บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 658 กรงแปดเซียนจำแลง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 658 กรงแปดเซียนจำแลง

บทที่ 658 กรงแปดเซียนจำแลง

เพียงกล่าวทักท้วง เฉินซีพลันแสดงความไม่พอใจและจู่โจม และยังใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหยาจื้อของพวกเขาอีก มันทำให้เลี่ยเฟิงและคนในเผ่าโกรธจนแทบกระอักเลือด

คนพาล!

เผ่าหยาจื้อของพวกข้ามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกหล้าว่าเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น แต่วันนี้อุตส่าห์ประนีประนอมขอเพียงแค่อีกฝ่ายส่งกระดูกต้นกำเนิดคืนมาเท่านั้น เจ้านี่กลับไม่แม้จะปฏิเสธ แต่กลับโจมตีดื้อ ๆ แบบนี้เลยหรือ!?

ไอ้บัดซบนี่! ไม่รู้หรือไรว่าเผ่าหยาจื้อขึ้นชื่อเรื่องการแก้แค้น!?

เลี่ยเฟิงและพรรคพวกรู้สึกว่าทุกอย่างพลิกกลับหัว เพราะยังมีคนบ้าระห่ำยิ่งกว่าเผ่าหยาจื้อเสียอีก มันกล้าขโมยของของพวกเขาไปและยังทำกร่าง จึงพลอยรู้สึกว่าเฉินซีล้ำเส้นเกินไปแล้ว!

แต่แม้จะโกรธเคือง พวกเลี่ยเฟิงก็ไม่ได้ประมาทแม้แต่น้อยเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของอีกฝ่าย ทุกคนใช้กระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดโดยไม่รีรอทันที

เพราะพวกเขาทราบดีว่า ความแข็งแกร่งของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้น่าเกรงขามเพียงใด หลายปีก่อนหน้านั้น มันยังเคยดื่มกินเลือดของทวยเทพมาแล้ว!

ตู้ม!

แสงโลหิตที่พวยพุ่งเต็มไปด้วยจิตสังหาร ฉากกองศพและทะเลเลือดปรากฏขึ้น ทำให้สะท้านไปทั่วทั้งสวรรค์ทั้งเก้าและเปลี่ยนโลกทั้งใบเป็นสีแดง

จิตสังหารอันบ้าคลั่งนั้นชั่วร้ายและแข็งแกร่งมาก จนแม้แต่เหล่าทวยเทพก็โดนปราบมาแล้ว!

ในเวลาเพียงชั่วพริบตา การโจมตีของเลี่ยเฟิงและพวกพ้องก็สลายหายไปอย่างง่ายดาย ถ้าไม่ใช่เพราะหลบทันเวลา ก็คงจะสิ้นลมตรงนั้น ทำเอาพวกเขาตกใจจนใบหน้าซีดเผือด

ช่างเป็นเต๋าแห่งกระบี่ที่น่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้!

พวกเขาสังเกตได้ว่า การโจมตีนี้ไม่เพียงจะควบแน่นไปด้วยปราณกระบี่เท่านั้น มันยังอัดแน่นด้วยความล้ำลึกของมหาเต๋าแห่งการสังหารที่บริสุทธิ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา!

การควบแน่นปราณกระบี่ให้เป็นเส้นด้ายนั้นมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เชี่ยวชาญเต๋าแห่งกระบี่เท่านั้นที่จะสามารถทำได้ ซึ่งมันน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าแนวทางใจหลอมรวมกระบี่เสียอีก!

ในบรรดาผู้บ่มเพาะกระบี่นับหมื่น มีแค่หนึ่งคนที่จะไปถึงระดับนั้นได้

ส่วนมหาเต๋าแห่งการสังหารนั้นยิ่งหายากและน่ากลัวเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อผสานกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าหยาจื้อ มันก็เป็นการจับคู่ที่เหมาะเจาะเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!

“คนผู้นี้ช่างเป็นผู้บ่มเพาะกระบี่ที่น่าเกรงขามเสียจริง ๆ!” เลี่ยเฟิงรู้สึกหวาดกลัว เขารู้ดีว่าคนของตนคงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับเฉินซีได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังอื่น ๆ

ดังนั้นก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ลงมือ เจ้าตัวก็หันหลังจากไปด้วยความตั้งใจที่จะรวมกลุ่มคนก่อนแล้วค่อยลงมือตามสถานการณ์

น่าเสียดายที่เขายังสายเกินไป!

เฉินซีได้เปิดฉากสังหารแล้ว ดังนั้นจะปล่อยให้คู่ต่อสู้ของลอยนวลไปได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาตระหนักได้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์เผ่าหยาจื้อนั้นร้ายกาจเพียงใด

…หากปล่อยไว้ในอนาคตก็คงจะเกิดปัญหาไม่รู้จบ!

ตู้ม!

แสงโลหิตสาดส่องออกมาในขณะที่เจตจำนงกระบี่หลั่งไหลดั่งกระแสน้ำ ความแข็งแกร่งของอาวุธศักดิ์สิทธิ์เผ่าหยาจื้อชิ้นนี้ช่างน่ากลัวเสียจริงและเหนือกว่าสมบัติกึ่งอมตะอยู่มาก นอกจากจิตวิญญาณที่ขาดหายไปของมัน ก็นับว่าสมบัติชิ้นนี้เทียบได้กับสมบัติอมตะเลยทีเดียว!

จังหวะที่เฉินซีใช้ความล้ำลึกแห่งมหาเต๋าแห่งการสังหาร เขาพลันกลายเป็นเหมือนดั่งทวยเทพโลหิตที่ลงมายังโลกมนุษย์ แสงอำมหิตที่ปกคลุมท้องนภายิงออกไปเป็นเส้นตรง มันไม่เพียงจะฟันเลี่ยเฟิงและพรรคพวกออกเป็นสองเท่านั้น แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่โดยรอบก็ยังได้รับผลกระทบ ทำให้คนไม่น้อยกว่าสิบคนต้องดับสูญ ฝนโลหิตโปรยปรายไหลลงสู่พื้น เกิดเป็นฉากนองเลือดที่น่าสยดสยอง!

ทุกคนพลันตกตะลึง พานให้หัวใจของพวกเขาเต้นแรง ‘มันช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!’

นับตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ เฉินซีสามารถฟันฝ่าทุกอุปสรรคที่อยู่เบื้องหน้าเขาได้ และไม่เคยพบสิ่งกีดขวางใด ๆ มีรัศมีแห่งการฝ่าฟันอุปสรรคและสังหารทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นผู้ที่น่าเกรงขามยิ่ง!

ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนที่พุ่งไปข้างหน้าจำต้องหยุดลงพลางกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ พวกเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอยู่หรือจะหนีดี เพื่อที่จะได้ไม่เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟและพบกับจุดจบที่น่าสยดสยองเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

เป็นเวลาสั้น ๆ ที่ผู้คนเว้นระยะห่างจากเฉินซี ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้าอีกต่อไป!

“เขาสุดยอดไปเลย!” หลงเจิ้นเป่ยอดไม่ได้ที่จะเหวี่ยงกำปั้นด้วยความตื่นเต้นอย่างยิ่ง เขารู้สึกตกใจกับความแข็งแกร่งที่น่ากลัวของเฉินซีไม่ต่างกับคนอื่น ทว่าส่วนใหญ่เป็นความตื่นเต้นที่ว่ากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่สิ้นหวัง แต่จู่ ๆ ก็เห็นแสงแห่งความหวังขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นอย่างสุดพรรณนา!

“จริงอย่างที่เจ้าว่า พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นทวีคูณเมื่อเทียบกับตอนที่เผชิญกับหวังจ้งฮ่วน!” ดวงตาใสกระจ่างของอันเวยจ้องมองไปยังเงาร่างที่อยู่กลางอากาศซึ่งอาบไปด้วยเลือด เป็นดั่งเทพอสูรที่ไม่สะทกสะท้าน ดวงตาของนางทอประกายวาววับ หญิงสาวเป็นผู้เดียวที่เห็นการพัฒนาอันยิ่งใหญ่ของเฉินซี ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความตกตะลึงในใจของนางมีมากกว่าคนอื่น ๆ

ตัวอย่างเช่น ตอนที่เฉินซีได้แสดงตัวตนที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ เมื่อเข้าร่วมนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ผู้คนจึงไม่ได้มองเขาในแง่ดีนัก แต่ชายหนุ่มก็มักสร้างปาฏิหาริย์ที่น่าตกตะลึงอยู่เสมอ

ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ขวางทางเขาได้ ทุกอย่างจะกลายเป็นเพียงบันไดให้เฉินซีเหยียบขึ้นไปได้สูงขึ้นเท่านั้น!

“เริ่มเคลื่อนไหวกันเถอะ เฉินซีต่อสู้เพื่อพวกเราแล้ว ดังนั้นเราจะอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร?” สายตาของหลงเจิ้นเป่ยเป็นเหมือนสายฟ้าฟาด เจตจำนงการต่อสู้ลุกโชนอยู่ภายในจิตใจของเขา

เขาไม่ใช่คนอ่อนแอหรือน่าสมเพชที่ต้องจำใจรอความตาย แต่เขาสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ถึงห้าเท่าได้ ในขณะที่การเพิ่มหกเท่าสำหรับเขานั้นก็อยู่ไกลเกินเอื้อม และในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่ คนที่น่ากังวลสำหรับเขามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!

“เอาล่ะ!” อันเวยพยักหน้าพลางแสดงความอาฆาตแค้นบนใบหน้างดงามของนาง เพราะรู้สึกหมดความอดทนมานานแล้ว!

“หากเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ จะไม่ดีกว่าหรือ เหตุใดจึงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเล่า?” ทันทีที่ทั้งคู่จะลงมือ เยี่ยนสือซานผู้นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนก้อนหินด้านข้างที่ดูราวกับไม่แยแสทุกสิ่งพลันลืมตาขึ้น เปลวเพลิงที่ลุกโชนปรากฏขึ้นในแววตาของเขาราวกับทะเลเพลิงคู่ ในขณะที่เขากล่าวพลางส่งสัญญาณมือ

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น ธงขนาดใหญ่แปดธงที่ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงพุ่งทะลุทะลวงอย่างรุนแรงลงไปในพื้นธรณี จากนั้นจึงก่อตัวเป็นค่ายกลกักขังอันล้ำลึกที่ขังหลงเจิ้นเป่ยและอันเวยเอาไว้ทันที

“นี่คือกรงแปดเซียนจำแลงที่สร้างขึ้นจากสมบัติกึ่งอมตะแปดชิ้น แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ยังหลบหนีออกไปได้ยาก พวกเจ้าจงพักผ่อนและรออยู่ในนี้ เนื่องจากพวกเราล้วนเป็นศิษย์จากสิบนิกายเซียน ข้าไม่อยากทำให้พวกเจ้าทั้งสองลำบากใจ” เยี่ยนสือซานพูดอย่างไม่ใส่อารมณ์ น้ำเสียงสุขุมเยือกเย็นแสดงถึงความหยิ่งยโสที่ไม่อาจหาผู้ใดเทียบได้ ก่อนที่เขาจะหลับตาลงอีกครั้งหลังจากพูดจบ ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เปิดโอกาสให้อันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยพูดเลย

คนผู้นี้นับว่าเป็นผู้ที่น่าเกรงขามยิ่งนัก เพราะสามารถขังหลงเจิ้นเป่ยกับอันเวยไว้ได้อย่างง่ายดาย กระทั่งไม่ให้เวลาทั้งสองตอบสนองเสียด้วยซ้ำ จึงสามารถเห็นความแข็งแกร่งของเขาได้อย่างชัดเจนจากเหตุการณ์นี้

การถูกขังอย่างเฉียบพลันทำให้หลงเจิ้นเป่ยกับอันเวยดูราวกับไร้พลังไปในทันที พวกเขาทั้งโกรธและหงุดหงิด ทั้งคู่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเยี่ยนสือซาน คนบ้าที่มีชื่อเสียงของนิกายวิถีกระแสสวรรค์จะน่ากลัวกว่าที่ลือกันไว้เสียอีก

สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาสบายใจได้ก็คือ เยี่ยนสือซานไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกเขา ยิ่งกว่านั้น… อีกฝ่ายทำเพียงแค่ขังคนทั้งสองเอาไว้ภายในค่ายกลเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนาฆ่าใด ๆ

แต่พวกเขากลับเป็นห่วงเฉินซีอีกครั้ง ดูจากสายตาของเยี่ยนสือซานที่จ้องเขม็งด้วยความไม่เป็นมิตรจากด้านข้าง อาจกล่าวได้ว่าเขาอาจตกอยู่ในอันตราย…

บัดนี้ การต่อสู้บนอากาศได้เกิดขึ้นอีกครั้ง

บรรดาผู้บ่มเพาะอัจฉริยะหลบหลีกเขาและไม่ได้ก้าวไปจู่โจม แต่เฉินซีจะหยุดเพียงเท่านี้ได้อย่างไร เขาเริ่มที่จะโจมตีกลับบ้างแล้ว!

ชายหนุ่มถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหยาจื้อ ‘กระบี่เปื้อนเลือด’ ไว้ในมือขณะเคลื่อนไหวด้วยเคล็ดนพก้าวพิฆาตโกลาหล ควบคู่ไปกับความเร็วของทักษะปีกกำราบผกผันที่รวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้เขาดูเหมือนเทพอสูรที่ท่องไปในห้วงมิติขณะที่สังหารทุกสรรพสิ่งจนทำให้โลกอาบไปด้วยโลหิต

ผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนหวาดกลัวจนถึงขั้นวิญญาณหลุดออกจากร่างเมื่อเห็นสิ่งนี้ พวกเขาไม่กล้าลังเลอีกต่อไป จากนั้นก็เผ่นหนีด้วยความตื่นตระหนกเหมือนสุนัขหางจุกก้น ตอนนี้พวกเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการหวังว่าจะเกิดมามีขาที่วิ่งไวกว่านี้

เพราะไม่ว่าโชคจะมากมายเพียงใด หากไม่มีชีวิตก็คงเปล่าประโยชน์

ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มเอนเอียงไปทางเฉินซีเล็กน้อย

“ทุกคน เราต้องสู้ต่อไป! ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ไอ้หัวขโมยคนนี้ได้ใช้พลังกายไปมาก เราต้องไม่ยอมให้เขาฟื้นปราณแท้ได้ มิฉะนั้น ความพยายามทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า!” เฟิงเจี้ยนไป๋ตะโกนสุดเสียง

ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุกกับพลังต่อสู้ที่น่าตกใจของอีกฝ่ายเช่นกัน ซ้ำหัวใจของเขายังสั่นไม่หยุด แต่เมื่อเห็นบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดแสดงท่าทีจะล่าถอยและหลบหนีด้วยความพ่ายแพ้ เขาก็ไม่อาจอยู่นิ่ง ๆ ได้อีก แล้วเริ่มตะโกนเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับทุกคน

“อีกนิดเดียวเราก็จะฆ่าไอ้โจรนี่ได้แล้ว ถ้ายอมเสียตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับละทิ้งโอกาสดี ๆ ไป! โอกาสที่ดีจะมาพร้อมกับอันตรายเสมอ ทุกความสำเร็จล้วนมีราคาทั้งสิ้น!”

“ตอนนี้โอกาสอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว! จะยอมเลิกราได้อย่างไร? นั่นคือชิ้นส่วนมหาเต๋าถึงห้าชิ้นเลยนะ เป็นไปได้หรือที่ทุกคนต้องการเฝ้าดูอย่างหมดหนทางและยอมแพ้แบบนี้? นั่นคือชิ้นส่วนมหาเต๋าห้าชิ้นเชียวนะ!”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฟิงเจี้ยนไป๋มีทักษะในการเกลี่ยกล่อมเยี่ยงพัดที่ดับเพลิงจนหมด เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของเขาก็ทำให้จิตใจของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์สงบลงอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าเฉินซีจะน่าเกรงขามเพียงใด พลังกายของเขาก็ยังมีขีดจำกัด ตราบเท่าที่ถูกกดดันจนไม่สามารถกินโอสถวิญญาณเพื่อเติมเต็มปราณแท้ได้ อีกฝ่ายจะไม่เหนื่อยตายได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้น มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายที่สละชีวิตเพื่อปูทางให้กับพวกเขา ไม่ว่าเฉินซีจะน่าเกรงขามเพียงใด อีกฝ่ายก็เป็นเพียงขอบเขตสถิตกายาและต้องใช้ปราณแท้มากเป็นแน่ หากพวกเขายอมแพ้ในตอนนี้คงจะน่าเสียดายอย่างยิ่ง

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เดิมตั้งใจจะหนีกลับไม่หนีอีกต่อไป และบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวก็ตัดสินใจใช้โอกาสนี้ลงมือ ทำให้สถานการณ์กลับมามาคุเช่นเดิม

“ฆ่ามัน!”

“พวกเราจะเอาชีวิตมาเดิมพันเพื่อชิ้นส่วนมหาเต๋า!”

“คนมาก่อนย่อมได้ก่อน ผู้ที่ชักช้าก็จะไม่ได้อะไรไป!”

บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์คำรามอย่างโกรธเกรี้ยวก่อนจะพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง พวกเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร และมีสีหน้าตื่นเต้นเร้าใจ!

…ดูเหมือนว่าเฉินซีกำลังประสบปัญหาใหญ่ ซ้ำชิ้นส่วนมหาเต๋ายังอยู่ใกล้แค่เอื้อม!!

คนตายเพื่อสมบัติ นกตายเพราะอาหาร คำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่เถียงไม่ได้ตั้งแต่สมัยโบราณและเป็นเช่นนี้ทุกที่

เฟิงเจี้ยนไป๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นฉากนี้ รอยยิ้มอิ่มเอมปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาอีกครั้ง หากพวกเขาไม่สามารถสังหารเฉินซีได้ โลกนี้ก็นับว่าไม่ยุติธรรมเกินไป!

เพราะอย่างไรแล้ว ผู้เยี่ยมยุทธ์กว่าร้อยชีวิตต้องพลัดพรากจากโลกนี้ไปในเหตุการณ์นี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ก็ไม่ใช่คนทั่วไป พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาทั้งสิ้น มีจำนวนมากพอที่จะตั้งนิกายใหม่ในโลกภายนอกก็ยังได้ การเสียสละเช่นนี้จะไม่เผาผลาญพลังชีวิตของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

หากแต่ชายหนุ่มกลับสงบนิ่ง ไม่แยแสและไม่เกรงกลัว แน่นอนว่าการปลุกใจผู้คนของเฟิงเจี้ยนไป๋นั้น …สำหรับเฉินซีแล้วมันไม่มีอะไรน่ากังวลเลย!

ใช้จำนวนคนเอาชนะเขาจนตาย?

น่าขันสิ้นดี!

ท้ายที่สุดแล้ว ต้นอ่อนศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬในร่างกายของเขาก็กำลังปล่อยปราณวิญญาณราวกับคลื่นออกมา และคอยเติมเต็มปราณแท้ของเขาอยู่เสมอ

ด้วยของศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ที่อยู่ในมือ ปราณแท้ของเขาจะเหือดแห้งและหมดแรงจนล้มตายได้อย่างไร?

ทว่าการกระทำของเฟิงเจี้ยนไป๋ช่างร้ายกาจเสียจริง! แม้ว่าเฉินซีจะไม่แยแส แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ …ในช่วงเวลาต่อมาสายตาของเขาก็ได้จับจ้องไปยังคนผู้นั้นก่อนที่จะพุ่งเข้าหา!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท