บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 703 บงกชน้ำแข็งม่วงเข้ม

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 703 บงกชน้ำแข็งม่วงเข้ม

บทที่ 703 บงกชน้ำแข็งม่วงเข้ม

ครืน!

แสงศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกับดอกไม้สีม่วงนับพันนับหมื่นที่สาดส่องและสอดประสานเข้าด้วยกัน ได้เข้าปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน และระเบิดใส่ค่ายกลใหญ่อย่างแรง!

ปรากฏการณ์นี้ราวกับมีทะเลดอกไม้สีม่วงโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเหนือช่องเขาอย่างกะทันหัน ก่อนจะบานสะพรั่งภายในค่ายกล และระเบิดแสงศักดิ์สิทธิ์ที่แหลมคมก็ทำการอาละวาดไปทั่วค่ายกลยักษ์!

ในไม่ช้า เปลวเพลิงสุริยันครามที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในค่ายกลพลันเริ่มเบาบางลง ในขณะที่แรงกดดันของมันก็อ่อนลงมากเรื่อย ๆ สวนทางกับดอกไม้สีม่วงที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เกิดแสงสีม่วงส่องประกายระยิบระยับไปทั่วค่ายกล บังเกิดเป็นฉากที่วิจิตรตระการตา!

ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงที่โจมตีค่ายกลพลันเผยรอยยิ้มเย็นชา ในใจของเจ้าตัวรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ด้วยดอกไม้สีม่วงเหล่านี้คือบงกชน้ำแข็งม่วงเข้มที่เขารวบรวมมาจากใต้ดิน และตัวเขาได้ขัดเกลามันด้วยเคล็ดวิชาลับมากว่าร้อยปี ทำให้มันทรงอานุภาพยิ่งกว่าสมบัติกึ่งอมตะเสียอีก!

ทันใดนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงคนนั้นก็ตะโกนว่า “จงแข็งตัว!”

ตราประทับที่เขาสร้างด้วยมือพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ดอกไม้สีม่วงที่ปกคลุมท้องฟ้ากลายเป็นผลึกน้ำแข็งโปร่งแสง และเข้าแช่แข็งเปลวเพลิงสุริยันฟ้าครามในทันใด!

ค่ายกลใหญ่ที่อยู่ในช่องเขาตรงหน้าพวกเขาดูจะสูญเสียเขี้ยวเล็บที่แหลมคมที่สุดไปในทันที ทำให้หลายคนพากันแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ในขณะที่ดวงตาซึ่งจับจ้องไปยังผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับผลึกม่วงก็เปลี่ยนไป

“ความแข็งแกร่งของเยว่ยาคนนี้ไม่เลวเลย!” ชวีถ่ารู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย …เยว่ยาคนนี้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากพิภพวิญญาณจันทรา และเขาก็เป็นหนึ่งในผู้นำของกองกำลังเช่นเดียวกัน

“ความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ไม่เลวจริง ๆ นึกไม่ถึงว่าเขาจะครอบครองสิ่งล้ำค่าอย่างบงกชน้ำแข็งม่วงเข้ม” ชายร่างเตี้ยพึมพำ จากนั้นจึงกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ผู้นำชวีถ่า เจ้าต้องระวังไว้ อย่าให้ใครมายึดคัมภีร์กำเนิดเต๋าแห่งนรกขุมที่เก้าได้ มิฉะนั้น พวกมันจะได้รับผลประโยชน์มากมายกลับไป”

“ฮึ่ม! ก็แค่เยว่ยา เขานับเป็นตัวอะไรได้?” ชวีถ่าคำรามเย็นชา และเผยความมั่นใจที่แข็งแกร่งออกมา

ส่วนอาไหลก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ดวงตาฉายประกายล้ำลึก ในขณะที่จ้องมองไปยังบงกชน้ำแข็งม่วงเข้มที่แข็งตัวเป็นผลึกน้ำแข็งอย่างแน่วแน่ ภายในสายตาของอาไหล ผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นได้กลายเป็นลูกบอลหมอกสีม่วง จากนั้นพวกมันก็ผันผวนเป็นจังหวะที่ไม่เหมือนใคร เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเคล็ดวิชาน้ำแข็งต้องห้ามประเภทหนึ่งที่สามารถแช่แข็งทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าได้

ช่างน่าสยดสยองอย่างแท้จริง!

อาไหลถอนหายใจ

ทว่าช่องเขาด้านล่างกลับสงบเป็นพิเศษ ผิดกับแรงกดดันที่ไม่ธรรมดาของเยว่ยา

มันเป็นความสงบที่ผิดปกติ!

ภายในสายตาคู่นั้น อาไหลแทบจะมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวใด ๆ และดูเหมือนว่าผู้คนในช่องเขาจะเลิกต่อต้านตั้งไปนานแล้ว พวกเขากำลังรอให้ค่ายกลถูกทำลาย อีกทั้งยังรอความตายที่กำลังจะมาถึง

แต่ภายในใจของอาไหลกลับมีความรู้สึกไม่มั่นคงอยู่จาง ๆ เขาใช้พลังทั้งหมดเพื่อเปิดม่านตาทั้งสองข้างให้กว้างขึ้น และค้นหาอย่างระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าตนเองจะพลาดรายละเอียดใดไป

ผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพของกองกำลังอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศอย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะว่ามันสงบเกินไป มันสงบเสียจนรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหยุดพูดคุย และเฝ้ารักษาสถานการณ์อย่างระมัดระวัง

ในขณะนี้ มือของเยว่ยาสะบัดไปมา พวกมันเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่ลึกล้ำและคลุมเครือ ก่อนที่จะตะโกนออกมาอย่างดุเดือดว่า “จงระเบิด!”

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

บงกชน้ำแข็งม่วงเข้มที่ปกคลุมรอบ ๆ ช่องเขาพลันระเบิดออก พร้อมกับแสงสีม่วงจำนวนมหาศาลแผ่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน ทำให้อุณหภูมิในระยะสองพันห้าร้อยลี้ลดฮวบฮาบในทันที แม้แต่อากาศก็ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ในขณะที่หินบนพื้นถูกแช่แข็งจนแตกออกจากกัน

ครืนนนนนนนน!

บงกชน้ำแข็งม่วงเข้มเหล่านี้ได้เปลี่ยนเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงจำนวนมากที่พุ่งออกมาราวกับกระแสน้ำ และมันแฝงไปด้วยพลังมหาศาล ในขณะที่พุ่งเข้าหาค่ายกลใหญ่!

เมื่อค่ายกลใหญ่ดูเหมือนใกล้ที่จะถูกทำลาย… จู่ ๆ ก็มีแสงสีดำวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน

สะเก็ดเปลวเพลิงที่เหมือนดวงดาวสีดำพลันลอยขึ้นมาอย่างเงียบงัน และกลายเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ในชั่วพริบตา มันปกคลุมทั้งค่ายกลใหญ่ เมื่อมองจากระยะไกล ก็เหมือนกับว่าพื้นผิวของค่ายกลถูกปกคลุมไปด้วยชั้นทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่

แต่ดวงดาวกลุ่มนั้นกลับมีสะเก็ดเปลวเพลิงสีดำจำนวนมาก พวกมันเย็นเยียบและน่าหวาดผวา อีกทั้งยังปล่อยกลิ่นอายที่เย็นชาและลึกลับออกมา!

“เปลวเพลิงราชานกยูงปรโลก!” ม่านตาของอาไหลหดตัวทันที เมื่อคำเหล่านี้เปล่งออกมาจากริมฝีปาก

“เป็นมัน!”

ก่อนหน้านี้ เขาเคยสังเกตเห็นแสงสีดำที่อ่อนแรงและมองเห็นยากอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่สังเกตค่ายกลใหญ่ในช่องเขา แต่เนื่องจากแสงสีดำกะพริบเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะหายไป สิ่งนี้จึงเป็นเหมือนกับภาพหลอนจนพานให้อาไหลไม่ได้คิดจริงจังกับมัน

แต่ในขณะนี้ เมื่อเห็นค่ายกลใหญ่ที่ดูจะประดับประดาด้วยหมู่ดาว ในที่สุดเขาก็รู้ว่ารูปลักษณ์ที่แท้จริงของค่ายกลได้ปรากฏขึ้นแล้ว!

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ท่ามกลางการจ้องมองที่ตกตะลึงของผู้คนจำนวนมาก กระแสน้ำที่ควบแน่นโดยแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงได้กระแทกลงมาอย่างหนักบนค่ายกลใหญ่

ตู้ม!

มันเหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟากฟ้า และกระแทกอย่างแรงลงบนพื้นผิวของค่ายกล ทำให้เกิดเสียงดังโครมคราม เช่นเดียวกับหัวใจของทุกคนที่คล้ายกับกลองถูกตีรัว ทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน ขณะที่ใบหน้าซีดลงเล็กน้อย

ขณะนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงได้แตกเป็นเสี่ยง ๆ และกลายเป็นสายฝนโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสียงปะทะกันดังสนั่นนี้ฟังดูเหมือนเสียงตีกลองอันน่าสยดสยองของทวยเทพดังก้องออกมา และมันน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ความว่างเปล่าก็สั่นสะเทือนจนยุบลงทีละนิด ก่อนจะกลายเป็นระลอกคลื่นที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ กวาดไปโดยรอบ

ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า กระแสน้ำที่ก่อตัวขึ้นจากบงกชน้ำแข็งม่วงเข้มจะรุนแรงและดุร้ายเพียงนี้!

ทว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันยิ่งกว่าก็คือ ภายใต้การโจมตีที่น่าสะพรึงกลัว ค่ายกลใหญ่ภายในช่องเขากลับสั่นเพียงเล็กน้อย จากนั้นมันก็ฟื้นกลับสู่สภาพเดิม!

มันไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย และอยู่ในสภาพไร้ที่ติ!

รอยยิ้มพึงพอใจที่มุมปากของเยว่ยานั้นแข็งค้างทันที เช่นเดียวกับม่านตาที่ขยายออก ราวกับว่าเขากำลังเห็นภูตผีวิญญาณร้าย เพราะกระบวนท่าสังหารที่คาดหวังไว้สูงนั้น …กลับไม่ประสบความสำเร็จ!

“ช่างเป็นค่ายกลใหญ่ที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!” ดวงตาของชวีถ่าหรี่ลงเช่นกัน ก่อนจะถามอย่างรวดเร็วว่า “อาไหล ค่ายกลใหญ่นี้คือสิ่งใด?”

“มันอาจเป็นค่ายกลรูปแบบใหม่ และผู้ที่สร้างมันขึ้นมานั้นจะต้องเป็นยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ในเต๋าแห่งยันต์อักขระ เขาน่าเกรงขามอย่างยิ่ง” อาไหลหายใจเข้าลึก ๆ และเสียงของเขาก็แสดงความชื่นชมโดยไม่รู้ตัว “เปลวเพลิงสุริยันฟ้าครามที่อยู่ภายในนั้นไม่มีค่าอะไร และความยากลำบากเกิดขึ้นจากเปลวเพลิงราชานกยูงปรโลกที่ปกคลุมอย่างหนาแน่น หากข้าจำไม่ผิด คนที่สร้างค่ายกลนี้อาจมีสมบัติที่น่าเกรงขามซึ่งกลั่นมาจากขนนกของราชานกยูงปรโลก และเขาได้ใช้มันเป็นรากฐานของค่ายกล ในขณะที่ปราณเซียนถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อให้ค่ายกลดังกล่าวทำงาน”

อาไหลหยุดชั่วครู่ จากนั้นเจ้าตัวก็ส่ายศีรษะและถอนหายใจ “โชคไม่ดีที่การเปลี่ยนแปลงของมันซับซ้อนเกินไป ข้าจึงมิอาจเข้าใจมันได้ …ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์ในเต๋าแห่งยันต์อักขระผู้นี้คือใครกันแน่ เหตุใดเขาถึงสร้างค่ายกลใหญ่เช่นนี้ได้?”

ชวีถ่าถึงกับตกตะลึงไปเมื่อได้ยิน และสีหน้าของเขาก็หนักอึ้งเช่นกัน อาไหลเป็นหนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาไว้วางใจมากที่สุด แม้ว่าจะอ่อนแอ แต่ด้วยการบ่มเพาะเต๋าแห่งยันต์อักขระของอาไหล และดวงตาสองคู่โดยกำเนิด มันก็ช่วยเขาได้อย่างมาก

ทว่าตอนนี้ แม้แต่อาไหลก็ไม่สามารถมองผ่านความลึกล้ำของค่ายกลใหญ่นี้ได้ ดังนั้นชวีถ่าจะไม่ตกใจได้อย่างไร?

“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอยู่ภายในค่ายกล?”

ในขณะนี้ ความคิดแบบเดียวกับที่เขาเคยคิดก่อนหน้านี้ ได้ผุดขึ้นในใจของชวีถ่าอีกครั้ง จากนั้นสีหน้าของเจ้าตัวก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

“ฆ่าพวกมัน!” ทุกคนบุกพร้อมข้า! มันก็แค่ค่ายกลที่ใกล้พังทลาย แล้วมันจะขัดขวางฝีเท้าของข้าได้อย่างไร?!?” เยว่ยาโกรธจนหน้าเขียวและซีดเซียว จากนั้นเขาก็กัดฟันแน่น และตะโกนออกมาสุดเสียง

ฟิ้ว!

ในเวลาต่อมา เยว่ยาได้นำกองกำลังทั้งสามร้อยคนที่อยู่ด้านหลังของเขาพุ่งตัวไปยังช่องเขาตรงหน้าโดยไม่รีรอ

ทว่าเยว่ยาไม่ได้พุ่งเข้าไปกับแนวหน้า กลับเลือกที่จะยึดแนวรับไว้ด้านหลัง เพราะหากกล่าวตามจริง เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เยว่ยารู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยง

และถือว่าการตัดสินใจครั้งนี้ช่วยชีวิตเขาไว้จริง ๆ

เพราะในช่วงเวลาต่อมา ทันทีที่คนทั้งหมดพุ่งเข้าสู่ค่ายกล ผู้ใต้บังคับบัญชาของเยว่ยาก็เหมือนกับแมลงที่ตกลงไปในใยแมงมุม ร่างกายของพวกเขาถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงสีดำที่ทำให้ทั้งร่างละลาย ทำให้เหยื่อได้แต่ร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวช และไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไร พวกเขาก็หนีไม่พ้น และถูกละลายจนไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูก!

ฉากอันน่าสยดสยองและโหดร้ายนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ตกตะลึงเสียจนลืมหายใจ!

“มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!”

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายเปลวเพลิงสีดำเหล่านั้น! และสิ่งนี้ก็คล้ายกับเนื้อร้าย เพราะตราบใดที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาแม้เพียงเล็กน้อย ร่างกายและวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะถูกเผาผลาญในทันที ซึ่งมันทั้งโหดเหี้ยมและอำมหิตที่สุด!

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ นอกจากผู้นำอย่างเยว่ยาแล้ว เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพกว่าสามร้อยคนได้เสียชีวิตภายในค่ายกลแห่งนี้อย่างน่าสยดสยอง!

“ช่างน่ากลัวเหลือเกิน! โชคดีที่ข้าไม่ได้เหยียบเข้าไปข้างใน…” นอกจากความรู้สึกโชคดีแล้ว สีหน้าของเยว่ยายังมืดมนยิ่ง ท่ามกลางการจ้องมองของทุกคนที่อยู่ที่นั่น ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมดของเขาถูกกวาดล้างจนสิ้น และมีเพียงตัวเยว่ยาเท่านั้นที่รอดชีวิต …สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว

ในขณะนี้ ไม่มีใครเยาะเย้ยเยว่ยาที่ขี้ขลาดเลยสักคน เพราะสายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังค่ายกลใหญ่ที่อยู่ภายในช่องเขาเบื้องหน้า ขณะที่สีหน้าของพวกเขาพากันเปลี่ยนไปมาอย่างไม่รู้จบ

บรรยากาศเริ่มหนักอึ้งมากขึ้น

ค่ายกลเบื้องหน้านี้น่ากลัวและแปลกประหลาดเกินไป พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงที่จะก้าวเข้าไป แต่พวกเขาก็ไม่เต็มใจอย่างยิ่งที่จะล่าถอยเช่นกัน

เนื่องจากพวกเขามาที่นี่ตามคำสั่ง ดังนั้นหากกลับไปอย่างสุนัขที่หวาดกลัวจนหางจุกตูด ไม่ต้องกล่าวถึงความอัปยศ เพียงความโกรธของปรมาจารย์อวิ๋นซู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถทนได้แล้ว!

“ท่านผู้นำ โปรดเตรียมตัว จากการสังเกตของข้า พลังของค่ายกลนี้กำลังอ่อนลง และอีกไม่นานก็จะพังทลายลงเอง” ทันใดนั้น อาไหลพลันกล่าวเตือนด้วยเสียงแผ่วเบา

“เจ้าว่าอันใดนะ?” ดวงตาของชวีถ่าเป็นประกาย ก่อนที่เขาจะตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และรู้สึกได้ราง ๆ ว่า ค่ายกลใหญ่ที่อยู่ภายในช่อง ขณะนี้มันคล้ายกับถุงหนังถูกเจาะรู และปราณเซียนที่บรรจุอยู่ภายในก็กำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ

“ไปบอกทุกคนให้เตรียมตัว!” ชวีถ่าตัดสินใจทันที เขาออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มหนัก ซึ่งเผยให้เห็นร่องรอยความตื่นเต้น

อาไหลรับคำสั่งนั้น และถอนตัวออกไป

“เอ๊ะ พลังของค่ายกลนี้ดูเหมือนจะอ่อนแรงลงอย่างรวดเร็ว!” ในขณะนี้ คนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงต่างอุทานด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน

ในขณะนี้ จิตวิญญาณของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพทั้งสี่กองที่เหลือพลันรู้สึกสดชื่นขึ้นทันตา พวกเขาล้วนมีสีหน้าอาฆาตแค้น ในขณะที่ถูฝ่ามือเข้าด้วยกัน ทุกคนกำลังรอให้ค่ายกลตรงหน้าสลายไปเอง ก่อนที่พวกเขาจะบุกเข้าไป!

“เหตุใดพลังของค่ายกลถึงลดลง? นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นหรือ?” ภายในช่องเขา เหมิงเหวยพลันขมวดคิ้ว ในขณะที่ใบหน้าของที่มั่นคงดั่งหินผาเขาอดมิได้ที่จะเผยความงุนงงเล็กน้อย

โม่ย่าก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ปราณเซียนที่ล่องลอยอยู่ภายในช่องเขากำลังลดลงอย่างฉับพลัน และใกล้จะหมดลงอย่างสมบูรณ์ …หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ค่ายกลไฟนรกตะวันครามก็จะพังทลายลง!

และพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกเผยตัวต่อหน้าศัตรูเช่นกัน!

“ตรงนั้น ปราณเซียนกำลังพุ่งเข้าหาพี่เฉินซี!” ในขณะนี้ เสี่ยวเฉินพลันร้องออกมา

ทุกคนต่างมองดูสิ่งนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน และเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นในช่องเขา ร่างกายของทุกคนก็พลันแข็งทื่อไ ในขณะที่ดวงตาของพวกเขาได้เผยให้เห็นความตกใจที่ไม่อาจปกปิดได้!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท