บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 699 พลันตื่นรู้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 699 พลันตื่นรู้

บทที่ 699 พลันตื่นรู้

เฉินซียืนอยู่กลางอากาศเหนือหุบเขาแล้วก้มมองลงไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา

ทันใดนั้นเขาก็ยืดแขนออก ส่งปราณเซียนออกมา

ฟึ่บ!

พื้นที่รอบข้างหุบเขาพลันพลุ่งพล่านไปด้วยเพลิงสีครามทั้งร้อยแปด ราวกับตะวันสีครามผุดขึ้นจากดิน ปลดปล่อยแสงจ้าออกมา พวกมันผสานรวมกัน เกิดเป็นค่ายกลอันหนาแน่นแลซับซ้อน ซึ่งเต็มไปด้วยแสงจ้าสว่างตา งดงามเหนือใคร

จากนั้นค่ายกลมากมายก็มาบรรจบกันและหมุนไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ปลดปล่อยแสงสีคราม โดยมีศูนย์กลางคือเพลิงยมโลกลวงตาสีจาง!

เพลิงยมโลกนี้ดูคล้ายหมอกทว่าไม่ใช่หมอก ดูเหมือนเมฆแต่ไม่ใช่เมฆ ทั้งยังเป็นสีดำที่ดูเยือกเย็น ซึ่งพอมองดูไปแล้ว มันก็คล้ายกับดาวสีดำจำนวนมากประดับอยู่บนประกายไฟสีคราม

เฉินซีตั้งมั่นกับสิ่งตรงหน้า ก่อนที่เขาจะสะบัดแขนเสื้อแล้วเอ่ยคำออกมาเมื่อเห็นว่าได้เวลาเหมาะสมแล้ว “ก่อร่าง!”

ครืน!

คลื่นพลังผันผวนอันน่าประหลาดพลันเกิดขึ้น ประกายไฟสีครามนับไม่ถ้วนและเพลิงยมโลกสีดำที่ดูราวดวงดาวกลายเป็นเส้นแสง พุ่งเข้าไปในทุกพื้นที่ภายในหุบเขานั้น

ม่านหมอกหนาทึบและเกราะสีครามขนาดใหญ่ได้เข้าโอบล้อมหุบเขาไว้ราวกับชามคว่ำ พื้นผิวมีอักขระยันต์มากมาย มีแสงกะพริบราวกับหายใจได้ จากนั้นมันก็หายไปทันที

หากมองเพียงภายนอก หุบเขาแห่งนี้ก็ยังดูธรรมดาไร้ความโดดเด่นในนรกขุมที่เก้าอันห่างไกลและรกร้างเช่นเดิม

มีเพียงเฉินซีที่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของค่ายกลไฟนรกตะวันครามเท่านั้น ที่ทราบว่ามันสามารถจัดการผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาได้เลยทีเดียว!

ส่วนพลังป้องกันของค่ายกลใหญ่นี้ก็น่าเหลือเชื่อเช่นกัน เพราะมันสามารถทำให้ ‘มายา’ ‘สังหาร’ และ ‘ป้องกัน’ ผสานเป็นหนึ่ง และหากไม่ใช่เพราะเขามีอุปกรณ์เพียงแค่นี้ อำนาจของค่ายกลก็อาจจะยิ่งทวีคูณได้มากกว่านี้ ถึงขนาดว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพียังฝ่าเข้าไปไม่ได้

ชายหนุ่มรีบโยนความคิดไร้สาระทิ้งไปทันที เพราะวัตถุวิญญาณที่เขามีก็มากพอแล้ว ไม่ควรฝืนไปมากกว่านี้…

ขณะเดียวกัน เด็ก ๆ ก็พากันบ่มเพาะพลังอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในหุบเขา และเมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์จากการต่อสู้มาบ้างแล้ว ใบหน้าเยาว์วัยทั้งหลายก็เริ่มเกิดความมั่นคงเติบใหญ่ขึ้นกลางระหว่างคิ้ว

ส่วนโม่ย่าและเหมิงเหวยกำลังยืนอยู่ด้านข้างพวกเด็ก ๆ คอยเฝ้าดูการบ่มเพาะของทุกคนอยู่

จริง ๆ แล้วทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ก็ได้ เพราะความตายของท่านนักบวชและการสูญเสียเหล่าสหายไป ได้ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความรู้สึกผิด พวกเด็ก ๆ จึงตั้งใจบ่มเพาะกันอย่างเต็มที่

…คนทั้งหมดต่างรู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะต้องปกป้องพวกเขาเมื่อศึกคราวก่อน นักบวชชรากับองครักษ์ทั้งหลายก็คงไม่ต้องจากไปเช่นนี้!!

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเข้าใจหลักการอย่างถ่องแท้ นั่นคือคนอ่อนแอต้องเป็นภาระให้กับผู้อาวุโสและสหายคนอื่น ฉะนั้นไม่ว่าจะเพื่อตนเองหรือเพื่อใครอื่น พวกเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้! มีแต่การแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อและทำให้สหายและผู้อาวุโสไร้กังวลได้!

เฉินซีมองเห็นภาพนี้เมื่อกลับเข้ามาในหุบเขา เขาไม่เอ่ยอะไรอีกแล้วหันหลังเดินกลับกระโจมตนเองไป ก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิและเริ่มตั้งจิต

เขาอยากจะเริ่มสร้างแดนฮุ่นตุ้น ดังนั้นจึงต้องใช้ทุกช่วงเวลาให้มีค่าที่สุด

จากข้อมูลที่ชายหนุ่มได้รับมาก่อนหน้านี้ เขารู้ดีว่ามีทางออกไปโลกภายนอกอยู่ห่างจากที่นี่ไปเก้าหมื่นลี้

หนทางนี้ปรากฏขึ้นมาเองหลังจากผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพฉีกนรกขุมที่เก้าออก และก็เป็นพวกมันที่ค้นพบได้ก่อน ดังนั้นพวกมันจึงทิ้งคนหกกลุ่มคอยเฝ้าตำแหน่งที่ว่าเอาไว้

และในหมู่คนพวกนั้นน่าจะมีผู้บ่มเพาะระดับแม่ทัพที่รั้งอยู่ในฐาน มีพลังบ่มเพาะเทียบเท่าได้กับขอบเขตเซียนปฐพีทีเดียว!

ดังนั้นหากเฉินซีต้องการพาเผ่านรกขุมที่เก้าออกไปสู่โลกภายนอก เช่นนั้นก็ต้องฝ่าดงศัตรู ต้องหลบหนีสายตาของผู้บ่มเพาะระดับแม่ทัพไปให้ได้ …ไม่มีทางอื่นอีก

เพราะเขารู้ดีว่าหากฝืนโจมตีด้วยพลังในตอนนี้ มันก็เหมือนปาไข่ใส่หิน คงต้องตายเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงเลือกหุบเขาแห่งนี้เพื่อเตรียมการให้พร้อมก่อนลงมือ

อีกทั้งยังมีเหตุผลอื่นตอนที่เลือกหุบเขาแห่งนี้ด้วย นั่นคือตลอดการเดินทางที่ผ่านมา แม้พวกเขาจะกำจัดคนต่างพิภพไปทั้งหมดหกกลุ่ม ทว่ามันก็ยังเหลืออีกสามสิบกลุ่มที่รับภารกิจมาให้ตามล่าและสังหารพวกเขา…

ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าตกใจมาก!

เพราะอย่างไร ในแต่ละกลุ่มก็มีผู้บ่มเพาะระดับผลึกม่วงอยู่กลุ่มละคน มีผู้บ่มเพาะระดับทองอีกกลุ่มละสิบ เมื่อรวมกันแล้วสิ่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากฝันร้ายเลยทีเดียว!

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ฝันร้ายนี้อย่างไรก็ต้องเป็นจริง เพราะในการเดินทางช่วงหลายวันมานี้ พวกเขาเผยเส้นทางและข้อมูลมากเกินไป หากศัตรูไม่ใช่พวกโง่เง่า พวกเขาก็คงต้องเดาได้นานแล้วว่า เผ่านรกขุมที่เก้าคงจะอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางที่นำไปสู่โลกภายนอกแน่!

ในสถานการณ์นี้มีความเป็นไปได้สูงว่า ผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพอีกสามสิบกลุ่มที่ว่า น่าจะกำลังรวมตัวกันเฝ้าระวังอยู่ที่เส้นทางนั้น หมายจะรอจับกระต่ายเชือด!

ซึ่งอีกจุดประสงค์หนึ่งที่เขาเลือกหุบเขานี้คือ ชายหนุ่มต้องการสร้างมันให้เป็นค่ายหลักในขณะที่ทุกคนพักรักษาตัวและฟื้นพลัง รวมถึงเอาไว้วางแผนต่อกรกับศัตรูไปพร้อมกันด้วย!

ด้วยมีแต่วิธีนี้จึงจะสามารถบรรเทาภัยร้ายจากศัตรูได้มากที่สุด

เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป เฉินซีก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ใคร่ครวญอันล้ำลึก เขาหายใจเข้าลึกแล้วปลดปล่อยจิตสัมผัสเทพที่ดูเหมือนหนวดขนาดเล็กอันว่องไวออกมารอบกายอย่างไร้ลังเล

ฟ่อ!

เส้นสายปราณแท้พุ่งออกจากร่าง จากนั้นเฉินซีก็ดึงมันมาปั้นมันให้กลายเป็นปลายพู่กัน ก่อนจะเริ่มเขียนและจารึกลงบนเส้นลมปราณของเขา

เส้นลมปราณของเขาได้รับพลังหล่อเลี้ยงจากปราณเซียนที่ต้นอ่อนเงาทมิฬปล่อยออกมาจนมันทั้งแข็งแกร่งและยืดหยุ่น สามารถเทียบขั้นกับสมบัติวิเศษได้เลย ดังนั้นจึงสลักอักขระยันต์ได้ยากกว่าปกติหลายเท่า

ซึ่งนี่ไม่เหมือนกับการวาดอักขระยันต์ลงบนกระดาษ หากแต่มันเหมือนกับการแกะสลักหินด้วยสว่านเหล็ก ทุกเส้นทุกแนวโค้งต้องใช้กำลังอย่างมาก

อีกทั้งเส้นลมปราณของเขาก็มีขนาดเล็กมาก จึงทำให้สลักอักขระยันต์อันสลับซับซ้อนยากขึ้นไปอีก และหากผิดพลาดเพียงนิด ความพยายามที่ผ่านมาไม่เพียงจะเสียเปล่า แต่ยังทำร้ายเส้นลมปราณ จนผลลัพธ์ที่ออกมาไม่อาจจินตนาการได้เลย!

ทว่าชายหนุ่มก็ได้เตรียมใจไว้แล้วจึงไม่ได้ประหม่าอะไร

ตอนนี้จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับเส้นลมปราณ ทำให้มันว่างเปล่า เหมือนได้ย้อนสู่คืนอันเยาว์วัยที่ได้สร้างยันต์ สีหน้าดูมีสมาธิโดยไม่ทันรู้ตัว

ฟ่อ! ฟ่อ! ฟ่อ!

เส้นลมปราณที่ทั้งแข็งแกร่งและยืดหยุ่นนี้สั่นสะท้าน อักขระซับซ้อนทั้งหลายที่เต็มไปด้วยปราณแท้ขยับยุกยิกราวกับตัวหนอนอยู่บนพื้นผิว จากนั้นก็เกิดลวดลายซับซ้อนคล้ายทางช้างเผือกขึ้นมา

ลวดลายเหล่านี้มีทั้งทอง พฤกษา อัคคี วารี ปฐพี และมีความลึกล้ำแห่งมหาเต๋าทั้งหลายที่เฉินซีเข้าใจแฝงอยู่

ครืน!

ปลายพู่กันปราณแท้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มันจะลงเส้นสุดท้ายหนัก ๆ ราวกับเป็นการลงนามศิลปินบนผลงาน ลวดลายประณีตดั่งกลีบบุปผานี้ ลายเส้นค่อย ๆ บรรจบรวมกันแล้วหดตัวลง ก่อนที่สุดท้ายจะก่อขึ้นเป็นลวดลายโบราณอันลึกล้ำขึ้น!

ลวดลายนี้มีทั้งแก่นและปราณจากหลากมหาเต๋า มันโคจรไปด้วยกัน เกิดเป็นหลุมพลังคล้ายหลุมดำยักษ์ในสุดขอบจักรวาล เมื่อมันก่อร่างขึ้นได้ ก็จะปลดปล่อยพลังดูดกลืนอันน่าเกรงกลัวออกมา!

เฉินซีผ่อนสีหน้าลงก่อนเผยสีหน้าพอใจ แต่ชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาจดจ่ออีกครั้ง ละทิ้งความมคิดอื่น แล้วเริ่มลงอักขระบนเส้นปราณอีกครา

นี่แค่อักขระยันต์ตัวแรกเท่านั้น เขาตั้งใจจะวาดอักขระยันต์ให้ครบทุกเส้นลมปราณ ทุกจุดชีพจร ทุกชิ้นกระดูก กระทั่งทุกอวัยวะภายในร่าง จากนั้นก็ใช้มันเป็นฐานเพื่อบรรจบพลังในร่างและเปิดโลกใหม่ขึ้นภายในท้องทะเลแห่งลมปราณ สร้างแดนฮุ่นตุ้นขึ้นใหม่!

เขาลงอักขระไปทีละตัว เมื่อเหนื่อยก็พัก จากนั้นก็ลงมืออีกเมื่อหายล้า ชายหนุ่มลงยันต์ไม่หยุดจนวิชากล้าแกร่งขึ้น ความเข้าใจในเต๋าแห่งยันต์อักขระค่อย ๆ ลงลึกขึ้น ทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

วันแล้ววันเล่าผันผ่าน ไม่นานเวลาเดือนหนึ่งก็ผ่านไป

ในช่วงนี้ เฉินซีได้ลงอักขระยันต์บนเส้นลมปราณ จุดชีพจร และอวัยวะภายในจนหมดแล้ว ซึ่งพวกมันก็คล้ายกับบุปผาป่านับไม่ถ้วนที่พากันผลิบานอยู่บนร่าง แฝงไปด้วยแววลึกล้ำของภาพลวงตาและม่านหมอก

เฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังที่ผสานกันของอักขระยันต์เหล่านี้ได้จาง ๆ ทอง พฤกษา อัคคี วารี ปฐพี วายุ อัสนี ดารา… ความลึกล้ำทั้งหลายกลั่นอยู่ภายในโครงสร้างเต๋ารู้แจ้งแห่งการกลืนกิน ทำให้ทุกความเข้าใจและความล้ำลึกไหลเวียนเข้าสู่จิตใจของเขาดั่งสายน้ำพัดพา

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมา

แทบจะในชั่วพริบตา มหาเต๋าอันลึกล้ำซับซ้อนมากมายก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจ มหาเต๋าเหล่านี้มีมากมายนับล้าน ทั้งยังสะท้อนกันและกัน ขดเข้าหากัน ผสานรวมกัน และสุดท้ายก็กลั่นเป็นลวดลายลึกล้ำทั้งหมดห้าแบบ

โดยแต่ละลวดลายมีความหนาแน่นซับซ้อนยิ่ง ราวกับมีอักขระยันต์อยู่นับไม่ถ้วน และอักขระยันต์ภายในนั้นก็ไม่อาจนับจำนวนได้

อีกทั้งลวดลายลึกลับทั้งห้านั้นก็คือยันต์เทวะพฤกษาคราม ยันต์เทวะผสานธาตุ ยันต์เทวะไฟโลกันตร์ ยันต์เทวะคงคาทมิฬ และยันต์เทวะสยบปฐพี!

เขาเข้าใจแล้ว ห้าธาตุโคจร ก่อกำเนิดสรรพสิ่งบนโลก เป็นแก่นเพื่อสร้างโลก และหากต้องการสร้างแดนฮุ่นตุ้นขึ้นใหม่ เหตุใดไม่ใช้ยันต์เทวะทั้งห้าเป็นรากฐานเล่า? ชั่วพริบตานั้นเฉินซีพลันรู้แจ้ง ความคิดพลันกระจ่าง เกิดความคิดบ้าบิ่นหนึ่งขึ้นภายในจิตใจ

เมื่อคิดได้แล้วในใจ ตัวคนก็อยากลงมือทำทันที อยากจะเริ่มมันเสียตอนนี้เลย!

และครั้งนี้เขาก็ไร้ความลังเลกระทั่งไม่คิดซ้ำสอง เฉินซีทำตามใจปรารถนาในทันใด!

เพราะตั้งแต่ที่เขาเริ่มลงอักขระยันต์บนเส้นลมปราณ การทำเช่นนี้ก็นับว่าเสี่ยงมากแล้ว เพราะแทบไม่มีใครแม้แต่ในยุคโบราณเคยทำเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มไร้ประสบการณ์ชี้นำ และไร้ผู้อาวุโสใดคอยชี้แนะ มีแต่ต้องพึ่งตนเองเพื่อหาวิธีทีถูกต้องและทำให้สำเร็จ

แล้วในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะยับยั้งตนไปไย? แค่ทำเรื่องบ้าบิ่นอย่างมั่นใจก็พอแล้ว!

ตู้ม!

อึดใจต่อมา ปราณเซียนที่แผ่กระจายออกมาจากต้นอ่อนเงาทมิฬภายในท้องทะเลแห่งลมปราณอันว่างเปล่าก็แปรเปลี่ยนเป็นสายปราณแท้พลุ่งพล่าน เริ่มผสานเข้าหากัน กลั่นเข้าด้วยกันตามการชี้แนะของเฉินซี…

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท