บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 647 กรงเล็บขนาดมหึมา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 647 กรงเล็บขนาดมหึมา

บทที่ 647 กรงเล็บขนาดมหึมา

“บัดซบ! เจ้ากล้าถีบข้า! เฉินซี เจ้าตายแน่! ตั้งแต่ข้ายังเด็กไม่มีใครถีบข้าเลยสักคน!” หลงเจิ้นเป่ยตะคอกด้วยโทสะ ในขณะที่เขาพุ่งผ่านรอยแตกอย่างรวดเร็วราวกับว่าวที่สายป่านขาด อย่างไรก็ตาม เมื่อหันกลับไปมองข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็ได้เห็นเงาดำที่ถือกระบี่ที่ส่องประกายสลัวและเย็นเฉียบอยู่ตรงหน้าตนเอง!

และที่น่าตกใจกว่านั้น เป้าหมายของเงาดำ… คือเฉินซีที่ล่าถอยไปอีกด้านหนึ่งนั่นเอง!

“หืม? มือสังหาร? หรือว่าลอบจู่โจม? เช่นนั้น… เฉินซีก็ช่วยข้าไว้?” เมื่อหลงเจิ้นเป่ยตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็ยืนอยู่อีกด้านของรอยแตกแล้ว

และหลังจากที่เจ้าตัวตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด สีหน้าของหลงเจิ้นเป่ยก็มืดหม่นลงทันที ในขณะที่คิ้วก็ขมวดเข้าหากันแน่น เพราะเขารู้สึกละอายใจและกังวลต่อเฉินซี ทำให้เจ้าตัวได้แต่จ้องมองอย่างว่างเปล่าโดยไม่รู้ว่าจะกล่าวเช่นไรดี

“อันใดนะ! มีคนลอบโจมตีเฉินซีหรือ?” อันเวยที่รออยู่อีกด้านหนึ่งของรอยแยกเมื่อนานมาแล้วอุทานด้วยความตกใจ และรูปลักษณ์ที่งดงามของนาง ก็เผยให้เห็นท่าทางที่โกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน

“มีคนลอบโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวจริง ๆ และผู้ลอบโจมตีก็มีฝีมือที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก” สีหน้าของหลงเจิ้นเป่ยกลายเป็นจริงจัง จากนั้นก็เล่าสิ่งที่เห็นก่อนหน้าให้หญิงสาวฟังอย่างละเอียด

“บัดซบ! ใครกันที่บังอาจลงมือกับคนจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา!?” แม้ว่าอันเวยจะมีนิสัยเฉยชา แต่ความโกรธที่ไร้ขอบเขตในขณะนี้ก็ปลุกเร้านางอย่างช่วยไม่ได้ คิ้วที่งดงามของหญิงสาวขมวดเข้าหากันแน่น ในขณะที่ตัวนางก็เดือดดาลเต็มที่

“เฉินซีช่วยชีวิตข้าไว้ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ข้าจะแก้แค้นให้เขา และไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม ข้าจะกวาดล้างครอบครัวของพวกมันให้หมด!” หลงเจิ้นเป่ยกัดฟันแน่น ทำให้เสียงของเขาดูเหมือนลอดออกมาจากไรฟัน ทั้งเย็นยะเยือก เสียดกระดูก และเต็มไปด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว!

เนื่องจากเขาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า หากเฉินซีถีบเขาออกมาช้ากว่านี้ ตัวเขาจะต้องประสบภัยพิบัติอย่างแน่นอน!

ส่วนเหตุผลนั้นก็ง่ายดายมาก แม้ว่าเป้าหมายของการโจมตีจะไม่ใช่เขา แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ก็ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน และระหว่างรอยแยกนั้น มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่หลงเจิ้นเป่ยจะถูกแรงดันที่ปล่อยออกมาจากการโคจรของดวงดาวรอบ ๆ บดขยี้จนตาย!

“ตอนนี้เราทำได้เพียงแค่นี้” หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ อันเวยก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ และรู้สึกกังวลต่อชะตากรรมของเฉินซี เพราะนางไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะประสบเหตุร้ายก่อนที่พวกนางจะเข้าสู่เหวเงาทมิฬด้วยซ้ำ ซึ่งนี่นับเป็นผลกระทบครั้งใหญ่ต่อกลุ่มของนาง

“ไปกันเถอะ ศิษย์น้องเฉินซีมีโชคมากมายนัก เขาคงไม่ถึงฆาตเร็ว ๆ นี้หรอก พวกเราควรมุ่งหน้าไปยังเหวเงาทมิฬก่อน และตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ เราก็น่าจะมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้ง” หลงเจิ้นเป่ยตบบ่าของหญิงสาวเพื่อแสดงความปลอบใจ และนับจากนี้เป็นต้นไป เฉินซีก็ไม่ใช่คนที่ไม่สำคัญในหัวใจของเขาอีกต่อไป แต่เป็นสหายผู้คู่ควรแก่การที่ชายหนุ่มจะฝากชีวิตได้!

หากอีกฝ่ายต้องประสบกับคราวเคราะห์จนถึงแก่ชีวิต เขาจะทำลายล้างทุกคนที่ทำร้ายเฉินซีโดยไม่เว้นแม้แต่คนเดียว!

ซึ่งนี่เป็นดั่งคำปฏิญาณรูปแบบหนึ่ง และแม้ว่าเขาจะไม่ได้กล่าวออกมาดัง ๆ แต่มันก็ประทับอยู่ในใจของเขาแล้ว

“เจ้าล้มเหลวหรือ?” ฉิวจวินจากนิกายอสูรวสันต์ยมโลกเว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวด้วยความประหลาดใจต่อว่า “นั่นเกิดขึ้นได้ยากนัก หากข่าวนี้แพร่ออกไป เฉินซีอาจโด่งดังเพราะสิ่งนี้ก็เป็นได้”

เขามีรูปลักษณ์ที่ผอมแห้ง ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นคนธรรมดาเท่านั้น ทว่าคนคนนี้กลับให้กลิ่นอายดั่งขุนเขาที่ไม่อาจเคลื่อนย้าย มันมั่นคง โดดเดี่ยว และสูงตระหง่าน นอกจากนี้ ปราณอสูรบริสุทธิ์ก็แผ่กำจายอยู่รอบตัวเขา ทำให้ตัวคนมีกลิ่นอายที่ลึกลับยิ่งขึ้น

มือสังหารสวมหน้ากากยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนเงา หน้ากากที่มีสีดำสนิทของมือสังหารและดวงตาสีม่วงที่ชั่วร้ายคู่นั้น ทำให้ผู้พบเห็นต้องรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ

ฉิวจวินรู้จักมือสังหารคนนี้เป็นอย่างดี และแม้ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของคนผู้นี้ แต่เขาก็มีฉายาที่เลื่องลือ …รัตติกาล

รัตติกาล …ตัวแทนของความลึกลับ ความไม่แน่นอน และเข้าใจยาก เช่นเดียวกับเอกลักษณ์ในฐานะมือสังหารของคนผู้นี้ ที่มาและไปอย่างไร้ร่องรอยในขณะที่เดินอยู่ในความมืด เขาสังหารเป้าหมายทุกรายด้วยการโจมตีเพียงคราเดียวและไม่เคยล้มเหลว!

ในบรรดาผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาในแดนภวังค์ทมิฬทั้งหมด เคล็ดวิชาลอบสังหารของรัตติกาลสามารถติดอันดับหนึ่งในสิบ และเขาถือเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลก!

อย่างไรก็ตาม แม้รัตติกาลจะเดินอยู่ท่ามกลางความมืด แต่เขากลับไม่กระหายเลือดและโหดเหี้ยม นอกจากเป้าหมายแล้ว เขาก็ไม่เคยทำร้ายผู้ใด แม้จะมีคนตราหน้าและก่นด่าสาปแช่ง แต่นั่นก็ไม่อาจดึงจิตสังหารของมือสังหารผู้นี้ออกมาได้เลยแม้แต่น้อย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อรัตติกาลไม่ได้ทำภารกิจลอบสังหาร เขาก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพิษไม่มีภัย และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใครเป็นอันขาด

แต่ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนเช่นนี้น่ากลัวเป็นที่สุด

ทว่าเมื่อรัตติกาลตัดสินใจที่จะลอบสังหารเฉินซี แม้แต่ฉิวจวินก็ยังตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาไม่ได้สั่งให้อีกฝ่ายทำเช่นนี้อย่างแน่นอน

ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับเขาก็คือ การลอบสังหารของรัตติกาลประสบกับความล้มเหลว!

เมื่อได้ทราบข่าว ปฏิกิริยาแรกของฉิวจวินคือมันเป็นไปไม่ได้! แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้เห็นอีกฝ่ายด้วยสองตาของตนเอง แต่ฉิวจวินก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

มดปลวกตัวจ้อยจากราชวงศ์ระดับกลางของโลกใบเล็ก ศิษย์ชั้นยอดที่เพิ่งเข้าร่วมนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้ไม่ถึงครึ่งปี แต่กลับทำให้รัตติกาลซึ่งเป็นมือสังหารชั้นนำที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในโลกมาเนิ่นนาน ต้องประสบกับความล้มเหลวอย่างนั้นหรือ?

และปฏิกิริยาของรัตติกาลก็พิสูจน์ให้เห็นว่าข่าวนี้เป็นความจริง!

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเม้มปากแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงตัดสินใจลอบสังหารเฉินซีก่อนหน้านี้? หรือว่าเจ้าสังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง?”

“สัญชาตญาณ” รัตติกาลให้ความสำคัญกับวาจาของตนเองราวกับทองคำ และเจ้าตัวก็กล่าวเพียงคำเดียวเท่านั้น

“สัญชาตญาณ?” ฉิวจวินรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะให้คำตอบเช่นนี้ และมันก็เหนือความคาดหมายของเขาอย่างสิ้นเชิง

ถึงขนาดที่เขาคาดเดาว่า เป็นเพราะรัตติกาลรู้ว่าอีกฝ่ายคือคนที่ฉิวจวินต้องการจัดการ ดังนั้นมือสังหารผู้นี้จึงต้องการช่วยและเป็นฝ่ายเปิดฉากลอบโจมตี

เมื่อมองดูถึงตอนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังกระทำตามอำเภอใจ และเหตุผลที่รัตติกาลทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะสัญชาตญาณเท่านั้น!

ไม่ว่าจะเค้นสมองหาคำตอบสักเพียงใด แต่ฉิวจวินก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่า รัตติกาลจะลงมือกับเฉินซีเพียงเพราะเหตุนี้จริงหรือ?

“เขาจะเป็นอุปสรรคต่อเป้าหมายของเรา” น้ำเสียงของรัตติกาลนั้นเย็นชา ไม่แยแส และไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ

“เป็นอุปสรรคต่อเรา?” ดวงตาของชายหนุ่มพลันหรี่ลง และเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวออกมานั้นหมายถึงอะไร “เจ้ากำลังบอกว่าสัญชาตญาณของเจ้าบอกว่าเขาจะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เราต้องการจะทำอย่างนั้นหรือ?”

ผู้เป็นมือสังหารพยักหน้า

ชายหนุ่มเงียบไปทันทีในขณะที่ครุ่นคิด เขารู้ว่ามีหลายสิ่งที่ลึกลับและยากจะหยั่งรู้เกี่ยวกับรัตติกาล และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่เคยประสบกับความล้มเหลว

แม้ว่าสิ่งที่รัตติกาลกล่าวจะดูไร้สาระ แต่เขาก็เริ่มจะเชื่อโดยไม่ทราบสาเหตุ

หลังจากนั้นไม่นาน ฉิวจวินก็เริ่มหัวเราะ ในขณะที่หัวคิ้วของเขาก็ผ่อนคลายลง และดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขอย่างมาก ถึงขนาดกล่าวว่า “วิธีนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้ากำลังกังวลว่าจะเราหาเขาเจอได้อย่างไรเมื่อเข้าไปในเหวเงาทมิฬ ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ ข้าจะฉวยโอกาสนี้เพื่อจับเขาให้ได้!”

“เพื่อเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบหรือ?” รัตติกาลซึ่งเงียบอยู่เสมอและให้คุณค่ากับคำพูดดั่งทองคำ ตอนนี้เขากลับโพล่งถามขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ใช่” ฉิวจวินชำเลืองมองที่รัตติกาล เขารู้ดีว่าเรื่องดังกล่าวไม่อาจปกปิดได้ เพราะอีกฝ่ายก็มาจากนิกายอสูรวสันต์ยมโลกเช่นเดียวกับเขา

แต่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือ รัตติกาลเป็นคนที่เชื่อฟังคำสั่งของประมุขนิกายเท่านั้น เขาเป็นเหมือนไพ่ตายลับ และแม้แต่ผู้อาวุโสของนิกายหลายคนก็ยังไม่ทราบว่ารัตติกาลนั้นเป็นศิษย์ในนิกายของพวกเขา

“เขาแข็งแกร่งมาก” รัตติกาลนิ่งเงียบไปนาน ก่อนที่จะกล่าวอีกสองสามคำ ซึ่งดูกะทันหันมาก

“เจ้าอยู่ในเงามืดในขณะที่ข้าอยู่กลางแจ้ง เราจะทำสำเร็จได้หรือไม่ หากเราร่วมมือกัน?” ฉิวจวินตกตะลึงและรู้สึกถึงความผิดปกติในใจ และเพราะปฏิกิริยาที่ผิดปกติของรัตติกาลนี่เองที่ทำให้เขาเริ่มสนใจเฉินซีอย่างจริงจัง

“ได้” รัตติกาลพยักหน้า

“เอาล่ะ ข้าแค่หวังว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะไม่หลงทางในทะเลเมฆและติดกับดักจนตายเสียก่อน มิฉะนั้น มันก็คงจะน่าเสียดายเกินไป” ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก เนื่องจากเขากังวลมากว่าจะได้รับคำตอบเชิงลบจากรัตติกาล

หลังจากนั้น ฉิวจวินก็หันกลับมาและกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ไปกันเถอะ ใครลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ และหากใครลงมือทีหลังก็จะประสบกับหายนะ คนอื่นอาจไปถึงเหวเงาทมิฬแล้วในตอนนี้…”

ฟุ่บ!

ทันทีที่กล่าวจบ รัตติกาลก็กลายเป็นเงาที่หายไปอย่างสมบูรณ์ และมิอาจเห็นร่องรอยได้อีกต่อไป

แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าอีกฝ่ายยังอยู่ใกล้ ๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะและยิ้มออกมา เพราะฉิวจวินรู้สึกว่าชีวิตของมือสังหารอย่างรัตติกาลนั้นน่าเบื่อจริง ๆ จนถึงขนาดที่สงสัยว่า จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายต้องเดินในความมืดและปกปิดตัวตนนั้นคืออะไรกันแน่?

ภายในทะเลเมฆอันไร้ขอบเขต

ดวงดาวโคจรไปรอบ ๆ ในขณะที่ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ขยับขึ้นลง ก่อให้เกิดกระแสคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าที่พัดออกไปอย่างน่าสะพรึงกลัวยิ่ง พายุแห่งเปลวเพลิงและคลื่นน้ำแข็งที่โหมกระหน่ำปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบ ในขณะที่กระแสพลังงานที่วุ่นวายซึ่งรุนแรงยิ่งกว่าลมกระโชกหลายพันเท่าก็ไหลวนอยู่เหนือท้องฟ้า ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาคงจะหมดแรงและถูกกักขังจนตายภายในทะเลเมฆไร้ขอบเขตนี้

ทว่าในสภาพแวดล้อมที่อันตรายอย่างยิ่งนี้ เฉินซีกลับทะยานไปมาดุจกระสุน ตัวคนมุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับค้นหาเส้นทางที่ปลอดภัยซึ่งอาจมีอยู่

นับว่าโชคดีที่ต้นอ่อนของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬได้หยั่งรากลงในแดนฮุ่นตุ้นของเขาแล้ว และปราณเซียนที่ปล่อยออกมาจากมันได้มอบปราณแท้ให้เขาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องกังวลว่าปราณแท้จะหมดลง

มิฉะนั้น ถ้ามีคนวนเวียนอยู่ในทะเลหมอกอย่างเขาโดยไม่รู้จบ คนผู้นั้นก็คงจะสิ้นใจในไม่ช้าก็เร็ว

“แปลกจริง แม้ว่าข้าจะมุ่งไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง แต่ที่นี่ก็เต็มไปด้วยดวงดาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ที่ขึ้นและลง อีกทั้งหมอกก็ยังหนาทึบ จนข้าไม่สามารถยืนยันทิศทางได้ และหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงจะไม่สามารถหาเส้นทางที่ปลอดภัยได้”

ทันใดนั้น เฉินซีก็หยุดการเคลื่อนไหวและมองไปรอบโดยรอบ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทะเลเมฆนี้จะกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ และมันก็เหมือนกับค่ายกลลวงตาขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งแม้ว่าเขาจะเชี่ยวชาญในการคาดเดา แต่เขาก็ไม่สามารถหาเส้นทางหลบหนีได้แม้แต่น้อย

“ไม่แปลกใจที่เหวเงาทมิฬถูกเรียกว่าเป็นสถานที่สุดอันตรายมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ทะเลเมฆแห่งนี้น่าจะสามารถกลืนกินชีวิตของผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่ได้” ชายหนุ่มพึมพำและสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเหวเงาทมิฬอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ครืนน!

บนดวงดาวที่ใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ กรงเล็บของสัตว์ร้ายที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเข้ม พลันถาโถมลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดินและตะปบเข้าหาเฉินซีอย่างดุเดือด

กรงเล็บของสัตว์ร้ายนี้มีสี่นิ้ว และทุกนิ้วก็เสมือนกับเสาขนาดใหญ่ที่สามารถค้ำยันท้องฟ้าได้ พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดที่เย็นเยียบราวกับโลหะชั้นแล้วชั้นเล่า และพวกมันก็ท่วมท้นไปด้วยแสงที่เจิดจรัส อานุภาพของกรงเล็บนี้ดั่งเทพเจ้าที่ยื่นมือออกมา ทำให้เหยื่อรู้สึกไร้พลังราวกับว่าไม่สามารถหลบหนีได้

ภายใต้อานุภาพของกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงเข้มนี้ กระแสพลังที่เชี่ยวกรากได้กระจายออกไปที่ด้านข้าง และพื้นที่ในระยะสองร้อยห้าสิบลี้ก็ถูกแช่แข็งอยู่ภายใต้กลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว

เฉินซีมองเห็นได้ราง ๆ ว่า ที่ด้านหลังกรงเล็บนั้น มีสัตว์ร้ายยักษ์กำลังชะโงกหัวที่ใหญ่โตราวกับภูเขาลูกมหึมาออกมาจากดาวดวงหนึ่ง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท