บทที่ 700 เหล่าเด็ก ๆ บรรลุขอบเขต
บทที่ 700 เหล่าเด็ก ๆ บรรลุขอบเขต
สามเดือนผ่านไป
ภายในช่องเขา เด็กคนสุดท้ายในค่ายอัสนีม่วงที่มีการขัดเกลากายาขอบเขตเคหาทองคำในที่สุดก็บรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!
นี่มันปาฏิหาริย์ชัด ๆ!
เพราะไม่ได้เกิดขึ้นกับเพียงคนเดียวแต่เป็นทั้งกลุ่ม! เพราะอย่างไรแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงเด็กที่มีอายุอย่างมากสุดก็ประมาณสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น ต่อให้เป็นในแดนภวังค์ทมิฬก็ตามที …การบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางด้วยวัยเพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งโลกตื่นตระหนกแล้ว!
และนอกจากพรสวรรค์ของพวกเขาแล้ว เหตุผลที่พวกเขาทำทั้งหมดนี้ได้ก็เพราะพวกเขาบ่มเพาะอย่างอุตสาหะ!
อัจฉริยะนั้นมีมากล้นบนโลกใบนี้ ทว่ามีจำนวนเพียงน้อยนิดที่จะบ่มเพาะอย่างแข็งขันเป็นเวลาหลายเดือนราวกับกำลังเดิมพันด้วยชีวิตดังที่ทำกันอยู่นี้
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว พวกเด็ก ๆ ต่างใช้ทุกอึดใจเพื่อการบ่มเพาะ ไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่เกียจคร้าน พวกเขาเหมือนคนบ้าระห่ำที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ซึ่งดูได้จากการบ่มเพาะอย่างอุตสาหะจนถึงจุดที่ดูราวเอาชีวิตเข้าแลก
เมื่อเทียบกับผลลัพธ์ที่น่ายินดีในค่ายอัสนีม่วงแล้ว ค่ายผลึกเยือกแข็งครามก็ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กัน แม้จะเลือกหนทางบ่มเพาะปราณแท้ และเริ่มช้ากว่าอีกค่ายมาก แต่เนื่องด้วยโอสถวิญญาณมากมายที่เฉินซีเตรียมไว้ ผนวกกับปราณเซียนที่ปกคลุมอยู่ทั่วหุบเขา การบ่มเพาะของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและก้าวกระโดด
จนมาถึงตอนนี้แม้แต่เด็กที่อายุน้อยที่สุดก็บรรลุขอบเขตเคหาทองคำแล้ว ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาอีกหน่อยก็ได้บรรลุการบ่มเพาะปราณแท้ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว!
คนแรกที่บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็คือเสี่ยวเฉิน พรสวรรค์ของเด็กหญิงพิเศษอย่างมาก แม้จะให้อยู่ท่ามกลางสิบนิกายมหาเซียนที่เต็มไปด้วยเหล่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์ นางก็นับว่าโดดเด่นมากทีเดียว
แม้นางจะอายุไม่ถึงสิบขวบ แต่การบ่มเพาะปราณแท้กลับขึ้นเป็นที่หนึ่งในค่ายผลึกเยือกแข็งคราม!
หากเฉินซีได้เห็นสิ่งนี้เข้า เขาก็คงจะชะงักงันไปตาม ๆ กัน เพราะตอนที่เฉินซีสิบขวบ ชายหนุ่มเพิ่งจะบรรลุถึงขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น และยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลด้วยซ้ำ…
ทว่าเหมิงเหวยที่คอยเฝ้าดูการบ่มเพาะของพวกเขาก็เพียงบอกแค่ว่าไม่เลว ไม่ได้ยกย่องชมเชยใด ๆ แต่พูดตามปกติ
อันที่จริง… มันค่อนไปในทางไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยด้วยซ้ำ
แม้สถานการณ์ในตอนนี้จะค่อนข้างกดดัน เฉินซีก็ดูแลเด็ก ๆ เหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งเสบียง โอสถวิญญาณมากมายหลายชนิด เคล็ดวิชาการบ่มเพาะอันล้ำลึกและน่ายำเกรง ทั้งยังมีปราณเซียนอยู่เต็มอากาศ…
ด้วยทรัพยากรชั้นเลิศมากมายก่ายกองเยี่ยงนี้ เด็ก ๆ กลับบรรลุได้สูงสุดแค่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น ไม่มีใครไปถึงขอบเขตจุติเลยแม้แต่คนเดียว นี่เป็นสาเหตุที่เหมิงเหวยไม่ค่อยพอใจนัก
เพราะตามการคาดการณ์ของเขาแล้ว ควรจะมีขอบเขตจุติแจ้งเกิดขึ้นมาสักสามสี่คน หรืออย่างน้อยก็สักหนึ่งคนมิใช่หรือ?
ถ้าผู้เยี่ยมยุทธ์แดนภวังค์ทมิฬคนใดอ่านความคิดของเหมิงเหวยเข้า พวกเขาคงจะโกรธจนกระอักเลือดออกมาเป็นแน่ เพราะข้อกำหนดเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
เพราะต่อให้เป็นกองกำลังใหญ่ในแดนภวังค์ทมิฬ การใช้ทรัพยากรนับไม่ถ้วนเพื่อให้มาถึงจุดนี้ได้นั้นก็ทำให้เหล่าผู้อาวุโสของนิกายยิ้มแก้มปริได้แล้ว ไม่มีทางที่จะไม่พอใจ!
ดังนั้นจึงต้องกล่าวว่ามาตรฐานของเหมิงเหวยนั้นสูงเกินไป!
…
“เขายังไม่ออกมาจากปิดด่านบ่มเพาะอีกหรือ?” เหมิงเหวยขมวดคิ้วพลางซักถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ยัง” โม่ย่าส่ายศีรษะ
“ถึงเวลาแล้ว พวกเราจะทำตามแผนเดิมที่วางไว้” เหมิงเหวยตัดสินใจทันทีทันใด
“มันจะไม่เกินไปหรือ…?” โม่ย่าลังเล
“พวกเขาจะไม่มีทางเติบใหญ่หากไม่ผ่านร้อนผ่านหนาวฉะนั้นจะต้องผ่านบททดสอบนี้ให้ได้” เหมิงเหวยเงียบอยู่นานก่อนกล่าวออกมา
…
เขานำกลุ่มค่ายอัสนีม่วงและเดินหน้าอย่างระมัดระวัง
เส้นทางสู่โลกภายนอกอยู่ห่างออกไปข้างหน้าเก้าหมื่นลี้ อาจจะดูไกล ทว่าสำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตสถิตกายา ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้นก็จะถึงที่หมาย
และหากผู้ใดมีเคล็ดวิชาเคลื่อนที่ที่ว่องไว พวกเขาก็อาจไปถึงได้ภายในไม่กี่ลมหายใจ
เหมิงเหวยไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะการออกจากหุบเขานั้นเท่ากับว่าพวกเขาจะสูญเสียการปกป้องจากค่ายกลไฟนรกตะวันคราม และนั่นก็ยังเท่ากับว่าพวกเขาอาจจะพบเจอศัตรูเมื่อใดก็ได้
จากการตั้งข้อสรุปของเขา ฝั่งศัตรูน่าจะเริ่มจับสังเกตได้ตั้งนานแล้วหลังจากที่พวกเขากำจัดทั้งหกกลุ่มไป และบางทีพวกผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพเหล่านั้นอาจกำลังรวมตัวกัน …รอให้พวกเขาเดินไปติดกับดักก็เป็นได้!
เด็ก ๆ ทุกคนในค่ายอัสนีม่วงยืนอยู่ในตำแหน่งห้าธาตุ และตั้งเป็นหน่วยรบขึ้น โดยทุก ๆ สี่หน่วยรบจะรวมกันเป็นกลุ่มที่ประจำตามตำแหน่งสัญลักษณ์ทั้งสี่
ในบรรดากลุ่มทั้งสามที่ยืนอยู่ตามตำแหน่งสัญลักษณ์ทั้งสี่ มีหนึ่งกลุ่มที่ยืนเป็นแนวหน้า ในขณะที่อีกสองกลุ่มยืนอยู่ทางปลีกซ้ายขวาจัดเป็นกระบวนทัพตัวผิ่น (品)
เมื่อมองจากท้องนภา จะเห็นว่ากลุ่มค่ายอัสนีม่วงได้จัดกระบวนทัพเป็นสามเหลี่ยมขนาดใหญ่แยกเป็นกระบวนทัพห้าธาตุสิบสองขบวนและกระบวนทัพสี่สัญลักษณ์อีกสามขบวน โดยแต่ละขบวนซ้อนทับและเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ทำให้พวกเขาประสานงานกันได้อย่างเป็นระบบระเบียบและแผ่กลิ่นอายสังหารออกมา
นอกจากนี้ทุก ๆ กลุ่มจะมีผู้นำ ทั้งเจ้าดำ เจ้าหน้าบาก และเจ้าโล้น ต่างเว้นระยะห่างกันพอสมควร แต่ยังคงก่อเป็นแนวสามเหลี่ยมที่พอเห็นได้ราง ๆ
นี่คือกระบวนทัพที่เฉินซีถ่ายทอดมาให้พวกเขา โดยให้พวกเด็ก ๆ รวมตัวกันเป็นจุดในขบวนใหญ่ จากนั้นจึงรวมจากจุดเป็นแถว จากแถวเป็นขบวน และในที่สุดก็กลายเป็นกระบวนทัพสุดอลังการนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนทัพอันยิ่งใหญ่นี้ก็มีผู้นำกลุ่มทั้งสามเป็นศูนย์กลางคอยร่วมมือกันออกคำสั่งทั้งหมด
นี่ไม่ใช่การสู้ตัวต่อตัวอีกต่อไป แต่เป็นการต่อสู้ร่วมกัน ความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามย่อมมาจากการรวมพลังกันของคนในกลุ่ม ไม่มีใครเคลื่อนไหวโดยพลการและต้องคอยเชื่อฟังคำสั่งอยู่เสมอ มิฉะนั้นพลังของกระบวนทัพอันยิ่งใหญ่จะลดลงอย่างมาก
เฉินซีตั้งชื่อกระบวนทัพนี้ว่ากระบวนทัพสามประสานเจาะทะลวง!
นอกจากการบ่มเพาะในหุบเขาแล้ว เด็ก ๆ ก็ยังได้ฝึกฝนกระบวนทัพนี้อีกด้วย และตอนนี้พวกเขาก็สามารถจัดกระบวนทัพได้อย่างไร้ที่ติ การประสานงานของพวกเขานั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นระบบอย่างยิ่ง
ทว่าเฉินซียังให้คำตอบไม่ได้ว่าพลังของกระบวนทัพนี้จะทรงพลังเพียงใด เพราะอย่างไรแล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เด็ก ๆ ออกมาสู่สนามรบพร้อมกระบวนทัพสามประสานเจาะทะลวงและยังไม่เคยเผชิญกับการต่อสู้จริง
ในความคิดของเฉินซี ค่ายอัสนีม่วงนั้นยังไม่ถือว่าเป็นหน่วยรบในการต่อสู้ครั้งใหญ่ด้วยซ้ำ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสั่งการกลุ่มขนาดเล็กเท่านี้คือการจัดขบวนและความรู้ใจกัน
หากมีจำนวนคนมากพอ กระบวนทัพสามประสานเจาะทะลวงก็จะสามารถขยายออกไปได้โดยไร้ขีดจำกัด แสนคน ล้านคน สิบล้านคน… ตราบเท่าที่ทุกคนประสานงานร่วมกันดีพลังอำนาจก็จะเพิ่มทวีคูณ
กลุ่มที่มีระเบียบเป็นหนึ่งเดียวราวกับกองทัพย่อมกวาดล้างเหล่าผู้บ่มเพาะที่ไร้การวางแผนได้ แม้จะไม่อาจกล่าวได้ว่ากวาดล้างได้โดยไม่มีการต่อต้านของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่มีใครทนกับความน่าเกรงขามของกลุ่มนี้ได้!
ตัวอย่างเช่น กระบวนทัพห้าธาตุ พลังชีวิตของคนทั้งห้าก่อเป็นกระบวนทัพที่เชื่อมต่อและประสานงานกัน มันสร้างการไหลเวียนที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งช่วยในการสื่อสารและความรู้ใจระหว่างกันอย่างมาก จึงถือเป็นกระบวนทัพที่มากประสิทธิผล
แม้แต่กระบวนทัพระดับสูงก็ยังมีกระบวนท่าสังหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ซึ่งกระบวนท่าเหล่านี้สามารถทำให้โลกทั้งใบตกอยู่ในความมืดมิดได้!
ทว่าการฝึกกระบวนทัพเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประการแรก ลูกขบวนต้องทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ประการที่สอง พวกเขาต้องจดจำรูปแบบ การจัดวาง การเรียงขบวนและอีกมากมายให้ได้
ทว่านี่ยังเป็นกระบวนทัพสามประสานเจาะทะลวงที่เรียบง่ายที่สุด หากเป็นกระบวนทัพใหญ่รูปแบบอื่น ก็ย่อมใช้ข้อกำหนดที่โหดเหี้ยมยิ่งขึ้นและเพียงแค่การจัดรูปแบบก็มากพอที่จะทำให้คนวิงเวียนศีรษะแล้ว
และแม้ว่ากระบวนทัพเช่นนี้จะสามารถเพิ่มพลังในการต่อสู้ได้ มันก็ไม่ได้ทรงพลังในทุกด้านเพราะสถานการณ์การต่อสู้มักเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ซึ่งจะเป็นบททดสอบความสามารถในด้านความเข้าใจและการปรับตัวตามสถานการณ์ของผู้บัญชาการ
เหมิงเหวยเปิดเส้นทางข้างหน้าอย่างระมัดระวังขณะทอดสายตามองค่ายอัสนีม่วง เขาพบว่าเด็ก ๆ ทุกคนล้วนมีท่าทางที่สงบสำรวมในขณะที่เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงเป็นระบบระเบียบ ไม่มีใครรู้สึกประหม่าหรือตื่นเต้นแม้แต่คนเดียว เจ้าตัวจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพอใจ
เมื่อเผชิญกับศึกสงคราม ทั้งหมดที่จำเป็นคือจิตที่สงบและการตัดสินใจที่เฉียบขาด อารมณ์อื่นนอกเหนือจากนี้จะเป็นอุปสรรคต่อการรบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้นี้ ความสุขุมเยือกเย็นและการเชื่อฟังคือกุญแจสำคัญ
“ระวัง มีบางอย่างอยู่ข้างหน้า!” ดวงตาของเหมิงเหวยเปล่งประกายแสงเย็นวาบ เขาส่งเสียงเตือนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ทว่าสีหน้าของเด็ก ๆ ยังคงเดิม สงบสำรวมตัว หากแต่ดวงตาของพวกเขากลับแฝงไปด้วยความตื่นเต้นและจิตสังหาร
ศึกแรกของค่ายอัสนีม่วงได้มาถึงแล้ว!
…
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
บนท้องฟ้าอันไกลโพ้น เสียงอากาศฉีกขาดสั่นสะเทือนดั่งคลื่นโหมกระหน่ำ กลุ่มที่ดูราวกับเมฆดำปรากฏขึ้นในทัศนวิสัย เมฆก้อนนี้อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายอันโอ่อ่าและทำให้ลมหมอกและเมฆโดยรอบปั่นป่วน
ที่แท้คนกลุ่มนี้ก็คือผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพนั่นเอง พวกเขามีกำลังพลประมาณสามร้อยนาย จำนวนพอ ๆ กลุ่มที่เหมิงเหวยและคนอื่น ๆ เคยเผชิญก่อนหน้านี้ โดยประกอบไปด้วยผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงหนึ่งคนและระดับทองสิบคน
หากเป็นเมื่อก่อน เหมิงเหวยคงจะกังวลเป็นอย่างมากเมื่อเห็นกองกำลังเช่นนี้ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นรูปขบวนทัพที่กระจัดกระจายของอีกฝ่าย ความรู้สึกโล่งใจและแน่วแน่จึงผุดขึ้นมาจากหัวใจของเขา
ทั้งสองฝ่ายไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไป เข้าประจัญบานโดยตรง! ในจังหวะนี้ไม่มีจำเป็นจะต้องกล่าวอะไรอีกต่อไป เพราะผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพเหล่านี้ได้ทำลายถิ่นที่อยู่และคร่าชีวิตคนในเผ่าไปนับล้านชีวิต ความกระหายการแก้แค้นจึงเกิดขึ้นมาตั้งแต่เนิ่นนานแล้ว!!
อีกด้านหนึ่ง เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพพากันตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเหมิงเหวยและพวกพ้อง เพราะหน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายคือหยุดและสังหารผู้รอดชีวิต และบัดนี้ก็บังเอิญพบเจอพวกผู้รอดชีวิตที่ว่า ดังนั้นมีหรือที่พวกเขาจะพลาดโอกาสอันดีงามแบบนี้ไป?
โครม!
มีผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพที่อดใจไม่ไหว เปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางพุ่งจู่โจมเหมือนฝูงผึ้ง พวกเขาเปิดใช้กระบวนท่ารุนแรงทันทีที่ลงมือ และเมื่อไม่มีคำสั่งใด ๆ ทุกอย่างมันจึงดูวุ่นวายไปหมด
ตอนนี้แม้แต่ผู้นำค่ายอัสนีม่วงทั้งสาม เจ้าดำ เจ้าหน้าบากและเจ้าโล้นต่างถอนหายใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน จากนั้นพวกเขาจึงเผยแววตาเย็นยะเยือกที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารออกมา!
ปราณจ้าววิญญาณอันทรงพลังปะทุขึ้นภายในร่างกายของเด็ก ๆ ทุกคนในค่ายอัสนีม่วง พวกมันพากันก่อร่างเป็นยักษ์สูงสิบจั้ง ดูแล้วเหมือนหุบเขามรณะที่ผุดขึ้นจากธรณีอย่างไรอย่างนั้น!
กลิ่นอายของพวกเขาประสานรวมกันกลายเป็นจิตสังหารที่พลุ่งพล่านจนดูเป็นรูปธรรม เหมือนกับมังกรผงาดที่กำลังถลาสู่ท้องนภาและปกคลุมทั่วทั้งสมรภูมิ!!