บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 642 ความผันผวนที่กลืนกินไปทั้งเมือง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 642 ความผันผวนที่กลืนกินไปทั้งเมือง

บทที่ 642 ความผันผวนที่กลืนกินไปทั้งเมือง

ณ ตอนนี้ เฉินซีก็รู้แล้ว ว่ามีการแบ่งความแข็งแกร่งระหว่างศิษย์ขอบเขตสถิตกายาของขุมพลังต่าง ๆ ในแดนภวังค์ทมิฬ

หากยึดตามเกณฑ์นี้ พวกเขาสามารถแบ่งออกเป็นสี่ระดับโดยคร่าว ๆ ซึ่งได้แก่ ระดับธรรมดา ระดับสูง ระดับสูงสุด และระดับสุดยอดในตำนาน!

ในแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด เกือบแทบทั้งหมดของผู้บ่มเพาะที่ขอบเขตสถิตกายา สามารถพิจารณาได้ว่าอยู่ในระดับธรรมดาเท่านั้น ซึ่งบางทีคนเหล่านี้อาจประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในสายตาของผู้คนไปทั่วแล้ว แต่ท่ามกลางผู้ที่ได้รับการบ่มเพาะแบบเดียวกัน พวกเขาถูกจำกัดด้วยศักยภาพและพรสวรรค์ตามธรรมชาติของพวกเขาเอง ทำให้พวกเขาดูธรรมดามาก

ตัวอย่างเช่น ผู้บ่มเพาะเหล่านี้มักจะเข้าใจความลึกล้ำของมหาเต๋าน้อยกว่าสามชนิด ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะในเต๋ารู้แจ้งของพวกเขาเหล่านี้ ยังคงอยู่ที่รอบ ๆ ของขอบเขตเริ่มต้น ซึ่งบางทีพวกเขาอาจดูถูกผู้บ่มเพาะทั้งหมดที่มีฐานบ่มเพาะต่ำกว่าขอบเขตสถิตกายาได้ แต่ในหมู่ผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกัน พลังต่อสู้ของพวกเขาถือได้ว่าธรรมดาเท่านั้น

ขณะที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับสูง สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นตัวตนที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่โดดเด่น และมหาเต๋าที่พวกเขาหยั่งถึงนั้นก็อยู่ที่สามถึงสิบชนิด นอกจากนี้ ความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของพวกเขา ก็อยู่ที่ราว ๆ ขอบเขตเริ่มต้นและขอบเขตขั้นสูง

ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาประเภทนี้ ถือได้ว่าเป็นบุคคลชั้นนำในบรรดาผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกัน และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาส่วนใหญ่ต่างมาจากขุมพลังที่ไม่ธรรมดา เช่นสิบนิกายเซียนและหกนิกายอสูรอันยิ่งใหญ่

เนื่องจากถูกจำกัดด้วยทรัพยากรและทุนทรัพย์ ขุมพลังทั่วไปจึงไม่สามารถสรรหาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาได้อย่างเต็มที่

ยกตัวอย่างเช่น ‘ศิษย์พี่ใหญ่สยง’ ที่พ่ายแพ้ให้กับเฉินซีบนยอดเขาจรัสเทวะ หรือ ‘ศิษย์พี่เนี่ย’ กับบรรดาคนอื่น ๆ ที่ตั้งใจจะยึดที่พำนักของเฉินซี ก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลระดับ ๆ ต้นในขอบเขตสถิตกายา

แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเฉินซี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ ในทางกลับกัน หากพวกเขาอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬ ความแข็งแกร่งที่มีของพวกเขาก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาส่วนใหญ่ได้

เหตุผลนั้นง่ายมาก นิกายกระบี่เก้าเรืองรองเป็นหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ซึ่งสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ทรัพยากรที่ซ่อนอยู่และทุนทรัพย์ของมันนั้นมหาศาลถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว ดังนั้น การที่ศิษย์เหล่านี้สามารถโดดเด่นท่ามกลางผู้บ่มเพาะนับไม่ถ้วน และกลายเป็นศิษย์ชั้นยอดแห่งยอดเขาจรัสเทวะ จึงเป็นการแสดงถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาในตัวเอง

ในทางกลับกัน ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาระดับสูงสุด อาจถือได้ว่าเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางผู้บ่มเพาะในขอบเขตเดียวกัน และพวกเขาต่างกู่ร้องโดยความภาคภูมิใจไปทั่วฟ้าดิน ในขณะที่ชื่อของพวกเขาก็สั่นสะเทือนไปทั่วโลก พวกเขาล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งเป็นดั่งขนปักษาอมตะเขากิเลนที่มีเพียงหนึ่งในล้าน!

บุคคลดังกล่าวเกือบทั้งหมดต่างหยั่งถึงมหาเต๋ามากกว่าสิบชนิด ส่วนความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของพวกเขา ก็อยู่ที่ราว ๆ ขอบเขตขั้นสูงหรือเหนือกว่า และมีหลายคนที่บรรลุถึงขอบเขตสมบูรณ์

นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาต่างมีพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น อวิ๋นเยี่ย ผู้ครอบครองเนตรทองคำขาวของจักรพรรดิพิสุทธ์ หลงเจิ้นเป่ย ผู้ครอบครองเนตรวิญญาณมังกรอสรพิษ ลั่วเชี่ยนหรง ผู้ครอบครองเส้นชีพจรวิญญาณโบราณและอื่น ๆ เป็นต้น พวกเขาล้วนคือการดำรงอยู่ระดับสูงสุด

สำหรับผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับสุดยอดในตำนานนั้น พวกเขาหาได้ยากยิ่ง และเป็นเรื่องยากที่ตัวตนดังกล่าวจะปรากฏออกมาท่ามกลางคนนับสิบล้าน และบุคคลเช่นนี้แทบไม่มีใครที่จะสามารถเทียบได้ในขอบเขตเดียวกัน!

แม้นว่าแดนภวังค์ทมิฬจะได้รับการกล่าวขาน ว่ามีเผ่าพันธุ์นับล้านดุจต้นไม้ในป่าใหญ่ ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายที่เหมือนมวลเมฆบนท้องฟ้า และอัจฉริยะมากกว่าปลาหลี่ฮื้อในแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาในระดับสุดยอดนั้นหาได้ยากยิ่ง อีกทั้งยังเป็นการยากที่จะมีใครปรากฏตัวในรอบหนึ่งพันปี

ในประวัติศาสตร์ ตราบเท่าที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาที่บรรลุระดับสุดยอดไม่ถึงวาระก่อนกำหนด ผู้บ่มเพาะคนนั้นอาจเติบโตเป็นจ้าวเหนือหัวหรือกลายเป็นเซียนสวรรค์ และเขาจะยืนหยัดอย่างภาคภูมิในภพสวรรค์ ในขณะที่มีชื่อเสียงเลืองลื่อไปทั่วโลกและมันวิเศษเป็นอย่างยิ่ง

ตัวตนเช่นนี้อาจถือได้ว่าเป็นที่โปรดปรานของเหล่าทวยเทพและเป็นอัจฉริยะแห่งฟ้าดิน มหาเต๋าที่พวกเขาหยั่งถึงนั้นมีมากสิบชนิด และทุกชนิด ๆ ล้วนบรรลุขอบเขตสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาสามารถใช้พลังต่อสู้เพิ่มทวีได้ถึงสิบเท่า!

พลังต่อสู้สิบเท่า! ตัวเลขนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกตกตะลึง

นี่คือความแตกต่างของความแข็งแกร่งภายในขอบเขตสถิตกายาระดับทั่วไป ระดับสูง ระดับสูงสุด… ทุก ๆ ระดับเป็นดั่งภูเขาที่ยากจะบรรลุ และมันดึงดูดสิ่งมีชีวิตนับพันนับหมื่นให้ปีนป่ายขึ้นไป

แน่นอนว่ามีวิธีการที่ง่ายกว่านั้นในการตัดสินว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาอยู่ในระดับใด และนั่นคือ พลังต่อสู้ที่ผู้บ่มเพาะสามารถใช้ออกมาได้

ผู้ที่สามารถใช้พลังต่อสู้ต่ำกว่าสามเท่า ถือได้ว่าเป็นระดับธรรมดา

ผู้ที่มีพลังต่อสู้สามถึงห้าเท่า ถือได้ว่าเป็นระดับสูง

ผู้ที่มีพลังต่อสู้ห้าถึงเก้าเท่า ถือว่าเป็นระดับสูงสุด

ในขณะที่ผู้ที่สามารถใช้พลังต่อสู้ได้ถึงสิบเท่าหรือมากกว่า ถือได้ว่าอยู่ในระดับสุดยอด!

ผู้ขัดเกลากายาก็คล้ายกัน แต่ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้จะขึ้นอยู่กับจำนวนของ ‘ร่างจำแลงเซียนสวรรค์’ ในขณะที่ส่วนอื่น ๆ ยังเหมือนเดิมทุกประการ

แน่นอนว่า เป็นที่ทราบกันทั่วไป ว่าความแข็งแกร่งของผู้ขัดเกลากายานั้นเหนือกว่าความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะปราณแท้ และนี่อาจถือเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน

แต่ความแตกต่างนี้ยังคลุมเครือมาก และมันก็เป็นเช่นนี้เอง ท้ายที่สุดแล้ว สัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครเทียบได้บางคน มีศาสตร์เต๋าที่น่าเกรงขามและสมบัติวิเศษมากมาย ทำให้พวกมันสามารถก้าวข้ามขอบเขตในระหว่างการต่อสู้จริงได้

ยกตัวอย่างเช่น แม้เฉินซีจะยังไม่เข้าใจถึงความสามารถในการเพิ่มพลังต่อสู้ของเขา แต่โดยอาศัยศาสตร์เต๋าระดับสูงสุด เนตรเทวะแห่งความจริง ปีกกำราบผกผัน และพลังอิทธิฤทธิ์อื่น ๆ ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงพอที่จะเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาระดับสูงได้

แต่ตัวประหลาดอย่างเขานั้นหาได้ยากมาก และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะประเมินไปตามตรรกะ เพราะมาตรฐานต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลก ไม่อาจใช้กับชายหนุ่มได้อย่างสิ้นเชิง

“ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าอาจสูงกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาระดับสูงเล็กน้อย แต่ยังห่างชั้นจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาระดับสูงสุด แต่มหาเต๋าที่ข้ามีอยู่ก็บรรลุที่ขอบเขตขั้นสูงแล้ว และพลังต่อสู้ของข้าจะทวีคูณเมื่อข้าบรรลุความสมบูรณ์แบบในพวกมัน ในเวลานั้น ตราบเท่าที่ข้าสามารถใช้พลังต่อสู้ได้ถึงสองเท่า ความแข็งแกร่งของข้าอาจเพียงพอที่จะเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาระดับสูงสุดได้…” หลังจากที่ไล่ดูรายชื่อซึ่งอันเวยมอบให้เขา เฉินซีก็วิเคราะห์ความแข็งแกร่งที่ตนเองมีอย่างลึกซึ้ง และหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

มีตัวตนที่ทรงพลังมากเกินไปที่มาถึงเมืองเหมันต์บรรพกาลในขณะนี้ และพวกเขาล้วนมีชื่อเสียงในโลกเมื่อนานมาแล้ว ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงอย่างไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งถ้าเขาเข้าไปในเหวเงาทมิฬ คนเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของชายหนุ่ม ดังนั้นเฉินซีจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องปฏิบัติต่อคนพวกนี้อย่างระมัดระวัง และต้องวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของตัวเองอย่างใจเย็น เพื่อเตรียมการที่จะเกิดความขัดแย้งได้

“ถ้าหม้อต้มใบจิ๋วทำสำเร็จ ข้าสงสัยว่าเศษเสี้ยววิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬจะให้ประโยชน์อะไรแก่ข้าบ้าง…”

เฉินซีจ้องไปที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ข้างหลังเขาและครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนที่ชายหนุ่มจะส่ายศีรษะและสลัดทิ้งความคิดที่ทำให้ไขว้เขวในใจ จากนั้นเฉินซีก็หยุดคิดเพิ่มเติมและเริ่มทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจต่อมหาเต๋าแห่งวารีอีกครั้ง

สองวันต่อมา

เมืองเหมันต์บรรพกาลเริ่มคึกคักมากขึ้น ผู้คนต่างจับกลุ่มพูดคุยไปทั่วท้องถนน ซึ่งบนถนนก็เต็มไปด้วยใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งเมืองยิ่งตึงเครียด ในขณะที่คลื่นใต้น้ำก็ก่อตัวขึ้นอย่างลับ ๆ

ยิ่งมีผู้คนมาก การแข่งขันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามีขุมพลังที่เป็นศัตรูมากมายในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ที่มาจากทั่วทุกหนทุกแห่ง ซึ่งเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า เมื่อศัตรูเผชิญหน้ากัน ดวงตาก็จะลุกเป็นไฟด้วยความเกลียดชัง ถ้าไม่ใช่เพราะเหวเงาทมิฬยังไม่ปรากฏออกมา พวกเขาคงลงมือต่อสู้กันไปนานแล้ว

สรุปแล้ว สถานการณ์ในขณะนี้รู้สึกเหมือนพายุกำลังก่อตัวขึ้น ทุกคนกำลังรอจังหวะที่เหมาะสมอย่างเงียบ ๆ และพวกเขากำลังรอการปรากฏตัวของเหวเงาทมิฬอย่างใจจดจ่อ!

“เอ๊ะ ดูนั่นสิ บุคคลที่โหดเหี้ยมที่สร้างชื่อให้กับตัวเองเมื่อนานมาแล้ว นักล่ามนุษย์มือโลหิตก็มาแล้วเช่นกัน!”

“นักล่ามนุษย์มือโลหิต เมิ่งชุนชิว? สวรรค์! ชายชราคนนี้คือวายร้ายที่มีชื่อเสียงในบัญชีดำมิใช่หรือ? เขาเป็นฆาตกรที่อำมหิตและชั่วช้ายิ่ง!”

“ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนรุ่นเก่าที่น่าเกรงขามจะถูกดึงดูดด้วยเช่นกัน”

“นับว่าโชคดีที่ยังไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนใดคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ด้วยหากเป็นเช่นนั้น การเข้าไปในเหวเงาทมิฬครั้งนี้ก็จะไร้ประโยชน์ เพราะเราจะไม่มีโอกาสได้รับแม้แต่เศษซาก!

“อย่าได้กังวล ทั้งสามภพกำลังจะเกิดกลียุค และผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดในโลกต่างกังวลถึงความปลอดภัยของตนเอง ทำให้พวกเขาเลือกที่จะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะ ประกอบกับเหวเงาทมิฬเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง ซึ่งยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ โอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น พวกเขาย่อมไม่ล้อเล่นกับชีวิตของพวกเขาอย่างแน่นอน” ถนนเส้นนั้นจอแจเป็นพิเศษ และเต็มไปด้วยเสียงของการสนทนา ซึ่งดูเหมือนเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของนิกายเซียนและนิกายอสูรที่มีตัวตนทุกประเภทอยู่รวมกัน ทำให้มันดูตื่นตาตื่นใจ

ที่ด้านหน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง เฉินซีลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และตื่นขึ้นจากการรู้แจ้งถึงเต๋า โดยในขณะที่ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเข้าใจต่อมหาเต๋าวารีที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มุมปากของเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างออกมา

ในเวลาเพียงสามวัน มหาเต๋าวารีของเขาได้ทะลวงผ่านจากระดับที่สิบไปสู่ระดับที่สิบเอ็ด และมันอยู่ห่างจากขอบเขตสมบูรณ์เพียงก้าวเดียวเท่านั้น!

