บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 708 เมืองหลีหั่ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 708 เมืองหลีหั่ว

บทที่ 708 เมืองหลีหั่ว

เมืองหลีหั่ว เป็นเมืองใหญ่ที่เฟื่องฟูและเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในแดนภวังค์ทมิฬ และเป็นที่ตั้งของตำหนักสำนึกสวรรค์

ตำหนักสำนึกสวรรค์คือกองกำลังอันน่าเกรงขาม ซึ่งรับเฉพาะศิษย์หญิงเท่านั้น และถึงแม้จะไม่ติดหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ แต่ความแข็งแกร่งของมันก็ไม่อาจประเมินต่ำเกินไปได้ ด้วยชื่อเสียงและสถานะของพวกเขาเทียบได้กับสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่

ปีนี้เป็นช่วงเวลาในการรับศิษย์ของตำหนักสำนึกสวรรค์ที่เกิดขึ้นทุก ๆ สิบปี และมันได้ดึงดูดความสนใจจากกองกำลังนับไม่ถ้วนของแดนภวังค์ทมิฬ ยิ่งกว่านั้น หญิงสาวมากมายจากทั่วทุกสารทิศต่างก็หลั่งไหลเข้ามาหลังจากได้ยินข่าวนี้

ดังนั้นเมืองหลีหั่วจึงดูจะคึกคักยิ่งกว่าเดิม หญิงงามที่แต่งกายด้วยชุดที่สวยงาม สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนที่สะอาดและกว้างขวาง ซึ่งพวกนางก็เหมือนกับภาพอันสวยงามมากมายที่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น

ไม่เพียงแค่นั้น อัจฉริยะที่อายุน้อยและกล้าหาญหลายคนจากทั่วทุกมุมโลก ต่างยังรีบรุดเข้ามาเพื่อเป็นสักขีพยานต่องานอันยิ่งใหญ่ของเหล่าดอกไม้มากมายที่บานสะพรั่งในคราเดียว

เพราะทุกครั้งที่ตำหนักสำนึกสวรรค์เปิดประตูเพื่อรับสมัครศิษย์ จะมีกลุ่มอัจฉริยะหญิงที่น่าทึ่งและมากด้วยพรสวรรค์ พากันปรากฏตัวออกมา

หญิงสาวเหล่านี้ล้วนมีพรสวรรค์ ร่างกายแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมากด้วยเสน่ห์และงดงาม ที่แห่งนี้จึงไม่ขาดแคลนหญิงงามไร้ที่เปรียบซึ่งสามารล่มเมืองได้

ดังนั้นแล้ว งานยิ่งใหญ่ที่เหล่าสาวงามต่างรวมตัวกันราวกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า จะไม่ดึงดูดผู้คนให้มาได้อย่างไร?

ถึงขั้นที่ชายหนุ่มส่วนใหญ่แต่งตั้งให้งานนี้เป็น ‘การประกวดหญิงงาม’ เมื่อนานมาแล้ว และพวกเขาทั้งหมดไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการค้นหาคู่บำเพ็ญจากสาวงามเหล่านี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นดั่งนกน้อยสร้างรัง โบยบินไปด้วยกัน และบ่มเพาะอย่างมีความสุข

ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป มันจึงกลายเป็นงานยิ่งใหญ่ในโลกแห่งการบ่มเพาะที่ผู้คนมักกล่าวถึงกันอย่างสนุกสนาน และทุกครั้งที่งานนี้มาถึง จะมีผู้บ่มเพาะมากมายเดินทางเข้ามา

ห่างออกไปราวสองร้อยห้าสิบลี้จากนอกเมืองหลีหั่ว

มันเป็นป่าและแนวเขาที่ขึ้นลงสลับกัน อีกทั้งยังสูงชันและกว้างใหญ่ แม้ว่าจะไม่มีสัตว์อสูรดุร้ายอาศัยอยู่ แต่มันก็มีสมุนไพรวิญญาณมากมายเติบโตอยู่

ผู้อยู่ในตำแหน่งที่ดีย่อมได้เปรียบเป็นพิเศษ ร้านขายโอสถและพ่อค้าในเมืองหลีหั่วส่วนใหญ่มักส่งคนของตนเองเข้าไปในภูเขา เพื่อรวบรวมสมุนไพรมาขาย

และที่เบื้องหน้าของต้นไม้ผลึกโลหิตซึ่งอยู่ภายในป่าในขณะนี้ มีชายหนุ่มอ่อนแอผู้หนึ่งนอนอยู่บนพื้นอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเขาหรี่ลง ขณะที่จดจ้องไปยังด้านข้างของต้นไม้ผลึกโลหิต ซึ่งสิ่งที่เขาจ้องมองอยู่นั้นคือ ต้นสมุนไพรที่มีสีเขียวหยกที่ส่งกลิ่นหอมสดชื่นอันหนาแน่นจู่โจมเข้าสู่จมูก

ชายหนุ่มผู้นี้มีชื่อว่าหงซาน เขาเป็นคนเก็บสมุนไพรของร้านยาหม้อของเมืองหลีหั่ว สถานะของเขาไม่ต่างอะไรกับพนักงานต้อนรับและคนรับใช้ อีกทั้งชีวิตของเจ้าตัวก็ลำบากเช่นเดียวกัน

ทว่าแม้ชีวิตจะลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยละทิ้งความฝันที่จะเป็นผู้บ่มเพาะ เขาเข้าใจมาตั้งแต่ยังเยาว์ว่า หากต้องการทำตามความฝันให้สำเร็จ ตัวเขาจะต้องทำงานหนักและเสียเหงื่อมากขึ้น!!

ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าจะรู้สึกสิ้นหวังมากเพียงใด หงซานก็จะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน!

ถ้ามนุษย์ละทิ้งความฝัน แล้วจะแตกต่างอะไรกับปศุสัตว์ที่รอความตายในไร่นา?

หงซานจึงทำงานหนักมาก และเขาก็ทำงานสำเร็จตามคำสั่งทุกครั้งที่ไปรวบรวมโอสถมา ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้รับรางวัลมากเช่นกัน

แต่น่าเสียดายที่สมุนไพรในป่าเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อไม่นานมานี้ และสมุนไพรที่พบเจอได้ง่ายในอดีตก็ได้ถูกรวบรวมไปจนหมดแล้ว ดังนั้นหงซานจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปในป่าลึกขึ้นเพื่อรวบรวมพวกมัน

ทว่ายิ่งเข้าไปลึกเท่าไรก็ยิ่งต้องเผชิญกับอันตรายมากขึ้นเท่านั้น!

ตอนนี้ความแข็งแกร่งของหงซานอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น ดังนั้นบางทีเขาอาจจะจัดการกับสัตว์อสูรธรรมดาได้ แต่ตราบใดที่สัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่งกว่า หงซานก็จะไม่สามารถจัดการกับมันได้

เช่นเดียวกับตอนนี้ แม้ว่าสมุนไพรจะอยู่ตรงหน้าเขา แต่หงซานก็ไม่กล้าขยับตัว เนื่องจากมีงูลายเหล็กดำอาศัยอยู่ใกล้กับสมุนไพร!

สัตว์อสูรตัวนี้มีความหนาเท่าตะเกียบและยาวเพียงสิบสามจั้ง หากแต่ความแข็งแกร่งของมันกลับทำให้ต้องตกตะลึงยิ่ง และแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลก็ไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากการเผชิญหน้ากับมันได้!

หงซานแน่ใจว่า หากเขาถูกงูพิษตัวนี้โจมตี ก็จะต้องเสียชีวิตทันทีเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับกล้ามเนื้อและกลั้นหายใจด้วยสมาธิ เพราะกลัวว่าจะถูกมันสังเกตเห็น

แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หนีเช่นกัน เพราะสมุนไพรนี้มีค่าเกินไปสำหรับเขา ด้วยมันเทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับปฐพี ซึ่งหากได้มันมา เขาก็จะสามารถลาออกจากงาน ก่อนที่จะออกตามหานิกายเล็ก ๆ เพื่อไล่ตามความฝัน!

สาเหตุที่เขารอมาหลายปีก็เพื่อสิ่งนี้ ดังนั้นหงซานจึงต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น และไม่อาจล้มเหลวได้ในครั้งนี้!

เขายอมให้ตัวเองทำสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว!

ตึก! ตึก! ตึก!

แต่ในขณะนี้เอง เสียงฝีเท้าที่ถี่เร็วพลันดังขึ้นจากภายในป่า และมีเสียงดังเล็กน้อยท่ามกลางเสียงฝีเท้าเหล่านี้ ทำให้มันเสียดหูเป็นพิเศษในบรรยากาศที่เงียบสงัดนี้

แล้วงูลายเหล็กดำกลับรู้สึกตื่นตระหนกและตื่นขึ้นในทันที มันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างโกรธเกรี้ยว

“มารดามันเถอะ!”

“เหตุใดมันถึงเกิดขึ้นตอนนี้?”

หัวใจของหงซานกระตุกวูบ ในขณะที่เขากำลังโกรธจนเกือบจะหลุดคำสาปแช่งออกมา แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหงซานก็คืองูตัวนั้นเห็นเขาแล้วจริง ๆ!

ดวงตาสีแดงเลือดและเหมือนเม็ดถั่วของมันนั้นกำลังฉายแววดุร้ายอำมหิตอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเพียงแค่จ้องมองก็ทำให้ร่างกายของหงซานสั่นสะท้าน!

ภายใต้สถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา ก่อนจะลุกขึ้นและวิ่งหนีไป

ฟิ้ว!

เสียงอากาศแยกจากกันดังไล่มาทางด้านหลัง เหมือนกับเสียงประกาศการตายของหงซาน จึงทำให้ขนแขนขาของเจ้าตัวลุกชัน และแม้ไม่ต้องหันกลับไป เขาก็รู้ว่างูลายเหล็กดำกำลังพุ่งเข้ามาหาเขา!

“หรือ… ข้าจะต้องตายวันนี้?”

ในช่วงเวลาคอขาดบาดตายเช่นนี้ ความฝันที่เขาไล่ตามมาอย่างขยันขันแข็งมาเป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็แวบเข้ามาในความคิด และความขมขื่นลึก ๆ พลันพรั่งพรูออกมาจากหัวใจของหงซานอย่างช่วยไม่ได้

“การบ่มเพาะ การบ่มเพาะ หรือว่าข้าจะไม่มีวาสนาที่จะเป็นเซียน?”

“ไม่!”

“ในเมื่อคนอื่นบ่มเพาะได้ แล้วเหตุใดข้าจะบ่มเพาะไม่ได้เล่า!?”

ความเดือดดาลที่ไม่อาจอธิบายได้ผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา จนกระทั่งระเบิดความโกรธออกมาด้วยการตะโกนว่า “ไอ้สารเลว! แน่จริงก็เข้ามา ข้าหงซานจะฆ่าเจ้าให้ตายเอง! ฆ่า!” เสียงของหงซานเผยให้เห็นถึงความไม่เต็มใจและหมดหนทาง โดยในขณะที่มันดังก้องไปทั่วป่า ใบไม้ก็พากันสั่นไหวแกว่งไปแกว่งมา

“เจ้า… ปลอดภัยหรือไม่?” ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“เอ๊ะ? หรือว่าสัตว์ตัวนี้มีสติปัญญา? หากมันกล่าวได้จริง ๆ เช่นนั้นมันก็นับว่ากลัวไม่น้อยเลย!”

หงซานตกตะลึงในใจ ขณะที่สีหน้าของเขาซีดลงอย่างน่ากลัว

แต่หลังจากนั้น จู่ ๆ ชายหนุ่มก็กลับมามีสติสติสัมปชัญญะอีกครั้ง

“ข้า…ดูเหมือนจะยังไม่ตาย?”

“เฮ้ เจ้าปลอดภัยหรือไม่?” เสียงใสดังขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้หงซานกลับมามีสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์ และเขาก็ลืมตาขึ้น ก่อนสังเกตเห็นด้วยความประหลาดใจว่า งูลายเหล็กดำได้หายไปแล้ว แต่มีเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นแทน!

“ข้า–ข้าไม่ได้ตายหรือ?” ชายหนุ่มพึมพำ ความรู้สึกที่หลีกหนีจากความตายได้เช่นนี้ ทำให้เขาไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ยับยั้งความต้องการนั้นไว้

เหตุผลนั้นง่ายมาก… เพราะเขาพบว่า สาวน้อยน่ารักที่สวมชุดหนังสัตว์นั้นกำลังถืองูลายเหล็กดำอยู่ในมือของนาง!

“เร็วเข้า! เร็วเข้า! วางมันลงเร็วเข้า! เจ้าอยากตายหรือไร?! นั่นมัน…” หงซานร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เขาก็ต้องหุบปากเงียบทันที เพราะเจ้าตัวเห็นว่า เพียงนิ้วขาวหยกของสาวน้อยบิดเบา ๆ คอของงูลายเหล็กดำตนนี้ก็ถูกหักแล้ว!

“เจ้าโตขนาดนี้แล้วแต่ยังกลัวงูอยู่อีกหรือ?” สาวน้อยหัวเราะเบา ๆ

หงซานหน้าแดงทันทีและรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

“โอ้ รับไปเถิด มันจะช่วยเจ้าบ่มเพาะได้ดีขึ้น” เด็กหญิงคนนั้นโยนงูที่ตายแล้วไปให้ชายหนุ่มขณะที่นางกล่าว

ทว่าหงซานกลับตกใจกลัวจนกระโดดขึ้นจากพื้น พร้อมกับร้องออกมาแทน

“ฮ่า ๆ!” เสียงหัวเราะดังลั่นออกมา และก็เป็นตอนนี้ที่หงซานสังเกตเห็นแล้วว่ามีกลุ่มคนเดินออกมา โดยพวกเขามีจำนวนมากกว่าร้อยคนเป็นอย่างน้อย

…พวกเขาทั้งหมดสวมชุดหนังสัตว์ที่หยาบกระด้างเช่นเดียวกับเด็กหญิงตัวเล็ก และมีเพียงชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงกลางเท่านั้นที่สวมชุดสีเขียว คนผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งดูจะค่อนข้างพิเศษเล็กน้อย

“เสี่ยวเฉิน หยุดล้อเล่นเสียที” ชายหนุ่มรูปงามชี้ไปทางเด็กน้อย

“โอ้” เด็กน้อยหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันกลับไปหาชายหนุ่ม

แน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ย่อมเป็นกลุ่มของเฉินซีนั่นเอง!

หลังจากออกจากนรกขุมที่เก้า พวกเขาได้มาปรากฏตัวในป่าแห่งนี้ ก่อนจะพักฟื้นอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งวัน และตั้งใจจะจากไป แต่ก่อนที่ทั้งคณะจะจากไป พวกเขากลับได้พบชายหนุ่มที่ตื่นตระหนกคนนี้เสียก่อน

หงซานถอนหายใจด้วยความโล่งอกในที่สุด และรู้สึกถึงความปลอดภัยที่หายไปนาน ก่อนจะวิ่งไปอย่างรวดเร็วและโค้งคำนับให้แก่เฉินซี “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ!”

เขาใช้ความคิดอย่างถี่ถ้วน และสังเกตได้จากปฏิกิริยาของทุกคนว่า ชายหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นผู้นำของกลุ่ม และคำกล่าวของเขาก็น่าเชื่อถือที่สุด

“เฮ้! ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่ขอบคุณข้าเล่า!” เสี่ยวเฉินกล่าวด้วยเสียงดังฟังชัด

“ขอบคุณ…ขอบคุณ…” หงซานอยากจะขอบคุณนาง แต่ไม่รู้ว่าจะกล่าวกับเสี่ยวเฉินอย่างไรดี ในสายตาของเขา เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้อายุประมาณสิบขวบเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะกล่าวกับนางอย่างไรด้วยความเคารพ

“ไม่เป็นไร มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย” เฉินซียิ้มแล้วกล่าวกับทุกคนที่อยู่ข้างเคียงว่า “ไปกันเถอะ มีเมืองอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ไปพักที่นั่นและซื้อของระหว่างทาง”

