บทที่ 668 กองประตู
บทที่ 668 กองประตู
ทุกคนต่างรับรู้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของซางเชวี่ยได้ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเฉินซีคือใคร ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังชายหนุ่มที่เพิ่งมาถึงด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่านอาจารย์ลุงจื่อหมิงอยู่มากนัก เมื่อหลานชายของเขาถูกรังแกจนตาย ในฐานะผู้น้อย ข้าก็ย่อมมีหน้าที่ให้ต้องทำ”
ดวงตาของเหวินเต้าหรานกะพริบถี่ กระบี่นับพันเล่มก็ปรากฏขึ้นภายในนั้น ร่างกายของเขากลายเป็นดั่งกระบี่คมกริบที่ได้รับการขัดเกลาและลับคมมาเป็นอย่างดี
ชั่วอึดใจต่อมา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เฉินซี ในขณะที่พูดขึ้นอย่างเย็นชา “สหาย ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ในเมื่อเจ้าได้ทำให้คนของหอกระบี่สยบดวงใจของข้าขุ่นเคืองแล้ว เจ้าก็ต้องชดใช้ความผิดนี้ด้วยความตาย ข้าจะให้โอกาสเจ้า จงคุกเข่าลงรับความตาย แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าได้ตายอย่างรวดเร็ว”
เสียงของเหวินเต้าหรานเป็นเหมือนน้ำแข็งเย็นเยือกที่แฝงด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว และแรงกดดันอันท่วมท้นที่แผ่ออกมาก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ เหวินเต้าหรานคือผู้บ่มเพาะกระบี่ที่ไม่มีใครเทียบได้จากหอกระบี่สยบดวงใจ ผู้เป็นเสมือนกระบี่ที่ดุร้ายและเอาแต่ใจ ผู้ไม่ยินยอมเปิดโอกาสให้ผู้อื่น
ใบหน้าของเหลิ่งฉานเอ๋อร์ดูแปลกไปเล็กน้อย ครั้งหนึ่งนางเคยเห็นเฉินซีแสดงความกล้าหาญในการต่อสู้ ด้วยพลังที่เหนือล้ำ และเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนในชั้นบนสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็ง กระทั่งกล้าทุบตีแม้แต่สมาชิกของตระกูลไป๋แห่งเทือกเขาหนามม่วงด้วยซ้ำ ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มจัดได้ว่าอยู่ในระดับสูงสุดของกลุ่มคนรุ่นเดียวกันไปแล้ว
และการที่เหวินเต้าหรานขอให้ตัวตนเช่นนี้คุกเข่าลงรับความตายแต่โดยดี มันก็ทำให้นางรู้สึกว่าคนผู้นี้เอาแต่ใจและหยิ่งผยองยิ่งนัก
“คุกเข่าลงรับความตาย? มันจะไม่ง่ายเกินไปหรือ?”
ด้วยความช่วยเหลือของเหวินเต้าหราน ซางเชวี่ยจึงได้กล้าหาญขึ้นมา เขาจ้องมองไปที่เฉินซีด้วยความไม่พอใจระคนอิ่มเอมใจ ขณะที่กัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าขอแนะนำให้หั่นมันผู้นี้เป็นชิ้น ๆ จากนั้นดึงวิญญาณของเขาออกมาผนึกไว้ในเพลิงยมโลกชำระบาป ให้รับความทรมานจากเปลวไฟและไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้อีกชั่วนิรันดร์!”
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง สหายผู้นี้ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว!
แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากนิกายอสูรก็ยังประหลาดใจ พวกเขาไม่คิดเลยว่าศิษย์จากหอกระบี่สยบดวงใจคนนี้จะโหดเหี้ยมยิ่งนัก วิธีการที่โหดเหี้ยมเช่นนี้โหดร้ายกว่าการสังหารอีกฝ่ายเป็นร้อยเท่าพันเท่า
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เหวินเต้าหรานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน แต่ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ตราบใดที่เขายอมรับความตายอย่างเชื่อฟัง ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ากล้าต่อต้านคำพูดของข้า เราจะทำตามวิธีของเจ้า”
ในขณะที่พวกเขาพูดกันด้วยความเย่อหยิ่งตามปกติอย่างผ่อนคลายและสบายใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งสองคนไม่ได้ให้ความสำคัญกับเฉินซีเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งคนทั้งคู่นั้นอยู่เหนือกว่าราวกับว่าชีวิตและความตายของชายหนุ่มถูกควบคุมภายในฝ่ามือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด
ในเวลานั้น เฉินซียังคงมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางและสีหน้าที่สงบนิ่ง จนกระทั่งเหวินเต้าหรานกล่าวจบ เขาจึงหัวเราะขึ้นเบา ๆ ในทันใด หากแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของชายหนุ่มนั้นกลับเยือกเย็นสุดขั้วหัวใจ
“หือ? เจ้าหนู เจ้ายังกล้าหัวเราะอีกรึ? เจ้ากำลังจะต้องเผชิญกับความตาย…” ซางเชวี่ยตะลึงและตะโกนออกมาอย่างหงุดหงิด
แคร็ก!
คำพูดของเขาหยุดชะงักทันทีราวกับเป็ดที่ถูกบีบคอ ด้วยถูกกักขังไว้ในสนามพลังที่ไร้รูปร่างอันทรงพลัง เสียงแตกหักดังก้องไปทั่วร่างซางเชวี่ยจากขาที่หัก จนกระทั่งตัวคนล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น
คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย!
หัวใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างสั่นสะท้าน เมื่อรู้สึกได้ถึงสนามพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่พวยพุ่งออกมาจากเฉินซี ราวกับมังกรทะยานออกจากรังของมัน ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการกักขังอันเยือกเย็นและไร้ความปรานี!
เหลิ่งฉานเอ๋อร์ตกตะลึงมากยิ่ง นางตระหนักดีว่าเฉินซีในยามนี้น่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่นางเคยเห็นที่ชั้นบนสุดของตำหนักเมฆาเยือกแข็งเสียอีก ราวกับว่าเขาได้เกิดใหม่และกลายเป็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้ว
พรวด!
ซางเชวี่ยไม่เคยคาดคิดเลยว่า ก่อนที่เฉินซีจะคุกเข่าลง กลับเป็นตัวเขาที่ต้องคุกเข่าลงก่อน ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วทั้งร่าง… ผสานรวมกับโทสะที่มากล้นจนกระเทือนหัวใจ… ทำให้ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมา เขาโกรธมากจนใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด!!!
เขาต้องการจะยืนขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าพื้นที่รอบตัวถูกจำกัด คล้ายกับมีภูเขาลูกมหึมากำลังกดทับร่าง ไม่ต้องพูดถึงการยืนขึ้น มันไม่มีแม้แต่ที่ว่างให้ได้สู้กลับแม้แต่น้อย ทำให้ซางเชวี่ยทั้งตกใจและโกรธ จนกระอักเลือดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เจ้า…”
เหวินเต้าหรานไม่คาดคิดว่า เฉินซีจะลงมือกับซางเชวี่ยต่อหน้าต่อตาเขาได้อย่างเด็ดเดี่ยวและไร้ความปรานีเช่นนี้ นี่มันไม่ต่างกับการตบหน้าเขาตรง ๆ เลยสักนิด!
หากวันนี้เขาไม่จับและสังหารคนผู้นี้เสีย ชื่อเสียงและหน้าตาของเขาก็คงไม่เหลืออีกแล้ว!
“ระเบิด!”
ทว่าก่อนที่จะได้เคลื่อนไหว เฉินซีผู้อยู่อีกด้านหนึ่งก็พูดขึ้นอีกครั้ง คำพูดนั้นราวกับเสียงฟ้าร้องที่ปลดปล่อยพลังอันน่ากลัวออกมา มันดังก้องสะท้อนไปในแก้วหูของทุกคนที่อยู่ตรงนั้น
โผละ!
กลุ่มเลือดสาดกระเซ็นเป็นสายฝนท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างของซางเชวี่ยผู้คุกเข่าอยู่บนพื้นระเบิดเป็นฝนโลหิตกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง ประหนึ่งถูกสัตว์ร้ายโบราณฉีกกระชากในทันใด ฉากการตายของเขาช่างน่าสมเพชและน่าสยดสยองอย่างยิ่ง มันดูไม่ต่างอะไรกับการถูกประหารชีวิตด้วยการตัดร่างเป็นชิ้น ๆ เลย
“หาที่ตาย เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!”
เหวินเต้าหรานตะโกน การแสดงออกของเขามืดมนยิ่ง ร่างกายของเจ้าตัวเต็มไปด้วยเจตจำนงกระบี่ที่ดุร้ายอย่างไม่มีใครเทียบ มันบีบตัวกันอย่างหนาแน่นราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก ดุจกระบี่ที่คมยิ่งกว่าสิ่งใดได้ถูกปลดออกจากฝักเพื่อทำลายล้างทุกสิ่ง
สิ่งนี้ทำเอาทุกคนใจสั่น รีบหลบหนีออกไปห่าง ๆ เพราะเกรงว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วย
ทว่า… การท่าทางของเฉินซีกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาสงบและไม่เร่งรีบ แม้ว่าเหวินเต้าหรานจะแข็งแกร่ง แต่กลิ่นอายของอีกฝ่ายก็ยังนับว่าด้อยกว่าเยี่ยนสือซานอยู่เล็กน้อย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
ครืน!
อย่างไรก็ตาม เมื่อการต่อสู้ระหว่างทั้งสองกำลังจะเริ่มขึ้น ทันใดนั้น เสียงสั่นสะเทือนที่เขย่าโลกก็ดังก้องขึ้นกลางคัน ประตูสู่พระราชวังแห่งการรังสรรค์ได้เปิดออกแล้ว!
“ในที่สุดมันก็เปิดออก!” ทุกคนอุทานด้วยความประหลาดใจ ความสนใจของพวกเขาถูกเบี่ยงเบนจากเฉินซีและเหวินเต้าหรานไปยังด้านในของวังลึกลับในทันที
ทางเข้าที่ดูจะสร้างขึ้นจากไม้โบราณเปิดออกอย่างฉับพลัน มันเปล่งแสงพร่างพราวอย่างยิ่งออกมา ปราณมงคลและแสงศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากทะลุมาจากข้างในพร้อมกับเสียงบทสวดบูชา
ในยามนี้ ราวกับว่าพวกเขาได้กลับไปสู่ยุคบรรพกาล เหล่าทวยเทพต่างสวดมนต์ เสียงอันศักดิ์สิทธิ์ดังผ่านหู กลิ่นอายลึกลับของมหาเต๋าลอยอยู่ภายในความว่างเปล่าอย่างหนาแน่น
ประตูของพระราชวังแห่งการรังสรรค์ได้เปิดออกอย่างสมบูรณ์ แสงหลากสีสันที่ไหลเวียนอยู่ภายในนั้นดึงความสนใจของทุกคนไป ทำให้พวกเขาไม่อาจยับยั้งตัวเองได้อีก ต่อไปและพุ่งเข้าหาประตูโดยพร้อมเพรียงกัน
พวกเขารออยู่ที่นี่มานานแล้ว และรู้ว่าหลังจากประตูพระราชวังเปิดออก มันจะปิดลงอีกครั้งในเวลาอันสั้น แล้วพวกเขาจะยังมัวลังเลอยู่ได้อย่างไร?
เฉินซีกับเหวินเต้าหรานเองก็แยกทางเช่นกัน แม้ว่าเหวินเต้าหรานจะเกลียดชังเฉินซีเพียงใด แต่ ณ เวลานี้ไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าราชวังที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับสูงทิ้งเอาไว้อีกแล้ว เขาโหยหามรดกสูงสุดภายในวังอย่างมาก และตั้งใจแน่วแน่ที่จะคว้ามันมาให้ได้!!
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การตายของซางเชวี่ยไม่ได้มีความสำคัญอะไร และมันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะฆ่าเฉินซีทิ้งหลังจากเข้าไปภายในวังแล้ว
“เจ้าหนู ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักพัก แล้วข้าจะไปปลิดชีวิตเจ้าในภายหลัง!” เหวินเต้าหรานเหลือบมองเฉินซีอย่างเย็นชา ก่อนจะกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่พระราชวังอย่างรวดเร็ว
“ยโสโอหังนัก!” เฉินซีส่ายหัว และกระโดดเข้าไปในโถงพระราชวังเช่นกัน
ครืน!
เมื่อทุกคนเข้าไปในพระราชวังแห่งการรังสรรค์แล้ว ประตูใหญ่ของวังก็ปิดลงอีกครั้ง
…
“สวรรค์! มันช่างเป็นบ่อน้ำอมตะที่มีขนาดใหญ่เสียจริง!”
นี่คือโถงวังที่กว้างใหญ่และโอ่อ่า ปราณวิญญาณที่ปกคลุมอยู่ในอากาศอย่างหนาแน่นพุ่งเข้าปะทะจมูก ในขณะที่สระน้ำอันน่าอัศจรรย์ตั้งอยู่ใจกลางห้องโถง
เมื่อเข้ามา พวกเขาก็สังเกตเห็นทันทีว่ามีสระน้ำอมฤตอยู่จริง ๆ!
น้ำอมฤตสีทองส่งกลิ่นหอมสดชื่นอ่อน ๆ ออกมา มันขุ่นเหมือนน้ำนมที่มีสีทอง มันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของมหาเต๋า ทำให้ดูเหมือนว่าผู้ใดก็สามารถขึ้นเป็นเซียนได้หากได้ดื่มมันแม้เพียงสักอึกหนึ่ง
ฟุ่บ!
สมบัติวิเศษชนิดต่าง ๆ ปรากฏออกมาในทันทีที่ทุกคนลงมือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ เพื่อเป็นคนแรกที่ได้รวบรวมน้ำอมฤต นี่เป็นน้ำอมฤตที่แท้จริง พลังของมันเพียงแค่หยดเดียวก็มีค่ามากกว่าศิลาอมตะหลายเท่าแล้ว!
มันจึงหายากมากและมีค่ายิ่ง
แค่น้ำอมฤตในสระเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับสมบัติอมตะในโลกภายนอกได้แล้ว
นี่คือรากฐานทรัพยากรของพระราชวังแห่งการรังสรรค์ มันไม่ใช่สิ่งที่อาณาจักรลับทั่วไปจะเทียบเคียงได้อย่างแน่นอน สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในนั้นย่อมน่าตกตะลึงและมีมูลค่าที่ไม่อาจจินตนาการได้
เฉินซีเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน เขาใช้มหาเต๋าแห่งการกลืนกินของทักษะก่ออัสนีผสานดารา คว้ามันด้วยมือของเขา ราวกับคุนเผิงกลืนสมุทร ชายหนุ่มจึงสามารถปล้นเอาน้ำอมฤตส่วนใหญ่ในสระมากกว่าครึ่งไปได้ เมื่อนับแล้วอย่างน้อย ๆ ก็มากถึงหนึ่งหมื่นจิน
สิ่งนี้กระตุ้นความไม่พอใจของผู้อื่นในทันที
“ความโลภของเจ้าไม่มีขอบเขตเกินไปแล้ว ส่งมันมาให้ข้าเสีย!” บางคนที่ไม่สามารถอดทนได้เคลื่อนไหวโจมตีเฉินซี ด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าเขาและเพื่อฉกชิงน้ำอมฤตไปเป็นของตัวเองในทันที
“ไสหัวไป!”
เฉินซีตะโกน เสียงที่ดังก้องสั่นสะเทือนเต๋ารู้แจ้งทั่วร่างของชายหนุ่ม เปลี่ยนให้มันกลายเป็นวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ที่ขดล้อมรอบตัวเขาไว้ ราวกับดวงอาทิตย์ที่หมุนวนอยู่รอบตัว ต้านทานการโจมตีทั้งหมด
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวไปข้างหน้า
พลั่ก!
เขาส่งคนที่เคลื่อนไหวต่อต้านเหล่านั้นลอยออกไป ทำให้คนเหล่านั้นกระอักเลือดออกมาไม่หยุด และมองมาที่ชายหนุ่มราวกับมองดูสัตว์ประหลาดด้วยสายตาที่เต็มไปความหวาดกลัว!
ใครจะไปคิดว่าสหายที่เพิ่งมาถึงคนนี้จะน่าเกรงขามเช่นนี้กัน?
ครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากนิกายเซียน นิกายอสูร หรือชนเผ่าจากยุคบรรพกาล ต่างได้ตระหนักถึงความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของชายหนุ่มอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดแสดงสีหน้าหวาดกลัว และไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มอีกต่อไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสถานที่แห่งนี้… คือพระราชวังแห่งการรังสรรค์ที่มีสมบัติที่ไม่มีใครรู้จักอยู่มากมาย! มันไม่ฉลาดเลยที่พวกเขาจะมัวแต่สร้างปัญหาให้กับเฉินซี เพราะถ้ามีใครฉวยโอกาสนี้และช่วงชิงสมบัติเหล่านั้นมาก่อน มันก็คงจะสายเกินไปที่พวกเขาจะเสียใจ
ในเวลาไม่นาน น้ำอมฤตในสระก็ถูกแบ่งออกไปจนหมด บรรยากาศที่ตึงเครียดก็ผ่อนคลายลงมาก
หลังจากมองไปรอบ ๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ตระหนักว่ารอบห้องโถงใหญ่นี้มีประตูนับพันตั้งอยู่ ราวกับทางเข้าของเขาวงกตที่น่าตื่นตาตื่นใจ จนพวกเขามึนงงและไม่รู้ว่าควรจะเข้าประตูไหนดี
“มีประตูมากมายเกินไปแล้ว! ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าประตูบานใดกันที่จะนำไปสู่สถานที่ที่มีมรดกสืบทอดของผู้เยี่ยมยุทธ์จากมหาอำนาจสูงสุดของยุคบรรพกาลเก็บเอาไว้?” บางคนขมวดคิ้ว และเสียหน้าเล็กน้อยกับสิ่งที่ต้องทำ
“ยากอะไรเล่า? ไม่ใช่ว่าบรรพบุรุษของเราเคยได้เข้ามาแล้วหรอกหรือ? ตราบใดที่ระมัดระวัง เราก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงเบาะแสที่บรรพบุรุษของเราทิ้งไว้ได้อย่างแน่นอน” ใครบางคนพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา
“บรรพบุรุษ?” เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าคนที่พูดก่อนหน้านี้เป็นศิษย์ของนิกายฟ้ากำเนิด ที่มีนักพรตเต๋าสุริยันชาดตามมาด้วย
นอกจากนี้ชายหนุ่มยังสังเกตเห็นว่าหลังจากกองกำลังอื่นได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเขาส่วนใหญ่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับว่ารู้เรื่องนี้อยู่แต่แรก
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าขุมอำนาจเหล่านี้ที่นำโดยบรรพบุรุษผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี เคยเข้าสู่พระราชวังแห่งการรังสรรค์มาก่อนหน้านี้แล้ว?” เฉินซีขมวดคิ้ว และเขารู้สึกว่าการคาดเดาของตนคงไม่ได้ห่างไกลจากความจริงนัก
“ดูเหมือนข่าวที่ว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจะไม่เข้าร่วมก่อนหน้านี้นั้นไม่อาจเชื่อได้ทั้งหมด…” การค้นพบนี้ทำให้หัวใจของเฉินซีตึงเครียด ถ้านี่เป็นเรื่องจริง ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็จะถูกเพิ่มเข้ามาในกลุ่มคู่แข่งของเขาด้วย …เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มปวดหัวแล้ว!
อันที่จริง แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็ชัดเจนแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดินแดนสมบัติที่ปรากฏขึ้นหนึ่งครั้งในรอบหมื่นปี แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังอาจถูกล่อลวง แล้วนับประสาอะไรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี?
“ไปกันเถอะ!”
ทันใดนั้น รอยยิ้มตื่นเต้นที่มุมปากของเหลิ่งฉานเอ๋อร์ก็หายไป ราวกับว่านางสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็พุ่งตรงเข้าไปในประตูบานหนึ่งทันที
ในเวลานี้เอง กองกำลังอื่น ๆ ก็เริ่มทำเช่นเดียวกัน พวกเขาจากไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังประตูบานต่าง ๆ ก่อนจะหายไปในทันที
ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เฉินซีก็กลายเป็นเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ในโถงพระราชวังขนาดใหญ่แห่งนี้