บทที่ 680 เจดีย์สยบสวรรค์
บทที่ 680 เจดีย์สยบสวรรค์
ผู้หญิงคนนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง นางมีรูปลักษณ์ที่สวยงามหาที่เปรียบมิได้ แต่กลับมีบุคลิกที่เยือกเย็นและโหดเหี้ยม ผนวกกับความแข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานแล้ว นางก็เปรียบเสมือนเทพีแห่งการสังหาร!
ตั้งแต่เขาเริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เฉินซีได้พบกับคู่ต่อสู้หญิงที่ยากจะรับมือมามากมาย แต่เสวียนขุยเป็นคู่ต่อสู้หญิงคนแรกที่แข็งแกร่งจนเขาไม่สามารถต้านทานได้
การโจมตีของนางนั้นดูง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ราวกับว่ามันทะลวงผ่านขอบเขตของอวกาศและล้อมรอบด้านเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือหลบหนีได้เลย จนในท้ายที่สุด ชายหนุ่มก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเกือบเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำให้เฉินซีรู้สึกสบายใจเล็กน้อยนั่นคือหม้อใบจิ๋วได้ฉวยโอกาสนี้คว้าเอาผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลมา และกำลังสกัดกลั่นมัน ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าอีกไม่นานนักที่หม้อใบจิ๋วจะระเบิดพลังที่น่าตกใจออกมา และบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสองนี้
ทว่าฉากต่อมากลับทำให้หัวใจของเฉินซีแทบดิ่งลงเหว เพราะเสวียนขุยพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง โดยไม่แม้แต่จะให้โอกาสชายหนุ่มพักหายใจด้วยซ้ำ!
“เจ้าตัวเล็กที่แสนอ่อนแอ กล้าที่จะเล่นตลกกับข้า? หากข้าไม่ขยี้เจ้าทิ้งเสีย มันคงจะยากที่จะกำจัดความเกลียดชังในใจข้า!” เสวียนขุยคำรามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก ดวงตาที่เย็นชาของนางเต็มไปด้วยจิตสังหาร หญิงสาวยกมือขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะทำลายล้างเฉินซีให้สิ้น
ณ ช่วงเวลาวิกฤตนี้ จู่ ๆ เสียงกัมปนาทที่สั่นสะเทือนท้องฟ้าก็ดังก้องขึ้นอย่างฉับพลัน จากนั้นกระแสลมที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งก็พัดหมุนวนไปรอบแท่นบูชา เศษหินเศษทรายปลิวว่อน พลังงานอันน่าสะพรึงกลัวพัดกระหน่ำเอาทุกสิ่งลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า โยนทุกอย่างรอบข้างเข้าสู่ความโกลาหล
ความรู้สึกนี้ราวกับว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ไร้เทียมทานได้ตื่นขึ้นจากความเงียบงัน และยืนขึ้นอย่างภาคภูมิ เผยให้เห็นรัศมีที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งสามารถเขย่าสวรรค์ทั้งเก้าและสิบแผ่นดินได้
“หืม?” ดวงตาของเสวียนขุยทอประกาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ในที่สุด ข้าก็สังเวยคนพื้นเมืองทั้งหมดให้กับค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วได้สำเร็จแล้ว เสวียนขุย มาช่วยข้าทำลายเจดีย์ทองสัมฤทธิ์นี้เร็วเข้า!”
ท่ามกลางความโกลาหล เสียงอันเยือกเย็นและดุร้ายของเสวียนเฉินก็ก้องขึ้นมา มันเต็มไปด้วยความสุขและความอิ่มเอมใจ
“ได้ ข้ากำลังไป!”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเสวียนขุย นางไม่สนใจเฉินซีอีกต่อไป ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อและส่งลำแสงสีดำให้พุ่งเข้าหาอีกฝ่าย จากนั้นก็หันหลังกลับและจากไป
ในความเห็นของนาง แค่การโจมตีครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะฆ่าเฉินซีแล้ว
ท้ายที่สุด ชาวพื้นเมืองตัวน้อยที่อ่อนแอคนนี้ก็ใกล้จะตายแล้ว คงเป็นเรื่องแปลกหากการโจมตีครั้งนี้จะไม่สามารถฆ่าเขาได้
ฟุ่บ!
โชคไม่ดีที่เสวียนขุยไม่ทันสังเกตเห็นว่า เมื่อแสงสีดำที่นางยิงออกไปกำลังจะถึงกึ่งกลางหน้าผากของเฉินซี ทันใดนั้น แสงกระบี่ไร้รูปร่างก็พลันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นจึงฟันลงมา ทำลายแสงสีดำอย่างสมบูรณ์และง่ายดาย
กระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น มันรวดเร็วมากเสียจนเฉินซียังไม่ทันตอบสนองต่อแสงสีดำที่คุกคามถึงชีวิต แสงที่ว่าก็ได้สลายไปสิ้นแล้ว!!
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกสิ่งเงียบงันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ราวกับหิมะที่ละลายหายไปในน้ำ ทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติและสงบมาก
ทว่าเมื่อเฉินซีผู้รอดพ้นจากความตายรู้สึกตัว เขากลับต้องอ้าปากค้างแทน เพราะแสงกระบี่นี้ไม่ใช่ฝีมือของเขา และไม่ใช่ของหม้อใบจิ๋วเช่นกัน แต่เป็นคนอื่น!
ใคร?
คนผู้นั้นสามารถจัดการกับการโจมตีนี้อย่างง่ายดายได้อย่างไร? นั่นคือการโจมตีร้ายแรงที่คุกคามถึงชีวิตของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเชียวนะ หากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีเป็นคนต่อต้าน คงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะทำลายมันลงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้!
เฉินซีมองไปรอบ ๆ อย่างตกตะลึง แต่เขาก็ไม่พบใครเลย
ทว่าในไม่ช้า เขาก็ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป และใช้ความพยายามอย่างยิ่งเพื่อโคจรปราณจ้าววิญญาณทั้งหมดในร่างกาย เร่งซ่อมแซมกระดูกที่หักและอาการบาดเจ็บทั่วตัว และในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มยังใช้พลังงานจากแดนฮุ่นตุ้น เพื่อควบคุมการไหลเวียนปราณแท้ภายในที่ใกล้จะเข้าสู่ภาวะผิดปกติให้สงบลง รวมถึงหล่อเลี้ยงเส้นลมปราณที่จวนเหือดแห้งให้ฟื้นคืนสภาพ
การจู่โจมของเสวียนขุยก่อนหน้านี้เกือบจะคร่าชีวิตเขาไปแล้ว แต่ยังนับว่าโชคดีที่การฝึกฝนร่างกายของชายหนุ่มนั้นแข็งแกร่งเพียงพอ และตราบใดที่แก่นวิญญาณของเขาไม่ถูกทำลาย เฉินซีก็สามารถเกิดใหม่จากเลือดแม้เพียงหยดเดียวได้ ซึ่งด้วยความช่วยเหลือของต้นอ่อนเงาทมิฬ เพียงครู่ต่อมาอาการบาดเจ็บของเขาก็ทรงตัวและดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างขั้นตอนนี้ หม้อใบจิ๋วก็บินกลับมาหาเขา และมันกำลังกลั่นและดูดซับผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่น่าเสียดาย… กระดองเต่าที่เสียหายนั้นได้ถูกเสวียนขุยขัดขวางและยึดเอาไป
ทว่าเฉินซีไม่ได้กังวลเท่าใดนัก เพราะหม้อใบจิ๋วได้ชิงผนึกแก้วศักดิ์สิทธิ์โกลาหลกลับคืนมาแล้ว และคงจะใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนที่มันจะรวมพลังที่น่าสะพรึงกลัวได้ถึงจุดที่มากพอจะบดขยี้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสองคนนั้นอย่างสมบูรณ์
ส่วนสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงในตอนนี้ นั่นคือฉากที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ไกล ๆ
เสวียนเฉินและเสวียนขุยที่ลอยอยู่กลางอากาศดูราวกับเทพปีศาจสองตนที่สวมอาภรณ์สีทองพลิ้วไหว ปล่อยผมยาวสลวย พวกเขายิงตราประทับที่ลึกล้ำและคลุมเครือมากมายไปยังค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วที่กำลังก่อตัว
ในไม่ช้า มหาค่ายกลก็ปะทุขึ้นพร้อมกับแสงสีเลือดที่ลุกโชน มันเริ่มม้วนตัวและคำรามอย่างรุนแรงดุจมังกรที่บ้าคลั่ง ก่อนจะควบแน่นกลายเป็นก้อนเมฆสีเลือดขนาดเท่าหินโม่ในท้ายที่สุด
อักขระยันต์ลึกลับปรากฏขึ้นบนเมฆสีเลือด ภูตผี สัตว์อสูร วิญญาณชั่วร้าย โครงกระดูก และภาพนิมิตอื่น ๆ ปรากฏขึ้นอยู่ภายในนั้นเป็นระยะ ๆ รัศมีชั่วร้ายที่ปกคลุมได้ย้อมเปลี่ยนสีสวรรค์และปฐพี
ทันทีที่มันปรากฏขึ้น เจดีย์ทองสัมฤทธิ์ที่สนิมเขรอะก็พังทลายลง
ปัง!
แสงสีเลือดพุ่งออกมาพร้อมเสียงระเบิด เสียงคำรามแผ่วเบาที่คลุมเครือและอธิบายไม่ได้ดังออกมาจากภายในเจดีย์ มันฟังดูแปลกประหลาดและน่าสยดสยอง ประหนึ่งเทพเจ้าที่คนจากต่างพิภพถวายบูชานั้นกำลังคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว
เจดีย์ทองสัมฤทธิ์สั่นสะท้านราวกับกำลังขุ่นเคือง ร่างกายที่เป็นสนิมและมีรอยด่างเปล่งประกาย พร้อมพ่นอักขระยันต์ลึกลับนับพันออกมาต่อต้านเมฆสีเลือดอย่างดุเดือด
“กล้าดีอย่างไรถึงมาต่อต้าน! พังไปซะ!”
เสวียนเฉินคำรามออกมา ดวงตาของเขาฉายแววแห่งความบ้าคลั่ง ก่อนจะพ่นแก่นโลหิตสีฟ้าลงไปในค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้ว ทำให้กลิ่นอายของเมฆสีเลือดหนาแน่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เจดีย์ทองสัมฤทธิ์พยายามดิ้นรน ทั้งร่างของมันเปล่งเสียงดังลั่น ราวกับว่ามันใกล้จะถูกทำลาย หากแต่รัศมีของมันยังคงน่ากลัว ทั้งยังเผยให้เห็นความเย่อหยิ่ง และความแน่วแน่ของการไม่ยอมจำนนแม้กระทั่งต่อหน้าความตาย
เฉินซีผู้เฝ้ามองอยู่ไกล ๆ รู้สึกตกใจอย่างมาก เพราะเขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสองดูเหมือนจะไม่ได้มาที่นี่เพื่อเอาเจดีย์ทองสัมฤทธิ์ไป แต่มาเพื่อทำลายมัน!
พวกเขาตั้งใจจะทำอะไร?
ของบางสิ่งอย่างเช่นเจดีย์ทองสัมฤทธิ์นับเป็นขุมทรัพย์อมตะที่หลงเหลือมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล มูลค่าของมันสูงกว่าสมบัติอมตะในปัจจุบันมาก แม้ว่าจะดูมีรอยด่างด้วยสนิมและมีจุดที่ได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ของมันที่คงอยู่มาตลอดยุคสมัยก็นับเป็นสิ่งที่สมบัติอมตะทั่วไปยังไม่สามารถเปรียบเทียบได้
แม้กระทั่งเฉินซีก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่า หากเซียนสวรรค์รู้เห็นถึงการมีอยู่ของเจดีย์ทองสัมฤทธิ์นี้เข้า พวกเขาก็คงสู้กันจนตัวตายเพื่อให้ได้มาครอง!
แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสองนี้กลับต้องการทำลายมันให้สิ้นซากเพื่ออะไรกัน? เป็นไปได้หรือไม่ว่าการมีอยู่ของเจดีย์ทองสัมฤทธิ์สามารถก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงต่อเผ่าพันธุ์จากต่างพิภพเหล่านี้ได้?
ตูม!
ในช่วงเวลาที่เฉินซีกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เจดีย์ทองสัมฤทธิ์ก็ถูกเมฆสีเลือดพุ่งชนจนปลิว รอยร้าวจำนวนมากปรากฏบนร่างที่มีรอยสนิม และดูคล้ายกับว่าพร้อมจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ทุกเมื่อ
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจดีย์สยบสวรรค์ เจ้าคิดว่าจะซ่อนตัวอยู่ในด่านแห่งความลึกล้ำได้นานแค่ไหนกัน? เมื่อหลายปีก่อน เจ้ากล้าที่จะปราบปรามจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้า แต่เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าวันนี้จะมาเยือนเจ้าบ้าง?” เสวียนเฉินหัวเราะด้วยความบ้าคลั่งและความอิ่มเอมใจ
“เลิกพูดไร้สาระ ทำลายมันทิ้งเร็ว ๆ เข้า! ความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นที่นี่มันมากเกินไปแล้ว หากกฎของเต๋าสวรรค์ในสามภพนี้สังเกตเห็น เราทั้งคู่ก็จะไม่มีที่ให้ซ่อนตัวได้แล้ว!” เสวียนขุยแสดงออกอย่างเย็นชาและเด็ดเดี่ยว
“ได้! มาทำงานของเราให้เสร็จและบดขยี้มันในคราวเดียวเถอะ!” เสวียนเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก การแสดงออกที่ไร้ความปรานีในดวงตาของเขาส่องประกายยิ่งขึ้น
เมื่อชายหนุ่มเห็นฉากนี้ ความวิตกกังวลก็แผดเผาในหัวใจของเฉินซีโดยไม่มีเหตุผล ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสได้ว่าหากเจดีย์ทองสัมฤทธิ์ถูกทำลายลงโดยผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสองนี้ ความโกลาหลครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
“เมื่อหลายปีก่อน เหล่าทวยเทพนำขบวนสำรวจออกไปนอกสามภพ และบดขยี้โลกต่างพิภพกว่าสามพันเผ่าพันธุ์ คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ทำให้เลือดสาดกระจายไปทั่วจักรวาล สร้างชื่อเสียงอันโด่งดังและยิ่งใหญ่ให้กับทั้งสามภพ แต่ตอนนี้คนต่างพิภพตัวเล็ก ๆ กลับกล้าที่จะเข้ามาสร้างปัญหา …ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะลืมบทเรียนในอดีตเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว?”
ในตอนที่เสวียนเฉินและเสวียนขุยกำลังจะโจมตีทำลายเจดีย์ทองสัมฤทธิ์ทิ้ง จู่ ๆ เสียงที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังก้องขึ้นมาในทันใด
หลังจากที่ได้ยินเสียงนี้ เฉินซีพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที เขาผ่อนคลายลง เพราะในที่สุดหม้อใบจิ๋วก็ลงมือเคลื่อนไหว และทำให้เขารู้สึกคาดหวังขึ้นมาอีกครั้ง!
“นั่นใคร!”
“ไสหัวออกมา!”
เสวียนเฉินและเสวียนขุยตกตะลึง ก่อนที่สีหน้าของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นมืดมน
“ข้าเป็นใคร? ลองตายดูแล้วเจ้าก็จะรู้เอง!” หม้อหยกปรากฏขึ้นในอากาศ พร้อมด้วยเสียงดังโครมคราม!
ตัวผิวหยกเป็นผลึกใสเต็มไปด้วยรัศมีแห่งสวรรค์ไหลเวียนอยู่ และกำลังเปล่งประกายด้วยความศักดิ์สิทธิ์ รอบ ๆ หม้อกลั่นมีแสงสีรุ้งนับพันลอยล่องอยู่ข้างรัศมีแห่งความเป็นมงคลจำนวนมหาศาล พร้อมทั้งอักขระยันต์ลึกลับที่พรั่งพรูออกมา เสียงสวดแผ่วเบาของทวยเทพทำให้เกิดรัศมีสูงส่งกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมไปทั่วทุกสิ่งในโลก
ทว่าน่าเสียดายที่บริเวณปากหม้อนั้นมีช่องว่างอยู่และยังคงมีข้อบกพร่อง แต่ถึงกระนั้นหม้อหยกนี้ก็ยังน่าเกรงขามจนถึงขีดสุด มันทำให้เสวียนเฉินและเสวียนขุยรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่อันตรายอย่างยิ่ง
สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมในทันที เพราะหม้อหยกใบนี้น่ากลัวเกินไป เพียงแค่รัศมีที่ปล่อยออกมาก็ทำให้หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านแล้ว
“เร็วเข้า! ข้าจะจัดการกับมัน ส่วนเจ้า จงทำลายเจดีย์สยบสวรรค์ซะ!” เสวียนเฉินระเบิดอารมณ์ตะโกนออกมา เขาพุ่งออกไปทางหม้อหยกด้วยสีหน้าจริงจัง
ในขณะเดียวกันเสวียนขุยก็เคลื่อนไหวเช่นกัน นางหยุดลงเหนือเมฆสีเลือด แสงสีดำอันไร้ขอบเขตห่อหุ้มอยู่รอบร่างของหญิงสาว นางกำลังถ่ายเทพลังที่บ่มเพาะมาทั้งหมดของตนลงในเมฆสีเลือด และสั่งให้มันทำลายเจดีย์สยบสวรรค์!
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ในเมื่อบังอาจขัดขวางแผนการของเรา เช่นนั้นก็จงตายเสีย!” เสวียนเฉินคำรามอย่างบ้าคลั่ง แขนที่สั่นเทาของเขาสร้างลำแสงสีดำที่แปลกประหลาดและเย็นยะเยือกออกมานับไม่ถ้วน ควบแน่นเป็นรูปแบบที่คลุมเครือและบิดเบี้ยวพุ่งเข้าหาหม้อหยก
“ตาย!”
หม้อใบจิ๋วเอ่ยเสียงเบาเพียงคำเดียว ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสวที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบได้ ก็พลันกวาดออกไปราวกับฉีกความว่างเปล่าออกจากกัน ก่อนที่จะปะทะเข้ากับร่างของเสวียนเฉินอย่างรุนแรง
เสียงเสียดสีอู้อี้ดังก้องออกมา ก่อนที่ร่างกายของเสวียนเฉินจะแหลกสลายราวกับกระดาษ ทั้งตัวของเขาแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดสีน้ำเงินกระเซ็นไปทั่วอากาศ เขาถูกฆ่าตายในจุดนั้นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!
แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ของหม้อใบจิ๋วนั้นจะอยู่ยงคงกระพัน แต่เฉินซีก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจอย่างมากเมื่อเห็นฉากนี้
ทรงพลัง!
ทรงพลังเกินไปแล้ว!
ถึงอย่างไรเสวียนเฉินก็ได้สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีด้วยค่ายกลแสงทมิฬแปดขั้วไปนับสิบคน! แต่ตอนนี้เขากลับถูกหม้อใบจิ๋วทุบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ช่างเป็นฉากที่น่าตกใจจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้จริง ๆ
“เสวียนเฉิน!”
รูม่านตาของเสวียนขุยเองก็ขยายออกทันทีที่เห็นฉากนี้ ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง หญิงสาวไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหม้อหยกที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจะมีพละกำลังที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้
ทว่าเพียงพริบตาต่อมา แววตามุ่งมั่นก็พลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่บอบบางและงดงามของนาง ราวกับว่าหญิงสาวได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้ว
“แสงแห่งความมืดจากยมโลก โปรดรับข้าเป็นเครื่องสังเวย เชื่อมโยงกับวิญญาณทั้งมวล เปลี่ยนเซียนและปีศาจทั้งหมดให้กลายเป็นเถ้าถ่าน เปลี่ยนความชั่วร้ายทั้งหมดให้กลายเป็นความว่างเปล่า…” เสียงบทสวดคาถาที่คลุมเครือและไม่อาจหยั่งรู้ได้ดังก้องออกมาจากปากของเสวียนขุย
จากนั้นเฉินซีก็เห็นว่าร่างกายของนางเริ่มไหม้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแสงมืดที่ลุกโชนและบินเข้าไปในเมฆสีเลือด
ปัง!
จู่ ๆ เมฆโลหิตก็พองตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หนาแน่นจนถึงจุดที่ดูเหมือนวัตถุบางอย่าง มันหมุนวนไปมา ขณะที่กลุ่มพลังงานชั่วร้ายที่ดูเหมือนคำสาปกำลังร่วงลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ปัง!
จากนั้นจึงบดขยี้เจดีย์ทองสัมฤทธิ์เป็นชิ้น ๆ!