“เมือง!” ดวงตาของเด็ก ๆ พลันสว่างขึ้น และก็อดไม่ได้ที่จะร้องอย่างร่าเริง ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาได้ยินท่านลุงเฉินซีกล่าวถึงเรื่องนี้หลายครั้งว่า แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ ก็มีประชากรนับแสนคน และถ้าเป็นเมืองใหญ่ ๆ ก็จะมีประชากรอยู่ถึงสิบล้านคน ยิ่งกว่านั้นยังมีร้านค้า ร้านอาหาร โรงเตี๊ยมและอื่น ๆ มากมายภายในเมือง!

สำหรับเด็ก ๆ เหล่านี้ที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากนรกขุมที่เก้า ทุกสิ่งภายในเมืองนั้นช่างน่าหลงใหล และทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง

หงซานรู้สึกประหลาดใจ “คนเหล่านี้เป็นอะไรกัน? เหตุใดพวกเขาจึงมีปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อคำว่า ‘เมือง’ หรือว่าพวกเขาไม่เคยเห็นเมืองมาก่อน?”

แต่หลังจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่สวมชุดหนังสัตว์หยาบกระด้าง ซึ่งดูเหมือนกลุ่มคนป่าที่ไม่เคยออกจากภูเขา…

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ชายหนุ่มก็อดที่จะขบขันในใจไม่ได้

“โลกนี้มีคนทุกประเภทจริง ๆ”

เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ และสบกับสายตาที่คล้ายจะมองทะลุไปถึงหัวใจได้ อีกทั้งมันยังลึกล้ำและมีอำนาจสะกด ทำให้ทั้งร่างของหงซานแข็งทื่อ ไม่กล้าปล่อยให้ความคิดของตนโลดแล่นต่อไป

ในไม่ช้า กลุ่มของเฉินซีก็จากไป

ส่วนหงซานก็รีบรวบรวมสมุนไพร และหยิบซากงูลายเหล็กดำ ก่อนจะรีบไล่ตามไป จากนั้นเจ้าตัวก็กล่าวด้วยความเคารพว่า “ผู้อาวุโส พวกท่านกำลังมุ่งหน้าไปเมืองหลีหั่วใช่หรือไม่? ข้าอยู่ที่นั่นตั้งแต่ยังเด็กและคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี เช่นนั้นให้ข้าเป็นผู้นำทางให้แก่ท่านดีหรือไม่ขอรับ?”

“โอ้? ข้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรือไม่?” เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ผู้อาวุโสช่วยชีวิตอันต่ำต้อยของข้า ดังนั้นหงซานคนนี้จะกล้าแบกหน้าไปขอค่าธรรมเนียมใด ๆ ได้อย่างไร? สิ่งนั้นรังแต่จะทำให้ข้าแย่ยิ่งกว่าหมูหมากาไก่เสียอีก!” หงซานมีสีหน้าจริงจัง ในขณะที่เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม

“ตกลง งั้นเจ้าก็ตามข้ามา” เฉินซีพยักหน้า

“ขอรับ! ขอบคุณผู้อาวุโสที่กรุณา!” ใบหน้าของหงซานสว่างขึ้นด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เขาเดินไปที่ด้านหน้าของกลุ่มอย่างรวดเร็วและเริ่มนำทาง ซึ่งตัวหงซานเองไม่รู้เลยว่า ชีวิตของเขาได้เข้าสู่บทบาทใหม่แล้ว!

“เขาเป็นชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาดนัก รู้จักคว้าโอกาสเพื่อแสวงหาการพัฒนา” เหมิงเหวยที่เงียบมาตลอดกล่าวขึ้นทันทีและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหงซาน

“เขาไม่เลวเลย ข้าจะตอบแทนเขาเมื่อเราออกไปจากที่นี่” เฉินซียิ้มเบา ๆ และจ้องมองไปในระยะไกลด้วยสายตาที่ลึกล้ำ ก่อนจะเห็นเข้ากับเมืองใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ห่างออกไปสองร้อยห้าสิบลี้เบื้องหน้า!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท