บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 688 ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 688 ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า

บทที่ 688 ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า

บนพื้นดินกองไปด้วยศพเหยี่ยวกระดูกทั้งสามสิบเก้าตัวและสุนัขทมิฬเฝ้านรก

คนหนุ่มสาวในชุดหนังสัตว์ทั้งหลายต่างร้องยินดีอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขารู้สึกปลื้มปีติยินดี ซึ่งเห็นได้ชัดจากรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา

ในสายตาของพวกเขา อสูรร้ายเหล่านี้คืออาหารกองโต ซึ่งเป็นหลักประกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการอยู่รอด เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ต้องกังวลกับการอดอาหารอีกเป็นเวลานาน

ขณะนั้นเสี่ยวเฉินอยู่ด้านข้าง ใบหน้าเรียวเล็กของเด็กหญิงเผยความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนช่วยสำคัญของเผ่า แต่โชคร้ายที่เฉินซีไม่ได้มาด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงได้แบ่งปันความสุขนี้กับนาง…

เสี่ยวเฉินรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงตรงนี้

หลายวันที่ผ่านมา นางได้ดูแลเฝ้าไข้ชายหนุ่มที่ป่วยติดเตียงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะคำสั่งของท่านนักบวช อีกประการหนึ่งคือความสนุกที่ได้จากการสนทนากับเฉินซี

นางได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่รู้ในอดีตจากเฉินซี เหมือนเป็นการเปิดประตูไปสู่โลกที่เปล่งประกายระยับ แพรวพราว และงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจและแปลกใหม่ยิ่ง

ผนวกกับการปฏิบัติอย่างดีและอบอุ่นของเฉินซี ทำให้นางนับอีกฝ่ายเป็นมิตรสหายที่ดีโดยไม่รู้ตัว

ร่างของเหมิงเหวยกำยำและแข็งแกร่ง ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าคือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นพิเศษ เขาพุ่งเหมือนเสือดาวด้วยจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ ทะยานผ่านกองศพไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จากนั้น ความตกใจจะฉายชัดบนหน้าผากที่หยาบกว้างของเจ้าตัว “ข้าตรวจดูแล้ว ดวงวิญญาณของพวกมันแหลกละเอียดจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว กล่าวได้ว่าการบ่มเพาะจิตสัมผัสเทพของผู้ที่ทำสิ่งนี้ต้องน่าเกรงขามยิ่งกว่าเจ้ากับข้าเป็นหลายเท่าตัว!”

โม่ย่าชะงักงันหลังจากได้ยิน นางรู้สึกแปลกใจ “ใช้จิตสัมผัสเทพจู่โจม? หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นหมายความว่าจะต้องมีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก่งกาจมาก ๆ อยู่ใกล้เคียงใช่หรือไม่?”

เหมิงเหวยผงกศีรษะแล้วจึงรีบพูดว่า “เจ้าคิดหรือไม่… ว่านี่อาจเป็นฝีมือของน้องเฉินซี?”

“ฝีมือเขา?” โม่ย่างงงันไปครู่ ก่อนจะพูดจาดูถูก “ร่างที่อ่อนแอแบบนั้นจะรองรับจิตสัมผัสเทพมหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร? มันยังฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่าหากบอกว่าเป็นฝีมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพที่ผ่านมา เพราะมันไม่มีทางเป็นเขาแน่นอน!”

“โม่ย่า!” เหมิงเหวยขมวดคิ้วแน่น เขาโกรธและเผยความรู้สึกนี้ออกไปตรง ๆ ขณะกล่าวตำหนิด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าพูดถึงพวกต่างพิภพอีก!”

โม่ย่าเม้มปากเงียบกริบ เพราะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี และนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย

เหมิงเหวยสูดหายใจเข้าลึก พยายามกลับคืนสู่อารมณ์ปกติ ก่อนเหลียวมองหญิงสาวแล้วพูด “เอาล่ะ เก็บเสบียงและกลับไปที่ค่ายกัน”

ขณะกล่าว เจ้าตัวก็เริ่มสั่งให้พวกสหายน้อยทั้งหลายขนศพเหยี่ยวกระดูกเหล่านั้น ในขณะที่ตัวเขาแบกสุนัขทมิฬเฝ้านรกที่ใหญ่เหมือนวัวด้วยตัวเอง

ควันก่อตัวขึ้นจากจุดตั้งค่าย อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ที่ชวนน้ำลายสอภายในเวลาไม่นาน

เด็กและผู้ใหญ่นั่งขัดสมาธิบนพื้นพลางถือและกินเนื้อย่างฉ่ำสีเหลืองทอง บรรยากาศคึกคักอย่างยิ่ง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุขเสียจนยิ้มไม่หุบ

กำไรของพวกเขาในครั้งนี้มหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย เหยี่ยวกระดูกนับสิบกับสุนัขทมิฬเฝ้านรกเหล่านี้เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้วที่จะมีกินเป็นเวลานาน นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารไปชั่วคราว

ระหว่างทางมาถึงที่นี่ พวกเขายอมประหยัดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แต่กระดูกของอสูรก็ไม่ยอมทิ้งเพราะอยากจะนำไปทำซุปกระดูก แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้เนื้ออันโอชะมาครอบครอง ฉะนั้นจึงกินอย่างจุใจเพื่อเป็นการให้รางวัลตัวเอง

ท่ามกลางบรรยากาศที่พลุกพล่าน จู่ ๆ กระโจมหนังสัตว์ของท่านนักบวชก็เปิดออกจากข้างใน ชายชราที่ผอมโซจนเห็นกระดูกได้เดินออกด้านนอกมาอย่างงุนงง

ฟิ้ว!

ในทันทีที่เห็นชายชรา บรรยากาศที่จอแจและอึกทึกทั่วค่ายพลันหายไปกับสายลม กลายเป็นบรรยากาศที่เงียบกริบ ทุกสายตาที่จ้องมองไปยังชายชราล้วนเต็มไปด้วยความเคารพนับถือทั้งสิ้น

อีกทั้งพวกเขายังประหลาดใจเล็กน้อย ระหว่างการเดินทางในครั้งนี้ ท่านนักบวชไม่เคยก้าวออกมาจากกระโจมหนังสัตว์เลย ทว่ากลับออกมาในตอนนี้ หรือว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น?

ในเวลาไม่นานพวกเขาก็เข้าใจพอสังเขป เนื่องจากพวกเขาเห็นเฉินซี แขกของพวกเขากำลังตามหลังท่านนักบวชอย่างใกล้ชิด ดังนั้นหลายคนจึงคาดเดาว่าการปรากฏตัวของท่านนักบวชอาจเกี่ยวข้องกับคนคนนี้

ชายชราเดินไปที่ใจกลางที่ตั้งของค่าย แม้ว่าเขาจะผอมซูบเหมือนไม้เสียบผี แต่ก็มีรูปร่างที่สูงและมีท่าทางที่หนักแน่น แผ่กลิ่นอายอันทรงพลังที่ผู้ใดสัมผัสก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็นบุคคลตำแหน่งสูงโดยไม่ต้องสงสัย สายตาขุ่นมัวของชายชรากวาดมองทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ก่อนที่เขาจะพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าออกมาครั้งนี้เพื่อป่าวประกาศเรื่องเดียวเท่านั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เฉินซีจะเป็นผู้ดูแลในทุก ๆ เรื่องของเผ่าเรา โม่ย่ากับเหมิงเหวยจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเฉินซีด้วยเช่นกัน ทุกคนรับทราบชัดเจนหรือไม่?”

อะไรนะ? คนนอกผู้นี้จะมาเป็นหัวหน้าเผ่าในวันข้างหน้า?

ทุกคนตกตะลึงจนแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง

นี่มันไร้สาระสิ้นดี! เขาเป็นคนขี้โรคที่บาดเจ็บหนักและเกือบจะสิ้นชีพ เป็นคนนอกที่เพิ่งถูกเผ่าของเราพามารักษา จะมีสิทธิ์อะไรมาเป็นหัวหน้าเผ่าของพวกเรา?

สีหน้าของเหมิงเหวยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที เจ้าตัวขมวดคิ้วแน่น ด้วยเขาไม่อาจคาดเดาหรือหยั่งได้ว่าเหตุใดท่านนักบวชที่เคารพรักจึงออกมาประกาศเรื่องเช่นนี้ ณ เวลานี้

หรือว่าท่านนักบวชจะไม่พอใจข้าในฐานะหัวหน้าเผ่า?

เหมิงเหวยขมวดคิ้วหนักจนขึ้นเป็นรูป ‘川’ …แม้แต่คนใจกว้างอย่างเขาก็ไม่อาจยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง

อันที่จริง เขายินยอมที่จะยกมอบตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้เฉินซี ทว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถพอในการนำคนทั้งเผ่าไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยหรือไม่? …นี่คือสิ่งที่เหมิงเหวยกังวล

และหากเกิดเหตุร้ายขึ้น มันจะต้องเป็นหายนะครั้งใหญ่แน่นอน!

เนื่องจากพวกเขาได้ละทิ้งถิ่นฐานบรรพชน ซ้ำยังสูญเสียคนในเผ่ามากมายระหว่างทางที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าคนที่เหลือมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเป็นเพราะมีคนแลกชีวิตเพื่อให้มาถึงจุดนี้ก็ว่าได้

แล้วคนนอกอย่างเฉินซีจะสามารถแบกรับภาระหนักอึ้งเช่นนี้ได้หรือไม่?

ในจังหวะนี้เอง โม่ย่าพลันชิงพูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ท่านนักบวช ข้าไม่เห็นด้วย”

ชายชราขมวดคิ้วที่ขาวราวกับหิมะ จากนั้นจึงกล่าวอย่างไม่แยแส “โม่ย่า เจ้ากำลังสงสัยในอำนาจของข้าใช่หรือไม่?” เสียงแหบทุ้มของเขาแฝงความไม่พอใจ

โม่ย่าถึงกับตัวแข็งทื่อ ก่อนที่นางจะกัดฟันและคุกเข่าลงบนพื้น “ท่านนักบวช โม่ย่าไม่ได้สงสัยในตัวท่าน ทว่าเผ่าของพวกเราประสบกับอันตรายและความยากลำบากใหญ่หลวงมามากมาย ซ้ำยังสูญเสียผู้คนนับไม่ถ้วนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบสุข แต่บัดนี้คนนอกกำลังจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องในเผ่าของเรา สำหรับข้า… มันยากนักที่จะยอมรับสิ่งนี้ได้”

ตุ้บ! ตุ้บ!

คนในเผ่าคนอื่น ๆ เองก็พากันคุกเข่าลงบนพื้นเช่นกัน พวกเขาพูดอย่างพร้อมเพรียง “ท่านนักบวช โปรดพิจารณาอีกครั้ง”

ในบรรดาผู้คน ณ ที่นี้ มีเพียงเหมิงเหวยกับเสี่ยวเฉินเท่านั้นที่ไม่ได้คุกเข่า

…เสี่ยวเฉินเม้มริมฝีปากของนาง ลังเลเล็กน้อยว่าจะทำอะไรดี เด็กหญิงไม่รู้ว่าควรสนับสนุนคนในเผ่าหรือสหายคนใหม่ของตน

ในทางกลับกัน โม่ย่ากลับถลึงตามองเฉินซีมาแต่ตั้งต้นจนจบ การจ้องมองของนางน่าสะพรึงกลัวราวกับว่ากำลังมองเหยื่อ คล้ายต้องการจะมองจนชายหนุ่มตายไปข้าง

แต่ไม่ทันไรนางก็ล้มเหลว สายตาของเฉินซีนั้นอบอุ่น สงบเสงี่ยม และลึกล้ำราวกับท้องนภาดาราอันไร้ขอบเขต ทำให้นางไม่อาจเห็นอะไรผิดแปลกในตัวอีกฝ่ายเลย

“ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้าอีกต่อไป!” ท่าทีของชายชราแน่วแน่อย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าบอกพวกเจ้าทุกคนได้แค่ว่า หากต้องการออกจากนรกขุมนี้ที่ว่ากันว่าไม่มีทางออก มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สามารถนำพาพวกเราออกไปได้!”

อันใดนะ!?

ทุกคนชะงักงัน แม้พวกเขาจะทราบว่าท่านนักบวชได้ให้ความสำคัญกับคนนอกผู้นี้มาก แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมากขนาดนี้ …ชายชราถึงขนาดฝากความหวังทั้งหมดในเผ่าไว้กับเฉินซี!

“หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ละก็ ข้ายอมตกลง!” เหมิงเหวยโพล่งขึ้น แม้จะไม่ได้มองไปยังเฉินซี แต่เขาก็พูดด้วยเสียงทุ้มว่า “แต่ข้าต้องบอกเรื่องหนึ่งให้ชัดเจน ถ้าเขากล้าทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเผ่าละก็ ข้าเหมิงเหวยจะสังหารเขาแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!”

เฉินซีตกตะลึง แต่ก็เคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่าย เพราะถ้าเป็นตัวเขาก็คงตัดสินใจทำแบบเดียวกัน ถึงอย่างไร ความคิดนี้ของเหมิงเหวยก็มาจากความเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้คนในเผ่า

และเพียงเหตุผลนี้ มันก็ทำให้เฉินซีไม่อาจโกรธเหมิงเหวยลง เขายิ้มอย่างขมขื่นพลางมองชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ตน

….พูดตามตรง บางทีมันอาจมีกลวิธีที่ดีกว่านี้ และทำให้เขาไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนี้ ทว่าเหตุใดกัน ทำไมชายชราคิ้วขาวคนนี้จึงได้เลือกหนทางที่ทำให้ทั้งเผ่าเกิดความขุ่นเคืองแบบนี้?

ชายชราคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตานั้น เขาหรี่ตาลง ก่อนที่จะยิ้มพลางส่ายศีรษะไปยังเฉินซีเป็นคำตอบ

“เอาล่ะ ข้าก็ตกลงเช่นกัน!” โม่ย่าสังเกตเห็นท่าทีของท่านนักบวชที่มั่นคง และทราบแน่แล้วว่านางไม่อาจชักจูงเขาได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงกัดฟันพลางกล่าวทันทีว่า “แต่เช่นเดียวกับเหมิงเหวย เมื่อใดที่คนนอกผู้นี้แสดงเจตนาร้ายต่อเผ่าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะทำให้เขาเสียใจที่เกิดมา!”

เฉินซีตกตะลึงอีกครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจ ทว่าไม่ได้กล่าวอะไร เพราะถึงอย่างไร เขาก็ได้รับการช่วยชีวิตจากคนกลุ่มนี้ ดังนั้นเขาจะแสดงท่าทีไม่ดีใส่ผู้ที่ช่วยชีวิตเขาได้อย่างไร?

เมื่อเห็นเหมิงเหวยกับโม่ย่าตอบตกลง คนอื่น ๆ ก็ชำเลืองมองกันและกัน ก่อนเลือกที่จะเชื่อฟังคำสั่งของท่านนักบวช

“เฉินซี ข้าขอฝากที่เหลือไว้กับเจ้า ส่วนโม่ย่ากับเหมิงเหวยเจ้าทั้งสองคนมากับข้า ข้ามีบางอย่างที่จะบอกพวกเจ้า” สิ้นคำกล่าว ชายชราก็หันกลับไปที่กระโจมของเขา

หลังจากที่ท่านนักบวช โม่ย่า และเหมิงเหวยจากไป เฉินซีพลันเลือกที่จะกลับไปยังที่พักของตนก่อนเป็นอันดับแรก

แม้คนในเผ่าจะบอกว่าพวกเขายินยอมเชื่อฟัง แต่ความรู้สึกขัดแย้งที่รุนแรงในใจของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ขจัดออกไปได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

ดังนั้นการพูดคุยกับพวกเขา ณ ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับการสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น

ทว่าก่อนจะจากไป เฉินซีก็ได้ออกคำสั่งแรกออกไป ชายหนุ่มสั่งว่าในรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ เขาต้องการให้เด็กและเยาวชนมารวมตัวกัน ส่วนตัวเขาจะทำหน้าที่แทนเหมิงเหวยในการสอนและชี้แนะการฝึกฝนของเด็ก ๆ

แน่นอน คำพูดเหล่านี้ได้นำพาสายตาที่โกรธเกรี้ยวและเสียงคำรามเย็นชาจากบรรดาเด็กหญิงและเด็กชายทั้งหลาย …ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่แล้ว เด็กเหล่านี้มีอายุเพียงสิบเอ็ดถึงสิบสองปีเท่านั้น ดังนั้นความสามารถในการปกปิดความรู้สึกของพวกเขาจึงไม่ดีนัก และทุกคนก็พากันจ้องเขม็งไปยังเฉินซีราวกับว่ากำลังมองดูสัตว์ที่ดุร้าย โดยไม่แม้แต่จะปกปิดความเกลียดชังที่แฝงอยู่เลย!!

มีเพียงเสี่ยวเฉิน เด็กหญิงตัวน้อยอายุราวแปดเก้าขวบเท่านั้นที่ยืนขึ้นส่งเสียงดีใจ นางกลายเป็นเด็กคนเดียวในบรรดาเด็กทุกคนที่ต้อนรับเฉินซี

แต่ในเวลาไม่นาน นางก็สัมผัสได้ถึงความผิดแปลกของบรรยากาศรอบข้าง สายตาอันเกรี้ยวกราดมากมายต่างจ้องมาทางนาง ทำให้เด็กหญิงรู้สึกอึดอัดจนต้องนั่งลงอย่างละอายใจในที่สุด

นางเม้มริมฝีปากน้อย ๆ แล้วพึมพำด้วยความหงุดหงิดและอัปยศ “เมื่อพวกเจ้าทุกคนรู้ว่าเรื่องราวที่พี่ใหญ่เล่านั้นน่าสนใจเพียงใด จะไม่มีใครปฏิบัติต่อพี่ใหญ่แบบนี้แน่นอน!”

หากเฉินซีที่เพิ่งเดินโซเซเข้ามาในกระโจมและเกือบจะล้มลงกับพื้นได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้า ก็ไม่รู้เขาว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี …ด้วยหรือว่าในใจของเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้น ชายหนุ่มเป็นแค่นักเล่าเรื่องเท่านั้น?!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท