข้ามาดูอย่ารีรอ โอกาสดีไม่รอใคร”
“พวกผู้ชายไม่ต้องสน สุภาพสตรีทั้งหลายโปรดหยุดฝีเท้าก่อน บรรพบุรุษของข้าน้อยส่งต่อผงหอมจิตพยัคฆ์ที่ทำให้ท่านคงความเยาว์วัยและความงดงามเอาไว้ได้ เหลือเพียงขวดนี้ขวดเดียวเท่านั้น ใครเสนอราคาสูงกว่าได้ไป! แทนที่จะเอาแต่อยากได้อยู่ในใจ ลงมือกระทำเสียเลยดีกว่า!”
ทันทีที่เข้ามาในเขตนี้ เสียงเอ็ดตะโรก็ดังตีหน้า ดูคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
เฉินซีสังเกตว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยร้านขายของ ทุกร้านมีสมบัติมากมายที่ปลดปล่อยปราณมงคลออกมา ปลดปล่อยแสงศักดิ์สิทธิ์หลากสีขึ้นฟ้า ล่องลอยอยู่รอบสมบัติทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เจ้าอยากได้ล้วนอยู่ที่นี่ ทำเอาตาพร่าไปหมด
ทั้งหมดนี้ทำให้เฉินซีสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินในถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวมให้เลือกดูชมนับตั้งแต่เข้ามาในแดนภวังค์ทมิฬ และเมื่อลองเดินดูไปเรื่อย ๆ มันก็ทำให้หูตากว้างขึ้น เพราะเขาได้พบเห็นสิ่งของในตลาดที่ไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินมาก่อนมากมายนัก
“คิดว่าจะหลอกใครกัน? กล้าบอกว่าขยะชิ้นนี้คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์โบราณ เตาหลอมสวรรค์อย่างนั้นหรือ? แล้วยังอยากแลกกับของสมบัติกึ่งเซียนเสียด้วย? ใจจืดใจดำเสียจริง!” จังหวะที่เฉินซีผ่านร้านหนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงดังลั่นออกมา ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยุดฝีเท้าทันทีและรู้สึกสนใจขึ้นมา เพราะเท่าที่เขารู้ เตาหลอมสวรรค์นับเป็นหนึ่งในสมบัติเซียนขึ้นชื่อที่สุดในยุคบรรพกาลเลยทีเดียว
เมื่อเฉินซีเดินเข้าไป เขาก็สังเกตเห็นว่ามันเป็นร้านที่มีของเก่าวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ทุกชิ้นล้วนดูมีอายุ บ้างกระทั่งปลดปล่อยพลังผันผวนน่าตกใจออกมา อีกทั้งเตาหลอมสีทองแดงเกล็ดสนิมชิ้นนั้นยังถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
เจ้าของร้านคือชายชราร่างผอม เขาหัวเราะกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าต้องเข้าใจว่าของยิ่งเก่ายิ่งคืนสู่ความเรียบง่าย อย่างที่เขาว่า เต๋าคือธรรมชาติ เจ้านี่ก็เป็นเหมือนอย่างที่เขาว่านั่นแหละ”
“หึ! ตาแก่ ข้าว่าเจ้าน่ะดูเหมือนพวกหลอกลวงมากกว่า!” ผู้บ่มเพาะหนุ่มเอยเสียงเคือง
“เอาล่ะ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นอำนาจของมันก็แล้วกัน” ชายชราร่างผอมไม่ได้โกรธ แต่กลับเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ ก่อนจะสร้างผนึกขึ้นในมือ จากนั้นก็ชี้ไปที่เต่าทองแดงนั่นแล้วตะโกนเสียงดังว่า “จงผงาด!”
ทันใดนั้นห้วงอากาศก็สั่นสะเทือน ก่อนจะสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับเสียงดังลั่น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลื่นพลังรุนแรงและถูกเตาหลอมทองแดงดูดไป อีกทั้งยังเห็นได้ชัดเจนว่าภายในเตาหลอมเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่กลั่นชิ้นส่วนพวกอากาศนั้นจนกลายเป็นของโปร่งแสงชิ้นหนึ่งซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายน่าผหวาออกมา
ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เกิดเสียงครึกโครมครั้งใหญ่ เรียกทุกคนให้เดินเข้ามาดู
“นี่คือ… เตาหลอมสวรรค์หรือ?” มีคนร้องขึ้นด้วยความตกใจ และบางคนถึงขนาดสะดุ้ง ตกตะลึงเป็นยิ่งนัก
“เป็นสมบัติเซียนจากยุคบรรพกาลจริงหรือ? ตามตำนานเล่าไว้ว่า เตาหลอมนี้สามารถกลั่นฟ้ากลั่นอากาศ หากศัตรูถูกดูดเข้าไปแล้ว ก็จะถูกกลั่นจนเหลือแต่เถ้า หายไปไม่เหลือร่องรอย” คนหนึ่งร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“ไม่หรอก มันคงเป็นเพียงแค่ของลอกเลียนแบบที่พังแล้ว ไม่ใช่เตาหลอมสวรรค์ของจริงหรอก ของศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นหายไปไม่เหลือร่องรอยไปพร้อมกับพวกเทพหลังจากสามภพถูกก่อตั้งขึ้นไปนานแล้ว จะมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อีกคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสงสัยไม่อยากเชื่อ
กล่าวกันว่าเตาหลอมสวรรค์สามารถกลั่นจักรวาล หลอมละลายทุกสิ่งในใต้หล้าได้ เคยเป็นสมบัติของเทพฝีมือกล้าแกร่งสะท้านฟ้าดิน ถึงขนาดที่แกร่งกว่าสมบัติอมตะของแท้เสียอีก! และเมื่อถูกดูดเข้าไปในเตาหลอมแล้วก็ไม่อาจมีสิ่งใดเล็ดลอดออกมาได้
ชื่ออาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่โด่งดังเมื่อครั้งบรรพกาลมีชื่อเสียงดังไกลมาก อาจกล่าวได้ว่าดังไปทั้งสามภพพอ ๆ กับตราปราบพยศสวรรค์ ธงไร้เกณฑ์ เจดีย์ฟ้าดินแห่งใต้หล้า ซึ่งร่ำลือกันว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัวที่สุดทีเดียว
ในหน้าประวัติศาสตร์เคยมีผู้ยิ่งใหญ่หลายคนพยายามกลั่นสมบัติชิ้นนี้ขึ้นมาใหม่ แต่น่าเสียดายที่แม้จะมีพละกำลังสูงส่ง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นแค่ของลอกเลียนแบบ ไม่อาจเทียบเคียงอำนาจของเตาหลอมสวรรค์ที่แท้จริงได้
“น่าเสียดายที่เป็นแค่ของปลอมชำรุดชิ้นหนึ่งเท่านั้น” คนพูดหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่เตาหลอมสวรรค์ของแท้ แต่ก็มีอำนาจไม่ด้อยไปกว่าสมบัติกึ่งอมตะทีเดียว อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ได้หลากหลาย สามารถกลั่นพลังมิติได้ เมื่อเจ้าบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีก็จะยังผลวิเศษเมื่อเจ้าใช้ทำความเข้าใจมหาเต๋าแห่งมิติ นับเป็นสมบัติชั้นสูงในร้านของข้าทีเดียว ไปอาจมีชิ้นใดมาเทียบเคียงได้อีก” ชายชราร่างผอมพูดไปยิ้มไป สะบัดมือครั้งเดียวก็เก็บเตาหลอมสวรรค์ไปอีกครั้ง
กลั่นพลังมิติ?
ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีว่านี่เป็นของปลอมที่ชำรุดชิ้นหนึ่ง แต่ก็ยังทำให้ผู้บ่มเพาะหลายคนมีความคิดอยากได้ พากันถามถึงราคาอยากจะซื้อไว้เป็นของตน
พริบตาเดียวก็พากันเสนอราคาจนสูงลิบ
เดิมทีเฉินซีก็ค่อนข้างสนใจ แต่พอได้ยินราคาของเตาหลอมสวรรค์ปลอมชิ้นนี้ ที่สามารถเทียบได้กับสมบัติกึ่งอมตะถึงสองชิ้น เขาก็ไม่คิดอยากซื้อมันอีก
แม้ว่าจะเป็นสมบัติดี แต่ราคาก็สูงเกินไป เขาได้แต่ยอมแพ้ไปเท่านั้น
ส่วนในใจเองก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายสักเท่าไหร่ เพราะพอใช้เนตรเทวะแห่งความจริงตรวจดูแล้ว ชายหนุ่มก็เห็นว่าของที่ใช้หลอมมันขึ้นมาเป็นของหายากจริง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ใจเขาเต้นได้ ฉะนั้นถึงซื้อมาได้ก็คงยากที่จะทำให้มันกลายเป็นเตาหลอมสวรรค์ของแท้
คงอาจจะเป็นอย่างที่เจ้าของร้านว่า สมบัติชิ้นนี้ใช้กลั่นพลังมิติ มีผลเพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีความร้ายแรงอย่างเช่นเตาหลอมสวรรค์ของแท้
แต่ถึงอย่างไร ความล้ำลึกในการที่สามารถกลั่นพลังมิติได้ก็นับว่าคู่ควรที่จะเทียบได้กับสมบัติกึ่งอมตะสองชิ้น ด้วยอย่างไรพลังมิติก็เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดสำหรับผู้บ่มเพาะทั้งหลายอยู่แล้ว
แม้เฉินซียอมแพ้แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นยอมแพ้ด้วยเช่นกัน การเสนอราคายิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ราคาเตาหลอมสวรรค์ปลอมกลับสูงขึ้นอีก ถึงขนาดที่สูงเกิดคาดไปแล้ว
ไม่มีใครคิดเลย ว่าถึงแม้มันจะไม่ใช่การประมูลราคา แต่ราคาที่ถูกเสนอมากลับดึงความสนใจทุกคนได้ ทำให้การแข่งขันยิ่งดุเดือดขึ้น
“ข้าแลกกับสมบัติกึ่งอมตะสามชิ้น! หากใครกล้าสู้ราคานี้ เช่นนั้นข้าเหวินต้าวหราน ก็จะยื่นให้ด้วยสองมือนี้เลย!” เป็นตอนนั้นเอง ที่น้ำเสียงกระจ่างสายหนึ่งดังขึ้น ก่อนตามมาด้วยร่างสูงของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งในชุดคลุม ที่เดินก้าวใหญ่แหวกฝูงชนเข้ามา
ชายหนุ่มผู้นี้มีนัยน์ตาสุกสกาวดั่งดวงดาว ใบหน้าขาวดั่งหยก จมูกมีสันโด่งตรง ปลดปล่อยกลิ่นอายพุ่งขึ้นสูงถึงสวรรค์ทั้งเก้า เดินเข้ามาราวกับองค์ชายผู้มีอำนาจกล้าแกร่ง
“เหวินต้าวหราน! ผู้บ่มเพาะกระบี่จากหนึ่งในสิบนิกายเซียน หอกระบี่สยบดวงใจนี่นา!” มีคนร้องขึ้นเสียงตกใจด้วยจำชายหนุ่มในชุดคลุมได้
คนอื่นเองก็รู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาเช่นกัน เพราะไม่คิดว่าตัวตนสูงส่งเช่นเหวินต้าวหรานจะมาเดินดูร้านค้าข้างถนนเช่นนี้ได้ ซึ่งก็นับว่าคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
หอกระบี่สยบดวงใจ? เฉินซีชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนึกถึงซางเชวี่ยแห่งตระกูลซางที่เข้าร่วมกับหอกระบี่สยบดวงใจในสมรภูมิบรรพกาลขึ้นมาได้