นี่เป็นความก้าวหน้าที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ท้ายที่สุด เมื่อระดับสูงขึ้น การที่จะเพิ่มระดับต่อความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งก็จะยากขึ้น ผู้บ่มเพาะบางคนถึงกับอาจต้องทุ่มเทอย่างยากลำบากไปทั้งชีวิต แต่ก็ไม่มีความหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว และแม้แต่อัจฉริยะที่โดดเด่นยังต้องสะสมความเข้าใจเป็นระยะเวลานานเพื่อเพิ่มระดับความเข้าใจต่อเต๋ารู้แจ้งของพวกเขาสักครั้ง

หากข่าวความก้าวหน้าอันน่าทึ่งของเขาถูกเผยแพร่ออกไป ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนประหลาดใจ

แต่เฉินซีก็ตระหนักได้ ว่าแท้จริงแล้ว สิ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีและชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากภายในห้วงจิตสำนึกของเขา โดยปกติวัตถุศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองดูเหมือนจะเงียบสนิทไม่ไหวติง แต่จริง ๆ แล้วพวกมันกำลังเสริมความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณของเขาตลอดเวลา ทำให้ความสามารถในการเข้าใจของเฉินซีเพิ่มขึ้นพร้อมกับสิ่งนี้ และมันก็ไม่เคยหยุดเลยสักครั้ง

“ผ่านไปสามวันแล้ว ข้าสงสัยว่าหม้อต้มใบจิ๋วจะทำสำเร็จหรือไม่…”

เฉินซีมองไปที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งที่ด้านข้าง และความคาดหวังก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตอย่างช่วยไม่ได้

เขาเชื่อว่าตั้งแต่หม้อต้มใบจิ๋วตกลงที่จะเคลื่อนไหว อีกฝ่ายก็ย่อมมีความมั่นใจเพียงพอที่จะได้รับท่อนไม้ที่ไหม้เกรียม ซึ่งเกิดจากเศษเสี้ยววิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬที่เหลือทิ้งไว้

ส่วนสิ่งที่เฉินซีต้องทำตอนนี้คือรออย่างเงียบ ๆ

ในเวลาเดียวกัน เฉินซีก็สังเกตเห็น ว่าในช่วงสองวันที่เขาทำความเข้าใจในความเงียบ มีผู้บ่มเพาะที่มาเมืองเหมันต์บรรพกาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากจำนวนผู้บ่มเพาะโดยรอบ ที่กำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่หน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง

สองวันก่อน ที่นี่มีคนเพียงร้อยกว่า แต่ตอนนี้ รอบ ๆ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็งกลับเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่กำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ และพวกเขามีจำนวนเกือบพันคน

“คนเยอะขึ้นการแข่งขันก็ยิ่งเข้มข้นตามไปด้วย แต่เหวเงาทมิฬยังไม่ปรากฏออกมา หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เมืองเหมันต์บรรพกาลทั้งหมดจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน…” เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เหวเงาทมิฬทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าสงสัยนักว่าข้าจะพบกับอันตรายหรือโชคลาภแบบไหนเมื่อข้าเข้าไป?”

“รีบเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะใส่วิญญาณของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬเข้าไปในร่างของเจ้าในไม่ช้า แต่เจ้าจงจำไว้ ว่าอย่าได้คลายการป้องกันและห้ามปล่อยให้ใครก็ตามสังเกตเห็นเด็ดขาด!” ในขณะนี้ จู่ ๆ เสียงของหม้อต้มใบจิ๋วที่ปราศจากอารมณ์ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน และทำให้หัวใจของเฉินซีเต้นระรัว ก่อนที่มันจะสงบลง เขาสงบสติอารมณ์ตามคำพูดของหม้อต้มใบจิ๋ว

โอม!

ทันทีที่เสียงของหม้อต้มใบจิ๋วดังก้องออกไป ความผันผวนที่แปลกประหลาดที่เหมือนกับเสียงของธรรมชาติ ก็พลันแผ่กระจายออกมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำแข็ง และมันเหมือนกับระลอกคลื่นที่กลืนกินเมืองเหมันต์บรรพกาลทั้งหมดในทันที!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท