บทที่ 688 ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า
บทที่ 688 ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า
บนพื้นดินกองไปด้วยศพเหยี่ยวกระดูกทั้งสามสิบเก้าตัวและสุนัขทมิฬเฝ้านรก
คนหนุ่มสาวในชุดหนังสัตว์ทั้งหลายต่างร้องยินดีอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขารู้สึกปลื้มปีติยินดี ซึ่งเห็นได้ชัดจากรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา
ในสายตาของพวกเขา อสูรร้ายเหล่านี้คืออาหารกองโต ซึ่งเป็นหลักประกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการอยู่รอด เพราะนั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่ต้องกังวลกับการอดอาหารอีกเป็นเวลานาน
ขณะนั้นเสี่ยวเฉินอยู่ด้านข้าง ใบหน้าเรียวเล็กของเด็กหญิงเผยความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนช่วยสำคัญของเผ่า แต่โชคร้ายที่เฉินซีไม่ได้มาด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงได้แบ่งปันความสุขนี้กับนาง…
เสี่ยวเฉินรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อคิดถึงตรงนี้
หลายวันที่ผ่านมา นางได้ดูแลเฝ้าไข้ชายหนุ่มที่ป่วยติดเตียงมาตลอดทั้งวันทั้งคืน เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะคำสั่งของท่านนักบวช อีกประการหนึ่งคือความสนุกที่ได้จากการสนทนากับเฉินซี
นางได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่รู้ในอดีตจากเฉินซี เหมือนเป็นการเปิดประตูไปสู่โลกที่เปล่งประกายระยับ แพรวพราว และงดงาม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจและแปลกใหม่ยิ่ง
ผนวกกับการปฏิบัติอย่างดีและอบอุ่นของเฉินซี ทำให้นางนับอีกฝ่ายเป็นมิตรสหายที่ดีโดยไม่รู้ตัว
ร่างของเหมิงเหวยกำยำและแข็งแกร่ง ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าคือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นพิเศษ เขาพุ่งเหมือนเสือดาวด้วยจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์ ทะยานผ่านกองศพไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จากนั้น ความตกใจจะฉายชัดบนหน้าผากที่หยาบกว้างของเจ้าตัว “ข้าตรวจดูแล้ว ดวงวิญญาณของพวกมันแหลกละเอียดจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว กล่าวได้ว่าการบ่มเพาะจิตสัมผัสเทพของผู้ที่ทำสิ่งนี้ต้องน่าเกรงขามยิ่งกว่าเจ้ากับข้าเป็นหลายเท่าตัว!”
โม่ย่าชะงักงันหลังจากได้ยิน นางรู้สึกแปลกใจ “ใช้จิตสัมผัสเทพจู่โจม? หากเป็นเช่นนั้นจริง นั่นหมายความว่าจะต้องมีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เก่งกาจมาก ๆ อยู่ใกล้เคียงใช่หรือไม่?”
เหมิงเหวยผงกศีรษะแล้วจึงรีบพูดว่า “เจ้าคิดหรือไม่… ว่านี่อาจเป็นฝีมือของน้องเฉินซี?”
“ฝีมือเขา?” โม่ย่างงงันไปครู่ ก่อนจะพูดจาดูถูก “ร่างที่อ่อนแอแบบนั้นจะรองรับจิตสัมผัสเทพมหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร? มันยังฟังดูน่าเชื่อถือมากกว่าหากบอกว่าเป็นฝีมือของผู้เยี่ยมยุทธ์ต่างพิภพที่ผ่านมา เพราะมันไม่มีทางเป็นเขาแน่นอน!”
“โม่ย่า!” เหมิงเหวยขมวดคิ้วแน่น เขาโกรธและเผยความรู้สึกนี้ออกไปตรง ๆ ขณะกล่าวตำหนิด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าพูดถึงพวกต่างพิภพอีก!”
โม่ย่าเม้มปากเงียบกริบ เพราะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายดี และนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย
เหมิงเหวยสูดหายใจเข้าลึก พยายามกลับคืนสู่อารมณ์ปกติ ก่อนเหลียวมองหญิงสาวแล้วพูด “เอาล่ะ เก็บเสบียงและกลับไปที่ค่ายกัน”
ขณะกล่าว เจ้าตัวก็เริ่มสั่งให้พวกสหายน้อยทั้งหลายขนศพเหยี่ยวกระดูกเหล่านั้น ในขณะที่ตัวเขาแบกสุนัขทมิฬเฝ้านรกที่ใหญ่เหมือนวัวด้วยตัวเอง
…
ควันก่อตัวขึ้นจากจุดตั้งค่าย อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ที่ชวนน้ำลายสอภายในเวลาไม่นาน
เด็กและผู้ใหญ่นั่งขัดสมาธิบนพื้นพลางถือและกินเนื้อย่างฉ่ำสีเหลืองทอง บรรยากาศคึกคักอย่างยิ่ง ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสุขเสียจนยิ้มไม่หุบ
กำไรของพวกเขาในครั้งนี้มหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย เหยี่ยวกระดูกนับสิบกับสุนัขทมิฬเฝ้านรกเหล่านี้เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้วที่จะมีกินเป็นเวลานาน นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารไปชั่วคราว
ระหว่างทางมาถึงที่นี่ พวกเขายอมประหยัดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้แต่กระดูกของอสูรก็ไม่ยอมทิ้งเพราะอยากจะนำไปทำซุปกระดูก แต่ตอนนี้พวกเขากลับได้เนื้ออันโอชะมาครอบครอง ฉะนั้นจึงกินอย่างจุใจเพื่อเป็นการให้รางวัลตัวเอง
ท่ามกลางบรรยากาศที่พลุกพล่าน จู่ ๆ กระโจมหนังสัตว์ของท่านนักบวชก็เปิดออกจากข้างใน ชายชราที่ผอมโซจนเห็นกระดูกได้เดินออกด้านนอกมาอย่างงุนงง
ฟิ้ว!
ในทันทีที่เห็นชายชรา บรรยากาศที่จอแจและอึกทึกทั่วค่ายพลันหายไปกับสายลม กลายเป็นบรรยากาศที่เงียบกริบ ทุกสายตาที่จ้องมองไปยังชายชราล้วนเต็มไปด้วยความเคารพนับถือทั้งสิ้น
อีกทั้งพวกเขายังประหลาดใจเล็กน้อย ระหว่างการเดินทางในครั้งนี้ ท่านนักบวชไม่เคยก้าวออกมาจากกระโจมหนังสัตว์เลย ทว่ากลับออกมาในตอนนี้ หรือว่าจะมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น?
ในเวลาไม่นานพวกเขาก็เข้าใจพอสังเขป เนื่องจากพวกเขาเห็นเฉินซี แขกของพวกเขากำลังตามหลังท่านนักบวชอย่างใกล้ชิด ดังนั้นหลายคนจึงคาดเดาว่าการปรากฏตัวของท่านนักบวชอาจเกี่ยวข้องกับคนคนนี้
ชายชราเดินไปที่ใจกลางที่ตั้งของค่าย แม้ว่าเขาจะผอมซูบเหมือนไม้เสียบผี แต่ก็มีรูปร่างที่สูงและมีท่าทางที่หนักแน่น แผ่กลิ่นอายอันทรงพลังที่ผู้ใดสัมผัสก็รู้สึกได้ทันทีว่าเป็นบุคคลตำแหน่งสูงโดยไม่ต้องสงสัย สายตาขุ่นมัวของชายชรากวาดมองทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ก่อนที่เขาจะพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าออกมาครั้งนี้เพื่อป่าวประกาศเรื่องเดียวเท่านั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เฉินซีจะเป็นผู้ดูแลในทุก ๆ เรื่องของเผ่าเรา โม่ย่ากับเหมิงเหวยจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเฉินซีด้วยเช่นกัน ทุกคนรับทราบชัดเจนหรือไม่?”
อะไรนะ? คนนอกผู้นี้จะมาเป็นหัวหน้าเผ่าในวันข้างหน้า?
ทุกคนตกตะลึงจนแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
นี่มันไร้สาระสิ้นดี! เขาเป็นคนขี้โรคที่บาดเจ็บหนักและเกือบจะสิ้นชีพ เป็นคนนอกที่เพิ่งถูกเผ่าของเราพามารักษา จะมีสิทธิ์อะไรมาเป็นหัวหน้าเผ่าของพวกเรา?
สีหน้าของเหมิงเหวยเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที เจ้าตัวขมวดคิ้วแน่น ด้วยเขาไม่อาจคาดเดาหรือหยั่งได้ว่าเหตุใดท่านนักบวชที่เคารพรักจึงออกมาประกาศเรื่องเช่นนี้ ณ เวลานี้
หรือว่าท่านนักบวชจะไม่พอใจข้าในฐานะหัวหน้าเผ่า?
เหมิงเหวยขมวดคิ้วหนักจนขึ้นเป็นรูป ‘川’ …แม้แต่คนใจกว้างอย่างเขาก็ไม่อาจยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง
อันที่จริง เขายินยอมที่จะยกมอบตำแหน่งหัวหน้าเผ่าให้เฉินซี ทว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถพอในการนำคนทั้งเผ่าไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัยหรือไม่? …นี่คือสิ่งที่เหมิงเหวยกังวล
และหากเกิดเหตุร้ายขึ้น มันจะต้องเป็นหายนะครั้งใหญ่แน่นอน!
เนื่องจากพวกเขาได้ละทิ้งถิ่นฐานบรรพชน ซ้ำยังสูญเสียคนในเผ่ามากมายระหว่างทางที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าคนที่เหลือมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเป็นเพราะมีคนแลกชีวิตเพื่อให้มาถึงจุดนี้ก็ว่าได้
แล้วคนนอกอย่างเฉินซีจะสามารถแบกรับภาระหนักอึ้งเช่นนี้ได้หรือไม่?
ในจังหวะนี้เอง โม่ย่าพลันชิงพูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ท่านนักบวช ข้าไม่เห็นด้วย”
ชายชราขมวดคิ้วที่ขาวราวกับหิมะ จากนั้นจึงกล่าวอย่างไม่แยแส “โม่ย่า เจ้ากำลังสงสัยในอำนาจของข้าใช่หรือไม่?” เสียงแหบทุ้มของเขาแฝงความไม่พอใจ
โม่ย่าถึงกับตัวแข็งทื่อ ก่อนที่นางจะกัดฟันและคุกเข่าลงบนพื้น “ท่านนักบวช โม่ย่าไม่ได้สงสัยในตัวท่าน ทว่าเผ่าของพวกเราประสบกับอันตรายและความยากลำบากใหญ่หลวงมามากมาย ซ้ำยังสูญเสียผู้คนนับไม่ถ้วนเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบสุข แต่บัดนี้คนนอกกำลังจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องในเผ่าของเรา สำหรับข้า… มันยากนักที่จะยอมรับสิ่งนี้ได้”
ตุ้บ! ตุ้บ!
คนในเผ่าคนอื่น ๆ เองก็พากันคุกเข่าลงบนพื้นเช่นกัน พวกเขาพูดอย่างพร้อมเพรียง “ท่านนักบวช โปรดพิจารณาอีกครั้ง”
ในบรรดาผู้คน ณ ที่นี้ มีเพียงเหมิงเหวยกับเสี่ยวเฉินเท่านั้นที่ไม่ได้คุกเข่า
…เสี่ยวเฉินเม้มริมฝีปากของนาง ลังเลเล็กน้อยว่าจะทำอะไรดี เด็กหญิงไม่รู้ว่าควรสนับสนุนคนในเผ่าหรือสหายคนใหม่ของตน
ในทางกลับกัน โม่ย่ากลับถลึงตามองเฉินซีมาแต่ตั้งต้นจนจบ การจ้องมองของนางน่าสะพรึงกลัวราวกับว่ากำลังมองเหยื่อ คล้ายต้องการจะมองจนชายหนุ่มตายไปข้าง
แต่ไม่ทันไรนางก็ล้มเหลว สายตาของเฉินซีนั้นอบอุ่น สงบเสงี่ยม และลึกล้ำราวกับท้องนภาดาราอันไร้ขอบเขต ทำให้นางไม่อาจเห็นอะไรผิดแปลกในตัวอีกฝ่ายเลย
“ข้าตัดสินใจแล้ว พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้าอีกต่อไป!” ท่าทีของชายชราแน่วแน่อย่างยิ่ง เขากล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าบอกพวกเจ้าทุกคนได้แค่ว่า หากต้องการออกจากนรกขุมนี้ที่ว่ากันว่าไม่มีทางออก มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่สามารถนำพาพวกเราออกไปได้!”
อันใดนะ!?
ทุกคนชะงักงัน แม้พวกเขาจะทราบว่าท่านนักบวชได้ให้ความสำคัญกับคนนอกผู้นี้มาก แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะมากขนาดนี้ …ชายชราถึงขนาดฝากความหวังทั้งหมดในเผ่าไว้กับเฉินซี!
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ละก็ ข้ายอมตกลง!” เหมิงเหวยโพล่งขึ้น แม้จะไม่ได้มองไปยังเฉินซี แต่เขาก็พูดด้วยเสียงทุ้มว่า “แต่ข้าต้องบอกเรื่องหนึ่งให้ชัดเจน ถ้าเขากล้าทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อเผ่าละก็ ข้าเหมิงเหวยจะสังหารเขาแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!”
เฉินซีตกตะลึง แต่ก็เคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่าย เพราะถ้าเป็นตัวเขาก็คงตัดสินใจทำแบบเดียวกัน ถึงอย่างไร ความคิดนี้ของเหมิงเหวยก็มาจากความเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้คนในเผ่า
และเพียงเหตุผลนี้ มันก็ทำให้เฉินซีไม่อาจโกรธเหมิงเหวยลง เขายิ้มอย่างขมขื่นพลางมองชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ตน
….พูดตามตรง บางทีมันอาจมีกลวิธีที่ดีกว่านี้ และทำให้เขาไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งนี้ ทว่าเหตุใดกัน ทำไมชายชราคิ้วขาวคนนี้จึงได้เลือกหนทางที่ทำให้ทั้งเผ่าเกิดความขุ่นเคืองแบบนี้?
ชายชราคล้ายสัมผัสได้ถึงสายตานั้น เขาหรี่ตาลง ก่อนที่จะยิ้มพลางส่ายศีรษะไปยังเฉินซีเป็นคำตอบ
“เอาล่ะ ข้าก็ตกลงเช่นกัน!” โม่ย่าสังเกตเห็นท่าทีของท่านนักบวชที่มั่นคง และทราบแน่แล้วว่านางไม่อาจชักจูงเขาได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงกัดฟันพลางกล่าวทันทีว่า “แต่เช่นเดียวกับเหมิงเหวย เมื่อใดที่คนนอกผู้นี้แสดงเจตนาร้ายต่อเผ่าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะทำให้เขาเสียใจที่เกิดมา!”
เฉินซีตกตะลึงอีกครั้ง จากนั้นก็ถอนหายใจ ทว่าไม่ได้กล่าวอะไร เพราะถึงอย่างไร เขาก็ได้รับการช่วยชีวิตจากคนกลุ่มนี้ ดังนั้นเขาจะแสดงท่าทีไม่ดีใส่ผู้ที่ช่วยชีวิตเขาได้อย่างไร?
เมื่อเห็นเหมิงเหวยกับโม่ย่าตอบตกลง คนอื่น ๆ ก็ชำเลืองมองกันและกัน ก่อนเลือกที่จะเชื่อฟังคำสั่งของท่านนักบวช
“เฉินซี ข้าขอฝากที่เหลือไว้กับเจ้า ส่วนโม่ย่ากับเหมิงเหวยเจ้าทั้งสองคนมากับข้า ข้ามีบางอย่างที่จะบอกพวกเจ้า” สิ้นคำกล่าว ชายชราก็หันกลับไปที่กระโจมของเขา
…
หลังจากที่ท่านนักบวช โม่ย่า และเหมิงเหวยจากไป เฉินซีพลันเลือกที่จะกลับไปยังที่พักของตนก่อนเป็นอันดับแรก
แม้คนในเผ่าจะบอกว่าพวกเขายินยอมเชื่อฟัง แต่ความรู้สึกขัดแย้งที่รุนแรงในใจของพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่ขจัดออกไปได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้นการพูดคุยกับพวกเขา ณ ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับการสร้างความเกลียดชังให้มากขึ้น
ทว่าก่อนจะจากไป เฉินซีก็ได้ออกคำสั่งแรกออกไป ชายหนุ่มสั่งว่าในรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ เขาต้องการให้เด็กและเยาวชนมารวมตัวกัน ส่วนตัวเขาจะทำหน้าที่แทนเหมิงเหวยในการสอนและชี้แนะการฝึกฝนของเด็ก ๆ
แน่นอน คำพูดเหล่านี้ได้นำพาสายตาที่โกรธเกรี้ยวและเสียงคำรามเย็นชาจากบรรดาเด็กหญิงและเด็กชายทั้งหลาย …ซึ่งเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่แล้ว เด็กเหล่านี้มีอายุเพียงสิบเอ็ดถึงสิบสองปีเท่านั้น ดังนั้นความสามารถในการปกปิดความรู้สึกของพวกเขาจึงไม่ดีนัก และทุกคนก็พากันจ้องเขม็งไปยังเฉินซีราวกับว่ากำลังมองดูสัตว์ที่ดุร้าย โดยไม่แม้แต่จะปกปิดความเกลียดชังที่แฝงอยู่เลย!!
มีเพียงเสี่ยวเฉิน เด็กหญิงตัวน้อยอายุราวแปดเก้าขวบเท่านั้นที่ยืนขึ้นส่งเสียงดีใจ นางกลายเป็นเด็กคนเดียวในบรรดาเด็กทุกคนที่ต้อนรับเฉินซี
แต่ในเวลาไม่นาน นางก็สัมผัสได้ถึงความผิดแปลกของบรรยากาศรอบข้าง สายตาอันเกรี้ยวกราดมากมายต่างจ้องมาทางนาง ทำให้เด็กหญิงรู้สึกอึดอัดจนต้องนั่งลงอย่างละอายใจในที่สุด
นางเม้มริมฝีปากน้อย ๆ แล้วพึมพำด้วยความหงุดหงิดและอัปยศ “เมื่อพวกเจ้าทุกคนรู้ว่าเรื่องราวที่พี่ใหญ่เล่านั้นน่าสนใจเพียงใด จะไม่มีใครปฏิบัติต่อพี่ใหญ่แบบนี้แน่นอน!”
หากเฉินซีที่เพิ่งเดินโซเซเข้ามาในกระโจมและเกือบจะล้มลงกับพื้นได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้า ก็ไม่รู้เขาว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี …ด้วยหรือว่าในใจของเด็กหญิงตัวน้อยคนนั้น ชายหนุ่มเป็นแค่นักเล่าเรื่องเท่านั้น?!