บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 649 การตายของบรรพบุรุษ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 649 การตายของบรรพบุรุษ

บทที่ 649 การตายของบรรพบุรุษ

ระเบิดสังหารเทวะ!

ศาสตร์เต๋าโดยกำเนิดที่มาจากสัตว์ร้ายหยาจื้อแห่งบรรพกาล เมื่อเคล็ดวิชานี้ถูกใช้งาน มันสามารถควบแน่นแก่นแท้ปราณวิญญาณและปราณในร่างกายทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้พลังทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!

ซึ่งแตกต่างจากพลังต่อสู้แบบทวีคูณที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาครอบครอง ด้วยหากผู้ใช้ศาสตร์เต๋านี้มีพลังต่อสู้อยู่หกเท่า ศาสตร์เต๋านี้ก็จะทำให้สามารถใช้พลังต่อสู้ได้ถึงสิบสองเท่า!

ในช่วงเวลาบรรพกาล สัตว์ร้ายหยาจื้อเคยสังหารเทพเจ้าที่แท้จริงและได้รับชื่อเสียงว่าดุร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และสิ่งที่มันพึ่งพาเพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ก็คือ ศาสตร์เต๋าที่น่าสะพรึงกลัวจนท้าทายสวรรค์ได้!

ทว่าแม้เคล็ดวิชานี้จะแข็งแกร่งจนสั่นสะเทือนโลกหล้า แต่ก็มีข้อบกพร่องอยู่มากเช่นกัน เนื่องด้วยทุกครั้งที่ใช้ออกไป มันจะเผาผลาญปราณวิญญาณ พลังงาน และแก่นแท้จนหมดสิ้น และต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูนานมาก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใช้ศาสตร์เต๋านี้ซ้ำ ๆ มันอาจทำให้ร่างกายระเบิดจากพลังงานที่รุนแรง!

แม้แต่ร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ของหยาจื้อก็ไม่อาจรอดพ้น!

ทว่าโดยปกติแล้ว มันจะไม่ใช้เคล็ดวิชานี้พร่ำเพรื่อ และศาสตร์เต๋านี้ถือเป็นไพ่ตายที่จะใช้เฉพาะเมื่อชีวิตถูกคุกคามเท่านั้น

สรุปแล้ว ระเบิดสังหารเทวะเป็นศาสตร์เต๋าที่มีทั้งข้อได้เปรียบและข้อบกพร่องที่ร้ายแรงเช่นกัน แม้ว่ามันจะใช้พลังอย่างมหาศาล แต่ก็สามารถใช้มันเป็นไพ่ตายเพื่อให้รอดพ้นจากช่วงวิกฤตได้

พรวด!

เฉินซีเริ่มผ่าศพของหยาจื้อด้วยกระบี่ของเขาโดยไม่ลังเล

ชายหนุ่มตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า หยาจื้อเลือดบริสุทธิ์นี้น่าจะมีชีวิตอยู่เกือบหมื่นปี และมันก็แข็งแกร่งจนผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปไม่สามารถเทียบมันได้ ถ้าเขาพบการดำรงอยู่เช่นนี้ในเวลาปกติ ไม่ต้องพูดถึงการชำแหละศพของมัน เขาคงจะหันหลังกลับและหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป หยาจื้อตัวนี้นอนตายเป็นศพ และไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป มันได้กลายเป็นขุมสมบัติที่ทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงจนตัวตายแทน!

ดังนั้นเมื่อสบกับโชคก้อนโตเช่นนี้ แล้วเขาจะปล่อยให้มันหลุดลอยไปได้อย่างไร?

เพื่อไม่ให้มันต้องเสียเปล่า เขาจึงหยิบขวดออกมาและรวบรวมแก่นโลหิตภายในร่างกายของหยาจื้ออย่างระมัดระวัง ก่อนจะเริ่มเฉือนผิวหนังของมัน ควักเส้นเอ็นและขุดกระดูกของมันออกมา…

ประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการเป็นพ่อครัววิญญาณในช่วงปีแรก ๆ ทำให้การเคลื่อนไหวของเฉินซีดูราบรื่น แม่นยำ และประณีตเป็นอย่างมาก ในสายตาของเขา หยาจื้อดูเหมือนจะกลายเป็นวัตถุดิบที่ยอดเยี่ยม และการสูญเสียไปแม้แต่นิดเดียวก็ถือว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

“โอ้ กรงเล็บขนาดมหึมา ฟันที่แหลมคม เกล็ด ขน เส้นเอ็น… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นวัสดุชั้นเยี่ยมสำหรับการพัฒนายันต์ศัสตรา และมันจะช่วยข้าขจัดปัญหาในการค้นหาวัสดุสำหรับการขัดเกลาได้”

“อืม… ส่วนแก่นโลหิตเหล่านี้ ข้าสามารถใช้มันเพื่อหลอมโอสถชั้นยอด และคุณภาพของมันจะต้องยอดเยี่ยมมากอย่างแน่นอน เมื่อข้าได้สูตรยาในอนาคตบางทีอาจจะต้องใช้พวกมัน แต่น่าเสียดายที่อวัยวะภายในของมันสูญเสียพลังและกลายเป็นแค่ขยะ มิฉะนั้น มันคงจะสามารถปรุงเป็นอาหารอันโอชะ และเพียงแค่ได้ลิ้มรสมันสักคำ ก็คงจะเป็นความเพลิดเพลินที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้…”

เฉินซีรวบรวมวัสดุต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ในขณะที่วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้นที่ยากจะปกปิด

นี่เป็นโชคลาภที่ร่วงหล่นมาจากสวรรค์อย่างแน่นอน และจะมีใครจินตนาการได้ว่า แท้จริงแล้วกลับมีหยาจื้อที่เพิ่งตายอยู่บนดาวดวงหนึ่งในทะเลเมฆอันไร้ขอบเขต!

ในเวลาไม่นาน เฉินซีก็พบกระดูกโดยกำเนิดของหยาจื้อ มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ มีสีขาวเหมือนหยก อบอุ่น สดชื่น และให้สัมผัสที่สบายอย่างยิ่ง พื้นผิวของมันถูกประทับด้วยอักขระที่หนาแน่นเหมือนทางช้างเผือก อีกทั้งมันก็แผ่กลิ่นอายลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ออกมา อักขระเหล่านี้คือความลึกล้ำของมหาเต๋าที่เกี่ยวข้องกับระเบิดสังหารเทวะ และตราบใดที่เขาเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ มันก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะใช้มันด้วยตัวเอง

ชายหนุ่มมองไปที่มันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บกระดูกโดยกำเนิดไป จากนั้นสายตาของเขาก็จ้องมองไปทางกระบี่สีเลือดที่หยาจื้อคาบอยู่ในปาก

คมกระบี่เล่มนี้มีรอยหยัก และมีสีแดงเข้มราวกับเลือดอย่างน่าสยดสยอง มันเปล่งแสงวาวที่เย็นยะเยือกงดงาม ซึ่งทำให้ใจรู้สึกสั่นไหว

ที่ด้ามกระบี่จารึกด้วยคำโบราณที่ยังไม่สมบูรณ์ และดูเหมือนตัวอักษร ‘诛’ *[1] จาง ๆ แต่มันขาดหายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้

โอม!

เมื่อชายหนุ่มถือกระบี่สีแดงเลือดเล่มนี้ไว้ในมือ จิตสังหารที่ชั่วร้ายและรุนแรงพลันพรั่งพรูเข้าสู่ห้วงจิตสำนึกของชายหนุ่มผ่านทางกระบี่ ทันใดนั้น เฉินซีดูจะเห็นภาพของนรกที่ปกคลุมไปด้วยกระดูก ภูเขาซากศพและทะเลเลือด ซึ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่ง อีกทั้งจิตสังหารที่หนาแน่นและกระหายเลือดก็กัดกร่อนวิญญาณของเขาอย่างรุนแรง กระตุ้นเลือดลมในร่างกายของเฉินซีและกระตุ้นจิตสังหารในตัวเขาอย่างรุนแรง

ปัง!

เฉินซีฟันกระบี่ออกไป ทำให้เกิดเจตจำนงกระบี่ที่เปล่งแสงสีเลือดทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และฟันภูเขาลูกมหึมาที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้เป็นสองส่วน แยกพื้นดินออกจากกันจนเกิดเป็นรอยแยกขนาดใหญ่

“ช่างเป็นจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวเสียจริง! ข้าไม่ได้ใช้พลังใด ๆ และอาศัยพลังของกระบี่อย่างเต็มที่ แต่กลับมีพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ กระบี่เล่มนี้ทรงพลังยิ่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะเสียอีก!”

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และต้านทานมันด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งการสังหาร จากนั้นเขาก็สยบกลิ่นอายที่รุนแรงและกระหายเลือดได้อย่างสมบูรณ์ ก่อนที่จะขจัดและขับมันออกจากร่างกาย

หลังจากที่จิตใจของเขากลับคืนสู่สภาพปกติ เฉินซีก็ตรวจสอบกระบี่สีแดงเลือดที่ไม่ธรรมดาและน่าสะพรึงกลัวในมือของเขาอีกครั้ง และชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตำนานที่เกี่ยวข้องกับหยาจื้อ

ตามตำนานว่ากันว่า ในฐานะบุตรชายของมังกรที่แท้จริงในยุคบรรพกาล หยาจื้อนั้นกระหายเลือด ชอบการต่อสู้ โหดเหี้ยมโดยสันดาน และอาฆาตพยาบาทเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่ามันก็มีนิสัยที่เสพติดอยู่อย่างหนึ่งนั้นคือการรวบรวมกระบี่!

หยาจื้อไม่ใช่สัตว์ร้ายที่ยึดติดกับกระบี่ และทุกครั้งที่มันได้รับกระบี่ที่ดีกว่า มันจะทำลายกระบี่ที่เคยใช้มาก่อน เป้าหมายในชีวิตของมันคือการค้นหากระบี่ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นกระบี่อันดับหนึ่งของทั้งสามภพ!

อย่างไรก็ตาม มีกระบี่จำนวนมากมายอยู่ในทั้งสามภพ แม้แต่กระบี่ที่ทรงพลังก็มีมากมายเหมือนขนวัว และมีแม้กระทั่งสมบัติที่น่ากลัวยิ่งกว่ากระบี่อมตะ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เป้าหมายในชีวิตของหยาจื้อบรรลุผลได้ยาก

แต่ถึงกระนั้น ชื่อเสียงในการรวบรวมกระบี่ของหยาจื้อก็โด่งดังไปทั่วทั้งสามภพและเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ยิ่งกว่านั้น ทุกคนต่างก็รู้ว่า กระบี่ที่หยาจื้อเลือก ย่อมไม่ใช่กระบี่ที่ธรรมดาอย่างแน่นอน!

และหยาจื้อที่อยู่ตรงหน้าเขาก็มีชีวิตอยู่มากว่าหมื่นปีแล้ว ดังนั้นกระบี่สีแดงเลือดที่ถูกเลือกโดยตัวตนเช่นนี้ จะเป็นสิ่งของธรรมดาได้อย่างไร?

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขาอย่างควบคุมไม่ได้

“เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือกระบี่อมตะ? แต่สมบัติอมตะล้วนมีวิญญาณสมบัติอยู่ แม้กระบี่เล่มนี้เกือบจะดูเหมือนกับสมบัติอมตะ แต่มันกลับไม่มีวิญญาณสมบัติอยู่ภายใน ดังนั้นมันอาจจะไม่ใช่กระบี่อมตะ…”

หลังจากนั้น เฉินซีก็ส่ายศีรษะและปฏิเสธความคิดของเขา ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกงุนงงยิ่ง เพราะเขาเชื่อมั่นว่ากระบี่สีแดงเลือดนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะเสียอีก

ทว่ากระบี่เล่มนี้อยู่ในระดับใด… เขาก็มิอาจทราบได้!

ยิ่งกว่านั้น กระบี่สีแดงเลือดนี้ไม่เหมือนกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ เพราะเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของนิกายวิถีพุทธที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง และไม่ทราบว่าวิญญาณสมบัติอยู่ที่ใด ดังนั้นตอนนี้มันจึงถูกใช้เป็นคลังสมบัติวิเศษขนาดมหึมาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม กระบี่สีแดงเลือดนี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์และมีพลังที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งเหนือล้ำเกินกว่าที่เจดีย์บำเพ็ญทุกข์จะเทียบได้

ชายหนุ่มพยายามสำรวจภายในตัวกระบี่ แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นว่า กระบี่เล่มนี้ได้สร้างโลกของมันเอาไว้ในนั้น มันเป็นทะเลเลือดที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตที่มีความหนาแน่นเหมือนหินหลอมเหลว และพลุ่งพล่านจนเกิดเป็นคลื่นเสียงคำรามดุดัน ซึ่งเผยให้เห็นฉากที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

“ช่างเถิด ไว้ข้าจะถามหลิงไป๋เกี่ยวกับเรื่องนี้ในภายหลัง สหายตัวน้อยนี้ถูกสร้างขึ้นจากวิญญาณกระบี่ และดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคบรรพกาล เขาน่าจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับกระบี่เล่มนี้บ้าง…”

เนื่องจากไม่สามารถคำตอบได้ เฉินซีจึงละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านในใจของเขาทันที ชายหนุ่มเก็บกระบี่สีแดงเลือดและตั้งใจจะปรึกษากับหลิงไป๋หลังจากที่กลับไปที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง

จากนั้นเขาก็ค้นหารอบ ๆ อยู่พักหนึ่ง เมื่อไม่พบสิ่งใดอีก เขาจึงทะยานออกจากดาวดวงนี้โดยไม่ลังเล

ปัจจุบัน เขายังไม่พบเส้นทางที่นำไปสู่เหวเงาทมิฬ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีอารมณ์ที่จะอยู่ในทะเลเมฆอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้อีกต่อไป

“ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหล” เมื่อเฉินซีออกจากดาวดวงนี้ เสียงของหม้อใบจิ๋วก็ดังก้องอยู่ในใจของเขา

“ที่ใดหรือ?” หัวใจของเขาเฉินซีเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะเท่าที่เขาทราบ ผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลนั้นซุกซ่อนอยู่ภายในเหวเงาทมิฬ แต่หม้อใบจิ๋วกลับสัมผัสกลิ่นอายของมันได้ ดังนั้นมันย่อมสามารถนำทางให้เขาไปยังเหวเงาทมิฬได้ และชายหนุ่มก็ไม่ต้องตะเกียกตะกายเหมือนไก่ไม่มีหัวอยู่ในทะเลหมอกอีกต่อไป

“ทางนั้น” หม้อใบจิ๋วไม่ทำให้เขาผิดหวัง และนำทางเฉินซีไปยังทิศทางหนึ่ง

“ไปกันเถอะ!” ดวงตาของชายหนุ่มสว่างวาบ ในชั่วพริบตาต่อมา เขาก็กลายเป็นลำแสงที่ไหลผ่านชั้นเมฆและหายวับไปในชั่วพริบตา

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

หลังจากเฉินซีจากไปไม่นาน จู่ ๆ ก็มีแสงหลายสายบินไปยังดาวดวงนั้นด้วยความเร็วที่สูงมาก และพวกเขาก็ร่อนลงไปที่นั่นในชั่วพริบตา

“ฮ่า ๆๆ! เพื่อนำบรรพบุรุษของเรากลับมาจากที่แห่งนี้ เผ่าหยาจื้อของข้าก็ต้องรอคอยมาเกือบหมื่นปีแล้ว และในที่สุดเหวเงาทมิฬก็ปรากฏขึ้น …นี่คือพรจากทวยเทพอย่างแท้จริง!”

“ใช่แล้ว หากเมื่อหลายปีก่อน ท่านบรรพบุรุษไม่มุ่งหน้าไปยังดินแดนรังสรรค์กระบี่เพื่อค้นหากระบี่ที่สูงส่งเหนือจินตนาการ และโชคไม่ดีจนต้องติดอยู่ที่นี่ เช่นนั้นเผ่าหยาจื้อของข้าก็คงปกครองทุกสิ่งสรรพตั้งแต่ยุคบรรพกาลไปนานแล้ว และคงสามารถดูถูกทั้งโลกหล้าได้อย่างภาคภูมิใจ!”

“เฮ้อ นับตั้งแต่ท่านบรรพบุรุษจากไป เผ่าหยาจื้อของเราก็ไม่มีใครบ่มเพาะระเบิดสังหารเทวะได้สำเร็จเลยสักคน และทำให้เราต้องประสบกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ตราบใดที่เรานำท่านบรรพบุรุษกลับมาได้ สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เราย่อมสามารถนำความรุ่งโรจน์มาสู่เผ่าหยาจื้อได้ในเวลาไม่ถึงร้อยปี!”

ร่างเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่ง อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาก็ยังดุร้ายและกระหายเลือดอย่างรุนแรง พวกเขาสนทนาในขณะที่ค้นหาไปทั่วทั้งดวงดาว ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง และจากบทสนทนานี้ ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากเผ่าหยาจื้อ

“หืม? นี่มัน…” มีคนสังเกตเห็นบางอย่างในระยะไกลและอุทานด้วยความตกใจออกมา

คนอื่น ๆ ต่างก็ตกใจและทะยานออกไปอย่างเร่งรีบเช่นกัน เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า คนทั้งหมดตกตะลึงจนยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นดินเหนียว และจิตใจของพวกเขาก็ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง

ที่แห่งนี้คือภูเขาขนาดมหึมาและแห้งแล้ง มีโครงกระดูกสีขาวโพลนขนาดใหญ่และน่ากลัวกองอยู่ที่ด้านหน้าของภูเขา ซึ่งที่ด้านข้างของโครงกระดูกก็มีอวัยวะภายในที่เปื้อนเลือดกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น และดูเหมือนมันจะแห้งมานานแล้ว

ภาพนี้ดูราวกับว่าสัตว์ร้ายเพิ่งถูกคนขายเนื้อฆ่า ในขณะที่อวัยวะภายในและโครงกระดูกที่ไร้ประโยชน์กลับถูกโยนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี!

“นี่…นี่…” ปากของผู้เยี่ยมยุทธ์จากเผ่าหยาจื้อสั่นสะท้าน ในขณะที่ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลงด้วยความไม่เชื่อ และแม้แต่เสียงของทุกคนก็เริ่มสั่นเครือ

เขาแทบจำได้ในทันทีว่า โครงกระดูกนั้นคือบรรพบุรุษของพวกตน และกลิ่นอายซึ่งแผ่ซ่านออกมานั้นไม่มีทางหลอกประสาทสัมผัสของพวกเขาได้!

แต่พวกเขาไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่า บรรพบุรุษที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ในใจของพวกเขา จะถูกสังหารลงเสียก่อนที่พวกเขาจะพากลับไป!

“นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน?!”

[1] 诛 แปลว่า ลงทัณฑ์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท