บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 690 ลูกท้อโลหิต

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 690 ลูกท้อโลหิต

บทที่ 690 ลูกท้อโลหิต

จ๊อก!

ค่ายพักแรมถูกล้อมรอบด้วยรั้วกระดูกสัตว์อสูรที่เรียงรายแถวแล้วแถวเล่า และมีร่างเล็กผอมมากมายนอนคว่ำอยู่บนพื้นรั้ว หลังจากได้กลิ่นหอมสดชื่นอันเย้ายวนที่อบอวลอยู่ในอากาศแล้ว เด็กเหล่านี้ที่มีอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปีก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเช่นกัน

ภายในนรกขุมที่เก้าที่รกร้างนี้ที่แม้แต่หญ้าสักต้นเดียวก็ไม่งอกขึ้น แล้วพวกเขาจะเคยเห็นผลไม้วิญญาณเช่นนี้ได้อย่างไร?

ไม่ต้องกล่าวถึงผลไม้วิญญาณ แม้แต่ธัญพืชวิญญาณหรือผักวิญญาณก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งอาหารที่พวกเขากินตั้งแต่ยังเด็กก็คือน้ำนมสัตว์ เนื้อและซุป ซึ่งแทบไม่มีความหลากหลาย

แต่ผลไม้วิญญาณในมือของเฉินซี ไม่เพียงมีสีแดงสดและเต็มไปด้วยปราณวิญญาณที่เปล่งประกาย พวกมันยังส่งกลิ่นหอมหวานเย้ายวนอีกด้วย แม้ว่าจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร แต่ทุกคนล้วนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า มันจะต้องอร่อยอย่างแน่นอน!

“เจ้าหน้าบาก คนนอกผู้นั้นถือสิ่งใดอยู่ในมือหรือ?” เด็กชายที่ดูมืดมนและซื่อตรงเอ่ยปากถาม ดูเขาจะอายุสิบเอ็ดหรือสิบสองปี แต่ร่างกายกลับแข็งแกร่งยิ่ง กล้ามเนื้อเป็นมัดของคนคนนี้เหมือนท่อนเหล็กและท่วมท้นด้วยพละกำลัง

“โอ้ ใครจะรู้? น่าเสียดาย ข้าเองก็อยากลองชิมบ้าง” เด็กชายที่พูดมีใบหน้าที่หล่อเหลามาก ทว่ามีแผลเป็นรูปสายฟ้าที่แก้มซ้ายของเขา และสิ่งนี้ไม่เพียงจะไม่ทำให้รูปร่างหน้าตาของเขาด่างพร้อยเท่านั้น แต่มันยังขับให้เด็กชายมีเสน่ห์แบบชายชาตรีอีกด้วย

“เหตุใดเราถึงไม่ไปแย่งมันมาแจกจ่ายกันเองเล่า? รูปร่างของคนนอกผู้นั้นอ่อนแอและขี้โรค เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเราอย่างแน่นอน” เด็กชายหัวโล้นอีกคนแนะนำด้วยเสียงแผ่วเบา

“แย่งมาหรือ?”

เด็กคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง จากนั้นดวงตาของพวกเขาก็เผยให้เห็นความปรารถนาอันแรงกล้า

“ใช่แล้ว คนนอกนั่นอ่อนแอมาก เราสามารถเอาชนะเขาได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นเราค่อยแย่งชิงของในมือเขา มาแบ่งปันและกินกันเองได้ทั้งหมด…”

“เจ้าดำ เจ้าหน้าบาก เจ้าโล้น หุบปากซะ!” มีคนตำหนิด้วยน้ำเสียงเย็นชา เจ้าของเสียงนี้คือเด็กชายที่มีรูปลักษณ์ธรรมดา แต่ดูแข็งแกร่งราวกับหิน มีบุคลิกสุขุม อีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่และสงบเสงี่ยม ซึ่งผิดกับอายุของเขาลิบลับ

เด็กชายคนนี้กวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “หรือพวกเจ้าทุกคนจะลืมแผนการของเราไปแล้ว? ไม่ว่าคนนอกจะว่าอย่างไร เราจะต่อต้านเขาทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วค่อยมาดูกันว่าเขาจะดำรงตำแหน่งหัวหน้าเผ่าได้อย่างไร!”

เด็กคนอื่น ๆ พยักหน้าเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แววตาที่ไม่ยอมแพ้และเป็นปฏิปักษ์ต่างปรากฏขึ้นในดวงตาที่จ้องมองไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงใจกลางค่าย

“อำนาจในฐานะหัวหน้าเผ่าของท่านลุงเหมิงเหวยถูกพรากไปเพราะคนนอกคนนี้…”

แม้พวกเขาจะไม่กล้าต่อต้านอำนาจของท่านนักบวช แต่ก็ตั้งใจที่จะต่อต้านเฉินซีอย่างลับ ๆ และบีบให้อีกฝ่ายไม่สามารถทำอะไรได้จนยอมแพ้ไปในท้ายที่สุด!

“เจ้าเด็กพวกนั้นเอาแต่ใจเกินไปแล้ว ข้าจะไปจัดการพวกมันเอง!” ห่างออกไป เหมิงเหวยจ้องมองไปยังร่างผอมและตัวเล็กจำนวนมากที่ซุ่มตัวแอบดูอยู่ จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแน่น

“ไม่ต้อง!” โม่ย่าร้องโพล่งหยุดเขา “พวกนั้นไม่เต็มใจที่จะฝึก และไม่คิดจะยอมรับเฉินซี เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาทำตามที่ต้องการเถิด แล้วเราเพียงมองข้ามมันไป มาดูกันว่าเฉินซีจะจัดการอย่างไร เพราะถ้าเขาไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้แม้แต่นิดเดียว สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นแค่ขยะ!”

น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและดูถูกเหยียดหยาม

ทางด้านเหมิงเหวย เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด “เอาล่ะ ถ้าท่านนักบวชต้องการลงโทษใครสักคน ข้าจะรับผิดชอบเอง”

โม่ย่าได้ยินพลันตกตะลึง ความรู้สึกซับซ้อนพลันฉายวาบในดวงตาที่เต็มไปดวงดาราของนาง จากนั้นนางก็กล่าวเย้ยหยันออกมา “ไม่ต้องกังวล ถ้าเขาไม่สามารถจัดการกับเรื่องเล็กน้อยนี้ได้ แล้วเขาจะอธิบายตัวเองกับท่านนักบวชได้อย่างไร? แล้วหลังจากที่เรียนรู้ถึงความยากลำบาก ข้าหวังว่าเขาจะรู้สึกละอายใจและถอนตัวออกมาแต่โดยดี เพราะหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะดูแคลนเขาเพียงแค่เล็กน้อย แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น…”

“ถ้าไม่เช่นนั้น เจ้าจะสั่งให้พวกมันต่อต้านเฉินซีต่อไป?” เหมิงเหวยขมวดคิ้วและสะบัดมือ “เช่นนั้นพวกเรามาคอยดูกัน”

ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!

พลังหมัดส่งเสียงคำรามก้องไปบนท้องฟ้า และทำให้ทุกอย่างโดยรอบสั่นสะเทือน

เสี่ยวเฉินกับเด็กน้อยเหล่านั้นกำลังฝึกหมัดของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะยังเด็ก แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ทรงพลัง ทำให้หมัดของเด็กทุกคนพุ่งออกไปดุจเกาทัณฑ์ ทุกการเคลื่อนไหวที่พวกเขาทำนั้นทั้งรุนแรงและรวดเร็ว

โดยเฉพาะปราณจ้าววิญญาณที่พลุ่งพล่านขณะพวกเขาเหวี่ยงกำปั้น มันก็ทำให้แขนของพวกเขาดูเหมือนแส้เหล็กที่ฟาดขึ้นไปบนท้องฟ้า …สร้างเสียงระเบิดโครมครามอย่างรุนแรง!

ถ้าไม่ได้เห็นด้วยสองตาของตนเอง คงไม่มีใครเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนมาจากฝีมือของกลุ่มเด็กที่อายุต่ำกว่าสิบสองขวบ!

เฉินซีที่ด้านข้างพยักหน้าให้กับตัวเอง เขาสังเกตเห็นแล้วว่า เด็กเหล่านี้บ่มเพาะทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร ทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่ง มีแก่นโลหิตดุจหินหลอมเหลวที่ร้อนระอุ และรากฐานของพวกเขาก็ได้รับการปรับสภาพจนมั่นคงมากเมื่อนานมาแล้ว

และสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มอุทานออกมาด้วยความชื่นชมที่สุดก็คือ เด็กเล็กเหล่านี้ล้วนมีพรสวรรค์ มีร่างกายที่สุดยอด นับเป็นต้นกล้าที่ดีเลิศอันหาได้ยากยิ่งในโลก!

หากเป็นเพียงหนึ่งหรือสองคน เขาก็คงไม่แปลกใจ แต่เด็กที่อยู่ตรงหน้าทุกคนล้วนมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจ

โดยเฉพาะเสี่ยวเฉิน แม้นางจะอายุยังน้อย แต่แท้จริงแล้ว การขัดเกลากายาของเด็กหญิงบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว และทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก

แต่ชายหนุ่มก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะแม้ว่าเด็กเล็กเหล่านี้จะมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจ แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจเต๋ารู้แจ้งเลยสักคนเดียว ทำให้กระบวนท่าของพวกเขาขาดกลิ่นอายและพลัง

“ช่างแปลกนัก!”

“หรือว่าเหมิงเหวยไม่ได้ชี้แนะพวกเขาเกี่ยวกับวิธีการเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์?”

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีเทาที่ขุ่นมัว จากนั้นคิ้วของเขาก็กระตุก เมื่อชายหนุ่มตระหนักได้ในทันทีว่า นรกขุมที่เก้านี้ถูกเต๋าแห่งสวรรค์ทอดทิ้ง ดังนั้นจะมีเต๋าแห่งสวรรค์ให้เด็กเหล่านี้เข้าใจได้อย่างไร?

“ไม่น่าแปลกใจเลย แม้พวกเขาจะมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจ แต่กลับไม่มีใครเข้าใจเต๋ารู้แจ้งเลยสักคน…”

เมื่อผ่านไปไม่นาน เด็กน้อยเหล่านี้ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาหมัดเสร็จ พวกเขาดูสงบและสุขุม มีเม็ดเหงื่อเพียงสองสามเม็ดที่หน้าผาก แสดงให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งแกร่งและกระฉับกระเฉงของพวกเขา

“ท่านลุงเฉินซี…” กลุ่มเด็กน้อยมองไปที่เฉินซีด้วยสีหน้าละห้อย

“โอ้” เฉินซีได้สติกลับมาจากการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง จากนั้นเขาก็ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบผลวิญญาณสีแดงสดออกมาหนึ่งพวงและมอบให้กับทุกคน

“ว้าว! หวานมาก!”

“มันช่างอร่อยเหลือเกิน! รสชาตินี้คืออะไรกัน?!”

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาา! นี่มันดีกว่าน้ำนมสัตว์เป็นพันเท่าเลยนะ!”

กลุ่มเด็กน้อยยกมือขึ้นและกลืนผลไม้วิญญาณเข้าปาก ทำให้ได้กลิ่นหอมสดชื่นอบอวล เมื่อปราณวิญญาณภายในผลไม้ได้กระจายไปทั่วทั้งแขนขาและกระดูก จนเกิดเป็นความรู้สึกอันยอดเยี่ยมคล้ายว่าร่างกายของพวกเขาลอยได้ มันเหมือนกับว่าพวกเด็ก ๆ เมามายจากฤทธิ์สุรา ทำให้ใบหน้าเล็กของพวกเขากลายเป็นแดงระเรื่อ และไม่อาจห้ามใจจนร้องตะโกนออกมา

นับตั้งแต่เกิดจนเติบใหญ่มาถึงขนาดนี้ พวกเขาไม่เคยได้กินอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อน

ฉากนี้ทำให้กลุ่มผู้เยาว์ที่อยู่นอกรั้วกลืนน้ำลายอย่างรวดเร็วและเกลียดชังเฉินซีมากขึ้น

“หากเจ้าต้องการให้พวกเขาฝึก ก็จงสั่งสอนดี ๆ เหตุใดถึงต้องเอาของเลิศรสที่ทำให้คนอื่นต้องน้ำลายไหลออกมายั่วด้วย! นี่มัน…น่าชิงชังยิ่งนัก!”

“สิ่งนั้นคืออะไรกัน? เหตุใดเขาถึงตั้งใจให้เด็ก ๆ ในเผ่าเรากิน แล้วถ้าพวกมันมีพิษล่ะ?” ห่างออกไป โม่ย่าขมวดคิ้วงามของนาง พลางกล่าวด้วยความไม่พอใจ

“มันไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณ อีกทั้งฤทธิ์ยาของมันแข็งแกร่งมาก และข้าสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตของเจ้าตัวเล็กเหล่านั้นดีขึ้นมากในทันที!” เหมิงเหวยกล่าวอย่างตื่นตระหนก

“ฮะ?” โม่ย่าพลันตกตะลึง ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นเพื่อพินิจอย่างระมัดระวัง จากนั้นสีหน้าของหญิงสาวก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที และรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย

“นี่เขา… เหตุใดเขาถึงต้องใช้ของดีขนาดนี้ เหตุใดเขาถึงไม่กินมันเสียเอง?”

“ผู้ใดจะรู้ได้?” เหมิงเหวยถอนหายใจ และความรู้สึกที่มีต่อเฉินซีก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

“แต่ข้าสัมผัสได้ราง ๆ ว่าบางทีท่านนักบวชอาจเห็นดีเห็นงามกับเขาก็เพราะสาเหตุนี้…”

“ฮึ่ม! ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะเปี่ยมไมตรีจิตขนาดนี้ บางทีเขาอาจตั้งใจหลอกลวงเรา” ริมฝีปากของโม่ย่าสั่นกระตุก และนางก็ยังไม่เต็มใจเชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีเจตนาดี

ทว่าเฉินซีกลับประหลาดใจแทน เพราะร่างกายของเด็กน้อยเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป ด้วยลูกท้อโลหิตเหล่านี้เป็นผลไม้วิญญาณชนิดหนึ่งที่เติมเต็มพลังชีวิต แก่นโลหิต และเสริมรากฐาน แม้ว่าจะเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่กินมันเข้าไป แต่พวกเขาจะต้องรีบทำสมาธิเพื่อดูดซับฤทธิ์ยาของมัน ไม่เช่นนั้น พวกเขาอาจไม่สามารถทนฤทธิ์ยาที่ทรงพลังได้

แต่เด็กน้อยเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าเขากลับสุขสบายดีหลังจากกินลูกท้อโลหิตไปหนึ่งลูก และฤทธิ์ยาที่ทรงพลังก็ถูกร่างกายเล็ก ๆ ของพวกเขาดูดซึมเข้าไปโดยตรง!

โครงสร้างและร่างกายดังกล่าวอาจถือว่าน่าอัศจรรย์นัก …แม้แต่ในแดนภวังค์ทมิฬก็ตามที

“ท่านลุงเฉินซี ข้า…ข้า… กินเร็วเกินไปและยังมิได้รับรู้ถึงรสชาติของมัน ท่านพอจะให้ข้าอีกสักลูกได้หรือไม่?” เด็กขี้มูกโป่งร้องออกมาด้วยสีหน้าละห้อย

“ข้าก็อยากได้เหมือนกัน ข้าก็อยากได้เหมือนกัน” เด็กน้อยคนอื่น ๆ เริ่มตะโกนเช่นกัน

“ได้สิ” เฉินซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แต่พวกเจ้าทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า แล้วข้าจะให้ผลไม้วิญญาณแก่พวกเจ้าทั้งหมด หลังจากที่พวกเจ้าบ่มเพาะเสร็จแล้วเท่านั้น”

“ตกลง!” เด็กน้อยไม่ลังเลและตอบตกลงทันที

ต่อจากนั้น เฉินซีได้ขอให้ทุกคนนั่งสมาธิและโคจรเคล็ดวิชาบ่มเพาะของพวกเขา จากนั้นจึงใช้จิตสัมผัสเทพเพื่อสังเกตพรสวรรค์ของเด็กน้อยเหล่านี้จากด้านข้าง

ในเวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็ได้ข้อสรุป

แม้ว่าเด็กเล็กทั้งห้าคนนี้จะมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจและไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะกับเส้นทางการขัดเกลากายา หรืออาจกล่าวได้ว่า บางคนอาจดึงศักยภาพของตนออกมาได้ดียิ่งขึ้น ถ้าฝึกฝนอยู่ในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะปราณแท้

ตัวอย่างเช่น เสี่ยวเฉินและเจ้าเด็กขี้มูกโป่งนั้นเหมาะแก่การบ่มเพาะปราณแท้เป็นอย่างยิ่ง เส้นชีพจรและท้องทะเลแห่งลมปราณของพวกเขานั้นยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่มันถูกละเลยมาจนถึงตอนนี้ ทำให้พรสวรรค์ที่สวรรค์ประทานมาให้เสียเปล่า

หากเขามาช้ากว่านี้หลายปี พรสวรรค์ของพวกเขาก็อาจจะหายไปพร้อมกับอายุที่มากขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้นมันก็จะสายเกินไป …เป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข

ต่อไปเฉินซีก็ได้ขอให้เด็กเหล่านี้นั่งขัดสมาธิบนพื้นและทำจิตใจให้ว่างเปล่า

“จงจำไว้ ใช้สติรับรู้ อย่าได้ฝืนบังคับ สิ่งที่พวกเจ้าสัมผัสได้ก็คือสิ่งที่พวกเจ้ารับรู้” เฉินซีชี้แนะ ก่อนที่จะนั่งลงตรงข้ามพวกเขา จากนั้นชายหนุ่มก็หายใจเข้าลึก ๆ …ทันใดนั้น! พลังงานลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาเพื่อปกคลุมเด็ก ๆ เหล่านี้ทันที

พลังนี้มาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่อาบด้วยกลิ่นแห่งสวรรค์ที่เขาได้รับมาด่านแห่งความลึกล้ำ และเป็นแก่นแท้มหาเต๋าของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เงาทมิฬ

แก่นแท้นี้มีความลึกล้ำของมหาเต๋ามากมาย และเขาใช้พลังแก่นแท้นี้เพื่อทดสอบว่า ความสามารถในการเข้าใจที่มีต่อมหาเต๋าของเด็กเหล่านี้นั้นดีเพียงใด

บรรยากาศเริ่มเงียบลง ใบหน้าของเด็กน้อยเหล่านี้สงบนิ่งมาก คล้ายกับพระภิกษุชราที่กำลังเข้าฌาน

“พวกเขากำลังทำอะไรกัน?”

ไม่ใช่แค่กลุ่มเด็ก ๆ ที่อยู่หลังรั้วเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดใจจนตาเบิกโพลง แม้แต่เหมิงเหวยกับโม่ย่าก็ยังรู้สึกงุนงงสับสน ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้บ่มเพาะ แต่ถ้าไม่ได้บ่มเพาะ เหตุใดท่าทางของพวกเขาถึงดูขึงขังและจริงจังเพียงนี้? มันดูลึกลับและไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเฉินซีตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!!

โอม!

ในขณะนี้ จู่ ๆ สายน้ำที่พลุ่งพล่านก็ปรากฏขึ้นเหนือเสี่ยวเฉิน ซึ่งเหมือนกับรูปสลักลึกลับและโบราณที่ปล่อยพลังงานอันลึกซึ้งและกว้างใหญ่มหาศาลออกมา

ทันใดนั้น กลุ่มหมอกก็ก่อตัวขึ้นในบริเวณโดยรอบของที่ตั้งค่าย จากนั้นอากาศก็ชื้นและสดชื่น

“นี่คือ?”

เหมิงเหวย โม่ย่า และกลุ่มเด็กที่อยู่หลังรั้วต่างจ้องมองจนดวงตาเบิกกว้างและตกใจเป็นอย่างมาก ราวกับพวกเขาได้เห็นปาฏิหาริย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“เต๋ารู้แจ้ง!” ภายในกระโจมที่อยู่ตรงกลางค่าย นักบวชชราที่ผอมเหมือนไม้แห้งพลันลืมตาขึ้น และเขาสัมผัสได้ถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งวารีที่ไหลนองทว่าไม่อาจมองเห็นอยู่ในท้องฟ้า ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของชายชราจึงอดไม่ได้ที่จะเผยความสุขออกมา และรู้สึกตื่นเต้นจนมุมปากเริ่มสั่นระริก!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท