บทที่ 667 พระราชวังแห่งการรังสรรค์
บทที่ 667 พระราชวังแห่งการรังสรรค์
พื้นที่แถบนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเลือด การต่อสู้เกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง และมันน่าสยดสยองเหมือนดั่งนรกอเวจี
ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนต่างถูกปราณชั่วร้ายเข้าครอบงำจนสูญเสียความคิดและกลายเป็นคนเสียสติคลุ้มคลั่ง พวกเขากำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังกับกองทัพมดสัมฤทธิ์จำนวนมหาศาล ซึ่งมีคนเสียชีวิตเป็นครั้งคราว ทำให้เกิดภาพอันน่าสยดสยองและนองไปด้วยเลือด
นอกจากนี้ ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์บางคนที่ไม่ได้เข้าสู่สนามรบ และพากันหลีกหนีออกไปอยู่ในบริเวณโดยรอบ พวกเขากำลังมองหาจังหวะที่เหมาะสมในการเคลื่อนไหว เพราะตระหนักได้ว่า หากพวกเขาบุ่มบ่ามพุ่งเข้าใส่ จะมีชะตากรรมเหมือนคนที่เข้าสู่สนามรบก่อนหน้านี้และต้องประสบกับหายนะอย่างแน่นอน
พวกเขาเฝ้ารอโอกาสอย่างอดกลั้น แต่น่าเสียดาย กองทัพมดสัมฤทธิ์กลับมีมากมายมหาศาล ไหนจะปราณชั่วร้ายที่กระจายไปทั่ว ทำให้พวกเขารู้สึกปวดเศียรและไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรดี
ฟุ่บ!
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีลำแสงพาดผ่านท้องฟ้าและพุ่งเข้าหากองทัพมดสัมฤทธิ์อย่างรวดเร็ว และภายในสนามรบที่โกลาหลและน่าสยดสยองนี้ มันก็ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
“เอ๊ะ มีคนพุ่งเข้าไปจริง ๆ หรือ?”
“ช่างโง่เขลานัก! เขาถึงกับยอมสละชีวิตเพื่อไปถึงพระราชวังแห่งการรังสรรค์ จิตใจของเขาคงจะฟั่นเฟือนไปแล้ว และประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป”
“ฮ่า ๆๆ! วันนี้มีคนโง่เขลาเช่นนี้กี่คนแล้ว? ข้าล่ะอยากเห็นนัก ว่าคนผู้นี้จะตายอย่างไร!”
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ในบริเวณโดยรอบต่างก็ผงะเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาแสดงความรู้สึกสมเพชออกมา เพราะนี่คืออีกคนที่เอาชีวิตไปทิ้ง
ถึงอย่างไร พวกเขาก็รออยู่ที่นี่มานานแล้วและคอยหาโอกาสมาโดยตลอด เพราะพวกเขาตั้งใจจะรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อเคลื่อนไหว และไม่กล้าเล่นสนุกกับชีวิตจนเกินไป
ซึ่งในระหว่างที่เฝ้าคอยโอกาสอยู่นั้น พวกเขาก็ได้เห็นผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนที่ไม่อาจอดกลั้น และพุ่งฝ่าเข้าไปในกองทัพมดสัมฤทธิ์ และมีแม้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายาระดับแนวหน้า แต่ท้ายที่สุด คนพวกนั้นก็เป็นดั่งแมลงเม่าที่บินเข้าหากองไฟ และตายอย่างอนาถอยู่ภายในกองทัพมดสัมฤทธิ์ ซึ่งไม่มีใครรอดเลยสักคน!
ดังนั้นเมื่อได้เห็นลำแสงสายนี้ปรากฏขึ้น สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือคนโง่เขลาอีกคนหนึ่งที่กำลังเอาชีวิตไปทิ้ง!
“หืม? นั่นมัน…” ทันใดนั้น มีคนอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจและสับสน จากนั้นจึงแสดงท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา
ทุกคนที่หัวเราะอย่างเย็นชาต่างแหงนหน้าขึ้นมอง และเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไปอย่างชัดเจน ใบหน้าและร่างกายของคนทั้งหมดก็แข็งทื่อเหมือนกับหุ่นเชิดดินเหนียว ราวกับได้เห็นภูตผีปีศาจเข้าให้แล้ว!
ภายในสายตาของพวกเขา ทันทีที่ลำแสงพุ่งเข้าใส่สนามรบที่ปั่นป่วนโกลาหล กองทัพมดสัมฤทธิ์ที่หนาแน่นกลับแยกออกและกระจายตัวออกไปทางด้านข้าง เปิดเป็นทางเดินที่ว่างเปล่า!!
มดศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านั้น ครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของพวกมันเคยกลืนกินทวยเทพ แต่ทว่าในตอนนี้ กลับดูเหมือนว่าพวกมันกำลังต้อนรับการมาถึงของราชาด้วยความเคารพ พวกมันเชื่องสนิทและไม่หลงเหลือความดุร้ายเลยแม้แต่น้อย!
“นี่มันแปลกเกินไปแล้ว!”
ผู้ใดจะไปคาดคิดได้ว่า คนโง่เขลาที่ทุกคนต่างก็คิดว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน กลับสามารถทำให้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะแม้แต่มดกลืนกินเทพบรรพกาลก็ยังถอยห่างออกไปเรื่อย ๆ และไม่กล้าที่จะขวางทาง ราวกับปาฏิหาริย์กำลังจะเกิดขึ้น
ทุกคนล้วนตกตะลึง เพราะพวกเขารู้ว่าตนเองนั้นคิดผิด นี่ไม่ใช่แมลงเม่าที่บินเข้าสู่กองไฟ แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นพญามังกรที่หวนคืนสู่รัง โดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง!
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
มีคนเห็นโอกาสอันริบหรี่นี้ พวกเขาต่างทะยานไล่ตามลำแสงนั้นไป และตั้งใจที่จะเกาะติดอยู่ทางด้านหลัง เพราะหวังว่าจะหลีกเลี่ยงการโจมตีของมดสัมฤทธิ์เหล่านั้นได้
“บัดซบ! เหตุใดข้าถึงไม่คิดจะทำเช่นนั้น!”
“ทุกคน! ตามพวกเขาไป!”
“เร็วเข้า! เร็วเข้า! เหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากเจ้ายังคงลังเลอยู่!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เพราะพวกเขารู้ว่านี่เป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต และหากสูญเสียมันไป พวกเขาก็คงจะไม่สามารถไปถึงพระราชวังแห่งการรังสรรค์ได้อีกตลอดกาล
“อ๊ากกกกก!!!”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เคลื่อนไหว เสียงกรีดร้องโหยหวนและน่าสมเพชก็ดังก้องออกมา เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่พุ่งออกไปเป็นคนแรก ๆ ไม่แม้แต่จะไล่ตามฝีเท้าของเฉินซีได้ พวกเขากลับถูกกองทัพมดสัมฤทธิ์ถาโถมเข้าใส่จนตายทันที ไม่เหลือแม้แต่ซาก
“ฟู่!” ทุกคนหยุดเคลื่อนไหวทันทีที่เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาต่างผ่อนลมหายใจยาว และรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เนื่องจากพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามดเหล่านั้นดูจะจดจำคนได้ พวกมันทั้งเชื่องและเคารพลำแสงนั้นราวกับเป็นเทพเจ้า แต่เมื่อพวกเขาปรากฏตัว มดเหล่านั้นพลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายและโหดเหี้ยมในทันที จากนั้นพวกมันก็โจมตีเข้าใส่พวกเขา ราวกับว่าพวกเขาไปล้างผลาญบิดามารดาของพวกมันอย่างไรอย่างนั้น!
หลังจากที่คนทั้งหมดตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ นอกจากความรู้สึกประหลาดใจแล้ว ทุกคนยังรู้สึกหดหู่และสลดใจอย่างยิ่ง เพราะหากพวกเขาสามารถสานสัมพันธ์กับคนคนนั้น และพึ่งพาความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย พวกเขาก็จะสามารถหลีกเลี่ยงมดเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือ?
…
ลำแสงนั้นย่อมคือเฉินซี
แม้แต่เขาก็ยังคาดไม่ถึงเลยว่า การที่เขาพุ่งเข้าใส่กองทัพมดสัมฤทธิ์ จะทำให้ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้น
หลังจากที่เขาพบว่ากองทัพมดไม่เป็นภัยต่อตนเอง ชายหนุ่มก็รู้สึกผ่อนคลายทันทีและบินด้วยความเร็วสูงสุด
หลังจากบินไปได้ราวครึ่งก้านธูป ทิวทัศน์ตรงหน้าของเฉินซีก็พลันเปลี่ยนไปในทันที
กองทัพมดสัมฤทธิ์ที่เคยมีอยู่อย่างมืดฟ้ามัวดิน พลันหายวับไปจากสายตา และถูกแทนที่ด้วยพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ ซึ่งดูจะตั้งตระหง่านอยู่ใต้ผืนฟ้าเหนือแผ่นดินมาอย่างยาวนาน อีกทั้งมันยังแผ่กลิ่นอายที่อ้างว้าง หนักหน่วง และเก่าแก่ออกมา
พระราชวังนี้ดูเหมือนจะสร้างขึ้นจากไม้โบราณ และทั่วทั้งวังถูกปกคลุมไปด้วยลายไม้ ที่ดูเหมือนกับวงปีของต้นไม้โบราณ ซึ่งให้ความรู้สึกลึกลับและแปลกประหลาดแก่ผู้คน
เห็นได้ชัดว่า ที่แห่งนี้คือสถานที่ลึกลับที่สุดในดินแดนรังสรรค์กระบี่…พระราชวังแห่งการรังสรรค์!
ว่ากันว่า เสื้อคลุมและมรดกของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ได้รับการยกย่องในยุคบรรพกาลนั้นถูกทิ้งไว้ในพระราชวังแห่งการรังสรรค์ และตลอดหลายปีที่ผ่านมาจวบจนถึงปัจจุบัน มันได้ดึงดูดผู้ยิ่งใหญ่มากมายให้มาค้นหา
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีใครได้รับมรดกจนถึงตอนนี้ และมันทำให้สถานที่แห่งนี้ดูลึกลับมากยิ่งขึ้น ซึ่งผู้คนก็คาดเดากันไปต่าง ๆ นานาว่าจะเป็นผู้ใดที่ได้รับมรดกนี้ไปครอบครอง
คำถามนี้อยู่คู่กับพระราชวังแห่งนี้มานานแสนนาน ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสักคนสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนและแน่นอนได้
ในขณะนี้ ประตูสู่พระราชวังแห่งนี้ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา และมีคนมากมายยืนอยู่ที่หน้าประตู!
ภาพตรงหน้าทำให้เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาตระหนักได้เป็นอย่างดีว่า ในระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ กองทัพมดสัมฤทธิ์นั้นมีขนาดมหาศาลเพียงใด พวกมันเหมือนกับมหาสมุทรที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องใช้กลิ่นอายของต้นอ่อนเงาทมิฬ จึงจะสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย
แต่กลับยังมีคนอื่นที่สามารถผ่านกองทัพมดสัมฤทธิ์จำนวนมหาศาลและมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว ดังนั้นจะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไร?!
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ใช่คนเดียวที่มีบางอย่างให้พึ่งพา และคนที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ ก็คงมีเคล็ดวิชาลับของตัวเองเช่นกัน”
เฉินซีดูจะตกอยู่ในห้วงความคิด เพราะถ้าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับมดสัมฤทธิ์ แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็อาจติดอยู่ในวงล้อมของกองทัพมดจนตายได้
อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้สามารถมาถึงที่นี่ได้ก่อนเขา ดังนั้นพวกเขาจะต้องมีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ข้อสันนิษฐานเป็นจริงดังที่เฉินซีสรุปไว้ เมื่อมาถึงหน้าพระราชวังและเห็นรูปร่างหน้าตาของคนเหล่านี้อย่างชัดเจน ในใจของชายหนุ่มก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาในทันที!
มีผู้เยี่ยมยุทธ์ประมาณสี่สิบหรือห้าสิบคนกำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของพระราชวัง พวกเขามาจากนิกายเซียน นิกายอสูรและเผ่าจากยุคบรรพกาล คนทั้งหมดต่างกระจายกันไปตามกองกำลังที่ตนสังกัด ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันขึ้น
เห็นได้ชัดว่า เหตุผลที่พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขก่อนหน้านี้ได้ ก็เป็นเพราะประตูสู่พระราชวังแห่งการรังสรรค์ยังไม่เปิด มิฉะนั้นคงแทบไม่มีทางที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น!
ที่น่าตกใจคือ เฉินซีเห็นร่างของนักพรตเต๋าสุริยันชาดแห่งนิกายฟ้ากำเนิด เหลิ่งฉานเอ๋อร์แห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์ เหวินเต้าหรานแห่งหอกระบี่สยบดวงใจและคนอื่น ๆ อีกมากมายในหมู่คนเหล่านี้ ทั้งสามคนนี้มาจากกองกำลังที่แตกต่างกันของสิบนิกายเซียนอันยิ่งใหญ่ และพวกเขายืนอยู่คนละมุม อีกทั้งยังถูกรายล้อมด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์จากกองกำลังของพวกเขา ทำให้คนทั้งสามดูโดดเด่นเป็นสง่า ราวกับพระจันทร์ใสกระจ่างที่ถูกรายล้อมด้วยหมู่ดารา
และด้วยการเหลือบมองเพียงครั้งเดียว เฉินซียังสังเกตเห็นร่างของซางเชวี่ยที่อยู่ด้านข้างของเหวินเต้าหรานแห่งหอกระบี่สยบดวงใจอีกด้วย
ศิษย์จากตระกูลซางคนนี้ถือได้ว่าโชคดี ในตอนที่พวกเขาอยู่ที่สมรภูมิบรรพกาล คนผู้นี้ได้รับการช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น คนคนนี้คงตายด้วยน้ำมือของเฉินซีไปตั้งนานแล้ว
นอกจากสามนิกายเซียนที่นักพรตเต๋าสุริยันชาด เหลิ่งฉานเอ๋อร์และเหวินเต้าหรานเป็นตัวแทนแล้ว ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ จากนิกายอสูรและเผ่าจากยุคบรรพกาล ซึ่งต่างจับกลุ่มเป็นของตัวเอง ทำให้เกิดสถานการณ์ที่นิกายเซียน นิกายอสูร และเผ่าบรรพกาลเผชิญหน้ากันขึ้น!
เหตุการณ์ดังกล่าวคล้ายกับการกระจายกองกำลังในแดนภวังค์ทมิฬอย่างน่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็นสิบนิกายเซียนอันยิ่งใหญ่ หกนิกายอสูร หรือเผ่าจากยุคบรรพกาล กองกำลังทั้งสามต่างเผชิญหน้ากันจากระยะไกลและก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมแห่งการเผชิญหน้า พวกเขาทั้งหมดมีความขัดแย้งและแก่งแย่งชิงดีกันไม่มากก็น้อย
“มีคนเข้าไปในพระราชวังแห่งการรังสรรค์แล้ว เจ้าไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไป เพราะเหลืออีกแค่วันเดียว ด่านแห่งความลึกล้ำก็จะเปิดออก!” หม้อใบจิ๋วกล่าวเตือนขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ผู้ที่เข้าไปคงไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพหรอกกระมัง?” หัวใจของเฉินซีสั่นไหว จากนั้นจึงถอนสายตาจากการประเมินสถานการณ์รอบข้าง ในขณะนี้ ตัวเขายังไม่ได้เข้าใกล้พระราชวังแห่งการรังสรรค์ และชายหนุ่มก็ยังคงยับยั้งกลิ่นอายในขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดที่ไกลออกไป
“เป็นไปได้ เอาล่ะ จงเตรียมตัวให้พร้อม เพราะประตูพระราชวังจะเปิดในอีกช่วงก้านธูป เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ มิฉะนั้น ครั้งต่อไปจะเปิดในอีกเจ็ดวันนับจากนี้ และทุกอย่างจะสายเกินไป” หม้อใบจิ๋วเอ่ยปากตอบ
“ผู้อาวุโส โปรดอย่าได้กังวล ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะนำผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลมามอบให้แก่ท่านอย่างแน่นอน” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และมีสีหน้าที่มั่นคงเด็ดเดี่ยว
ทันทีที่กล่าวจบ ชายหนุ่มก็กลายเป็นลำแสงพุ่งไปยังด้านหน้าของพระราชวัง ซึ่งด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เฉินซีย่อมไม่กลัวใครก็ตามที่อยู่ที่นี่!
ฟุ่บ!
ลำแสงพุ่งผ่านท้องฟ้าและดึงดูดความสนใจจากหลาย ๆ คนที่อยู่หน้าพระราชวังทันที
“เฉินซี! เป็นเจ้าได้อย่างไรกัน” เหลิ่งฉานเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจ รูปลักษณ์ของนางเหมือนภาพวาด ผมอันสวยงามของนางปล่อยลงมาหลวม ๆ ราวกับน้ำตก ทำให้หญิงสาวมีเสน่ห์ราวกับดอกกุหลาบที่บานสะพรั่ง สง่าและงดงาม
“แล้วเหตุใดข้าถึงมาที่นี่ไม่ได้?” เฉินซีชำเลืองมองไปที่เหลิ่งฉานเอ๋อร์และตอบคำถาม
ขณะกล่าว ชายหนุ่มก็ร่อนลงมาที่ด้านหน้าพระราชวังและยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว แม้ว่าเขาจะดูโดดเดี่ยว แต่เฉินซีก็ได้สร้างความรู้สึกที่แตกต่างกับผู้เยี่ยมยุทธ์จากกองกำลังอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน
เหลิ่งฉานเอ๋อร์ตกตะลึง จากนั้นนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพียงประหลาดใจเล็กน้อย”
เฉินซีจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
จากปฏิกิริยาของหญิงสาว ทำให้เขายืนยันสิ่งหนึ่งได้ว่า นางต้องรู้เรื่องที่เยี่ยนสือซานวางแผนจัดการเขาอย่างแน่นอน มิฉะนั้น นางจะไม่รู้สึกประหลาดใจมากนักเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวที่นี่
“เขาคือเฉินซี?” ที่อีกด้านหนึ่ง เสียงใสกังวานก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นว่า คนที่กล่าวนั้นมีดวงตาที่ใสสกาวราวกับดวงดาว ใบหน้าขาวราวกับหยก จมูกโด่งเป็นสัน และแผ่กลิ่นอายโอ่อ่าที่สูงตระหง่านเทียมฟ้า และนั่นทำให้อีกฝ่ายดูคล้ายราชาที่เสด็จมายังที่แห่งนี้ บุคคลนี้เป็นผู้บ่มเพาะกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้จากหอกระบี่สยบดวงใจ เหวินเต้าหราน!
“ใช่แล้ว มันคือโจรชั่วอันน่าชิงชัง ซึ่งฆ่าศิษย์ของตระกูลซางของข้าอย่างโหดเหี้ยม และแม้แต่นายน้อยซางคุนก็ยังเสียชีวิตด้วยน้ำมือของมัน!” ที่ด้านข้างของเหวินเต้าหราน ซางเชวี่ยยืนกัดฟันแน่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “ศิษย์พี่เหวิน นายน้อยของข้าเป็นหลานชายที่บรรพบุรุษจื่อหมิงโปรดปรานเป็นที่สุด ท่านต้องแก้แค้นให้กับเขานะขอรับ!”