บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 710 หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 710 หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า

บทที่ 710 หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า

หญิงสาวนางนี้งดงาม ผิวพรรณขาวกระจ่างดั่งหิมะ แม้แต่เชือกสีแดงที่ผูกข้อเท้าก็ถูกขับเน้นจนโดดเด่นจับตา นางมีรูปร่างสูงสง่าดั่งเทพธิดาผู้สถิตในแดนเซียน

และดูเหมือนว่า… รัศมีที่เปล่งประกายบนตัวนางจะกลบหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่อยู่เคียงใกล้ให้มัวหมองไปจนหมด

สายตามากมายต่างจับจ้องมาที่นาง พวกเขาลังเลครู่หนึ่งว่าควรจะเบนสายตาหลบเลี่ยงเรือนร่างนางดีหรือไม่ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไม่อาจควบคุมความปรารถนา และยังคงจับจ้องต่อไป

“แม่นางซู?” เฉินซีจำได้ทันที นางคือซูชิงเยียนแห่งราชวงศ์ต้าฮั่น และชายหนุ่มเองก็เคยพบปะนางอยู่หลายครั้งเมื่อตอนที่อยู่ในสมรภูมิบรรพกาล

“ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบกับเจ้าที่นี่” ซูชิงเยียนที่กำลังเดินอยู่ พลันหยุดเคลื่อนไหว ดวงตาของนางทอประกายเจิดจ้ายามทอดมองยังเฉินซี

หงซานที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักพลันชะงักไป ด้วยเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาอาศัยอยู่ในเมืองหลีหั่วมาทั้งชีวิต ดังนั้นมีหรือจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของซูชิงเยียน ทั้งชื่อและรูปโฉมที่งดงามปานล่มเมืองเช่นนี้ จะมีใครบ้างในเมืองหลีหั่วที่ไม่ล่วงรู้!

สิ่งนี้ทำให้หงซานอดคิดไม่ได้ว่า ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ตนนั้นมีบางอย่างเก็บงำไว้

“ท่านหญิงมาทำอะไรที่นี่กัน?” เฉินซีประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากการได้พบเจอคนรู้จักเมื่อครั้งเก่าก่อนทำให้เขารู้สึกสุขใจ

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่านิกายของข้าตั้งอยู่ที่นี่” ซูชิงเยียนจีบปากขณะที่นางคลี่ยิ้ม ดวงตาของหญิงสาวสดใส รับกับรูปลักษณ์ชวนเสน่หา นางมีเส้นผมยาวสลวยประหนึ่งเส้นไหม ฝ่าเท้าทั้งสองเรียวยาวขาวสะอาด ก่อให้เกิดความงามที่ชี้ชวนให้หวิวใจไม่น้อย

“ตำหนักสำนึกสวรรค์!” เฉินซีนึกออกแล้ว เขาจำได้แล้วว่าหญิงสาวเข้าร่วมตำหนักแห่งนี้เมื่อครั้งอยู่ในสมรภูมิบรรพกาล ทั้งที่เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งปี ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนยาวนานยิ่งนัก

ขณะที่คนทั้งสองกำลังสนทนา กลุ่มหญิงสาวที่มาพร้อมซูชิงเยียนก็เดินเข้ามาในวงสนทนา พวกนางจับจ้องไปยังเฉินซี พลางมองไปทางกลุ่มคนในชุดหนังสัตว์ที่อยู่ข้างหลังชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

หญิงสาวบางคนถึงกับขมวดคิ้วด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์ เห็นได้ชัดว่าพวกนางนึกรังเกียจคนที่มีสถานะต่ำต้อยและสวมเสื้อผ้าสกปรกอย่างเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ

“เฉินซี ข้าลืมแนะนำไปเลย พวกนางเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของข้า และข้าได้รับคำสั่งจากนิกายให้มาที่เมืองหลีหั่วเพื่อช่วยผู้อาวุโสเฟ้นหาศิษย์คนใหม่ แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเจ้าอีก ช่างบังเอิญเสียจริง”

ซูชิงเยียนไม่ได้สังเกตเห็นปฏิกิริยาของกลุ่มคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง นางยังคงแนะนำบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องให้ชายหนุ่มทำความรู้จักอย่างเป็นมิตร

หากทว่ายังไม่ทันที่นางจะได้แนะนำเฉินซีให้คนอื่น ๆ ได้รู้จัก หญิงสาวนางหนึ่งก็โพล่งขึ้นขัดจัดหวะเสียก่อน “ศิษย์พี่หญิง เวลามีไม่มากแล้ว พวกเราควรไปพบกับท่านผู้อาวุโสเสียก่อนนะเจ้าคะ”

“จริงสิ ข้าเพิ่งได้ข่าวว่าอาจารย์ลุงกำลังหัวเสียหนัก ดังนั้นคงจะเป็นการดีกว่าหากพวกเรารีบไปทำภารกิจให้ลุล่วง” หญิงสาวอีกนางกล่าวเสริม

คำพูดพวกนี้ทำให้หญิงสาวสับสนเล็กน้อย ด้วยนางไม่เคยได้ยินเรื่องดังกล่าวมาก่อน

นางจึงกวาดสายตามองหญิงสาวเหล่านั้น ก่อนพลันสังเกตเห็นว่าพวกนางไม่ได้แยแสเฉินซีแม้แต่น้อย อีกทั้งยังจ้องมองสหายของเฉินซีอย่างเหยียดหยาม ไม่แม้จะปกปิดความรังเกียจในใจ จึงทำให้ซูชิงเยียนเข้าใจในทันที

แต่ถึงแม้จะเข้าใจ ก็ไม่ได้แปลว่าหญิงสาวจะไม่รู้สึกเคืองขัด เฉินซีเป็นสหายของนางแท้ ๆ ทว่าศิษย์พี่ศิษย์ศิษย์น้องเหล่านี้กลับไม่เพียงไม่รับไมตรีเท่านั้น แต่ยังแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างชัดเจน นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ?

เดิมทีนางต้องการแนะนำเฉินซีให้พวกนางได้รู้จัก แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้หญิงสาวล้มเลิกความคิดนั้น นางหันกลับไปมองชายหนุ่ม ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเราไม่เข้าไปในเมืองด้วยกันเล่า?”

เฉินซีชำเลืองสายตาไปด้านหลังของซูชิงเยียน จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ไม่เป็นไร เจ้าไปเถอะ เอาไว้เจ้าสะดวกเมื่อไรค่อยว่ากัน”

“ได้สิ เจ้าคอยข้าอยู่ในเมืองหลีหั่วอีกสักวันสองวันได้หรือไม่ เมื่อข้าทำงานเสร็จแล้ว จะรีบไปพบเจ้าโดยเร็ว” รอยยิ้มของซูชิงเยียนเจิดจ้า หลังจากนั้นไม่นานนางก็จากไปพร้อมบรรดาหญิงสาวที่มาด้วยกัน

เฉินซีมองแผ่นหลังที่ลับสายตาไป ก่อนจะเอี้ยวตัวไปทางเหมิงเหวย “ไปกันเถอะ พวกเราก็จะเข้าเมืองเช่นกัน”

“น้องเฉินซี พวกข้าได้ไปรบกวนการสนทนาเมื่อครู่ของเจ้าหรือไม่” เหมิงเหวยพูดขึ้น เขาสังเกตท่าทีของซูชิงเยียนและบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางตลอดการสนทนา ดังนั้นมีหรือที่เขาจะมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

แต่ถึงอย่างนั้น เขาหาได้แยแสว่าใครจะมองพวกเขาแบบไหน เพียงแต่รู้สึกแย่ที่คอยสร้างปัญหาและความอับอายให้แก่เฉินซี

ทว่าสีหน้าของชายหนุ่มกลับเคร่งขรึมขึ้นมา และตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พี่ใหญ่เหมิงเหวย ในเมื่อพี่ใหญ่เห็นข้าเป็นน้อง เช่นนั้นก็อย่าได้พูดแบบนี้อีกเลย”

เหมิงเหวยพยักหน้าพลางระเบิดหัวเราะ “ได้!”

เมืองหลีหั่วเป็นเมืองที่ใหญ่โต มั่งคั่ง และมีเส้นทางที่กว้างใหญ่ทอดยาวไปทั่ว ร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายตลอดเส้นทาง เชื้อเชิญให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เป็นบรรยากาศที่คึกคักไม่น้อย

หลังจากเข้ามาภายในเมือง ด้วยการแต่งตัวที่แปลกตาของเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ จากเผ่านรกขุมที่เก้า มันจึงดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย ทำให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบเกี่ยวกับพวกเขาดังตลอดทางที่เดินไป และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ตอบโต้หรือแสดงท่าทีใดออกมา ทว่าเฉินซีก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกแย่ในใจของพวกเขา

ก่อนที่ในจังหวะนั้น ชายหนุ่มจะพูดบางอย่างกับหงซาน ซึ่งทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจไม่น้อย ทว่าไม่นานเจ้าตัวก็เข้าใจถึงความนัยของมัน ดังนั้นหงซานจึงเดินนำทางกลุ่มของเฉินซีไปยังหออันโอ่อ่าแห่งหนึ่ง

สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นจากแผ่นหยกสีม่วงเหลือบเงินทั้งหลัง มันเป็นอาคารที่มีความโปร่งและนวลตาไปด้วยแสงสีม่วงสลัว ขณะที่รอบ ๆ หอต่างประดับด้วยโคมไฟผลึกแก้วที่ห้อยระย้าจากชายหลังคา พวกมันสาดแสงไฟหลากสีให้พราวระยับไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ที่แห่งนี้ดูราวกับดินแดนในฝัน

ทันทีที่สายตามองไปยังฉากเบื้องหน้า พวกเด็ก ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงัน

จริงอยู่ที่พวกเขาได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนตลอดเส้นทางที่เข้ามาในเมือง แต่นั่นก็เป็นเพียงการกวาดตามองแบบผ่าน ๆ เท่านั้น และความงดงามของสิ่งอื่นใดก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจเทียบได้กับหอหลังนี้เลย!

เฉินซีเองก็ตกตะลึงกับความงดงามนี้เช่นกัน ชายหนุ่มพอจะมองออกว่าแผ่นหยกม่วงพวกนี้ต่างจารึกด้วยอักขระยันต์เต็มไปหมด และแม้แต่โคมผลึกก็ยังแขวนไว้ด้วยกันร้อยแปดอัน จึงเห็นได้ชัดว่าหอหลังนี้ได้รับการปกป้องจากค่ายกลใหญ่เป็นอย่างดี

ทว่าค่ายกลนี้กลับไม่ได้น่าเกรงขามหรือทรงพลังถึงเพียงนั้น แต่ภาพสะท้อนที่เด่นชัดเลยก็คือความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ เพราะการจะสร้างค่ายกลใหญ่เช่นนี้ได้ จะต้องลงทุนลงแรงไปมหาศาล และแค่แผ่นหยกสีม่วงนั่นก็แพงหูฉี่มากแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเจ้าของหอคนนี้จะต้องร่ำรวยอย่างมาก

สายตาของหงซานเผยความซับซ้อน ทว่าไม่นานก็กลับคืนสู่ปกติ “นี่คือหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า หอการค้าสมบัติวิเศษหายากที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลีหั่ว ไม่ว่าจะของล้ำค่าชิ้นใดก็สามารถซื้อหาได้ที่นี่ ทำให้มันเป็นที่นิยมให้หมู่ผู้บ่มเพาะอย่างมาก”

เฉินซีพยักหน้ารับ ก่อนจะพาเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ เข้าไปในหอการค้า

หลังจากที่เข้าไปข้างใน เขาพลันสังเกตเห็นว่าที่นี่มีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าที่เห็นจากภายนอกมาก อีกทั้งรอบด้านยังถูกประดับประดาด้วยความหรูหรายิ่งกว่า ไม่ว่าจะพื้น ผนังหรือบริเวณใด ๆ ล้วนแต่ปกคลุมไปด้วยหินแก้วภูเขาไฟแซมผลึกทองซึ่งถูกขัดเป็นมันวับ ทำให้ดูราบเรียบราวกระจก และเมื่อแสงจากโคมผลึกแก้วตกกระทบเนื้อหินสีดำ มันก็ยิ่งทำให้ดูโอ่อ่าและยิ่งใหญ่กว่าเดิม!

ผู้ดูแลหอการค้าเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทางสุภาพ ทว่าทันทีที่เห็นกลุ่มคนในชุดหนังสัตว์เบื้องหลังเฉินซี ตาของเจ้าตัวก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ ความเป็นมิตรที่มีเมื่อก่อนหน้านี้ลดหายไปกว่าครึ่ง

“ขอต้อนรับทุกท่านสู่หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า พวกท่านสามารถเดินชมสินค้าของเราได้ตามอัธยาศัยและสามารถตรวจสอบคุณสมบัติของสินค้าได้อย่างละเอียดตามแต่ปรารถนา แต่โปรดใส่ใจด้วยว่าทางเราไม่อนุญาตให้แตะต้องสินค้าเหล่านั้น ด้วยเกรงจะทำให้เกิดความเสียหายหรือความสกปรก หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ทางเราก็มีความจำเป็นที่ต้องปรับพวกท่านตามมูลค่าของสินค้า”

ผู้ดูแลพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาและเย่อหยิ่งออกไปอย่างไม่ปกปิด

“เซี่ยวเฟย เจ้าถอยไปได้แล้ว เราไม่มีอะไรให้เจ้าต้องคอยแนะนำทั้งนั้น” หงซานโพล่งขึ้น

ผู้ดูแลนามว่าเซี่ยวเฟยชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหงซาน ริมฝีปากของเขาเหยียดยกอย่างหยามหยัน “อา…ก็นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็เป็นคนที่แพ้ข้าในการประลองครานั้น” เซี่ยวเฟยส่ายหัวอย่างระอาใจ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ส่วนหงซานก็กำหมัดแน่น ความโกรธฉายแวบผ่านดวงตาขณะที่ฟันขบกันแน่น

เฉินซีจึงถามขึ้น “เจ้ากับเขาไม่ถูกกันหรือ?”

หงซานส่ายหน้า การแสดงออกของเขากลับมาเป็นปกติเช่นทุกครั้ง “ผู้อาวุโส สิ่งที่ท่านต้องการนั้นอยู่ทางปีกตะวันออกของหอชุมนุม ข้าจะนำทางให้เอง” หงซานเดินนำขณะที่พูด

เฉินซีรับรู้ได้ถึงท่าทางที่ผิดปกตินี้ และเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายคงไม่เต็มใจที่จะพูดถึงเรื่องดังกล่าว ดังนั้นคงจะเป็นการดีกว่าหากตัวเขาไม่ถามสะกิดต่อมอะไรต่อ

สมบัติวิเศษและของล้ำค่าต่าง ๆ จะเปล่งแสงออกมาหลายแบบตามระดับและคุณสมบัติของมัน ภายใต้ขอบเขตการรับรู้ของพวกเขา ที่นี่เต็มไปด้วยสมบัติที่เรืองแสง ความเจิดจ้าเหล่านั้นแทบจะทำให้ตาพวกเขาพร่ามัว

ทั้งสุดยอดชุดสะสมสมบัติวิเศษ วัตถุดิบล้ำค่า รวมไปถึงโอสถวิญญาณที่หายาก… สิ่งเหล่านี้ทำให้เฉินซีที่คุ้นเคยกับการเห็นสมบัติล้ำค่ามากมายอดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจออกมา

หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าช่างเยี่ยมยอดเสียจริง! ทุกอย่างที่อยู่ในนี้ไม่มีสิ่งใดที่เป็นของธรรมดาเลย

ไม่นาน พวกเขาก็หยุดฝีเท้า ณ ชั้นวางของในฟากตะวันออก

บนชั้นเหล่านั้นเต็มไปด้วยเสื้อผ้า รองเท้า หมวก ป้ายหยก เครื่องประดับและของอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นของล้ำค่าที่ไม่ธรรมดา

ตัวอย่างเช่นเสื้อตัวหนึ่งที่อยู่บนราวนั่น มันมีป้ายกำกับว่า ‘ชุดหิ่งห้อยเมฆา’ ที่ถักทอจากดักแด้ของหิ่งห้อยเมฆา ซึ่งทำรังอยู่บนท้องฟ้า ตัดเย็บเป็นชั้น ๆ ซ้อนกันหลายทบให้ดูงดงาม ทั้งยังช่วยกันฝุ่นกันน้ำ ทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกสบายตัว

อีกชิ้นหนึ่งที่วางอยู่ไม่ห่างกันนักคือ สายรัดเอวที่มีข้อความว่า ‘ดวงใจไม้หยก’ ของชิ้นนี้ไม่เพียงมีพลังวิเศษต่าง ๆ เท่านั้น ทว่ายังสามารถบรรจุสมบัติวิเศษได้จำนวนมหาศาล

เมื่อกวาดตามองจนทั่วแล้ว เฉินซีจึงหันไปบอกเด็ก ๆ ให้เลือกหยิบสิ่งที่พวกเขาต้องการ

บรรดาเด็ก ๆ ของเผ่านรกขุมที่เก้าล้วนไม่เคยเห็นสมบัติล้ำค่าเช่นนี้มาก่อน และภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกจนปัญญา ไม่รู้ว่าควรจะเลือกสิ่งใดดี

เมื่อเห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะนึกตำหนิตนเอง เพราะเขาควรจะเป็นฝ่ายแนะนำว่าเด็ก ๆ เหล่านั้นว่าควรหยิบของชิ้นไหน

เฉินซีจึงกวาดมือลงบนโต๊ะหน้าชั้นวางสินค้า จากนั้นเขาก็หันไปสั่งผู้ดูแลพื้นที่นี้ว่า “ขอชุดคลุมวิหควายุ สายรัดเอวเพลิงพิสุทธิ์ รองเท้าเมฆาเหิน กำไลธุลีวิญญาณ…”

เฉินซีสั่งสิ่งของต่าง ๆ มากกว่าสิบชนิด

เดิมที การแสดงออกของผู้ดูแลนั้นแฝงด้วยความเหยียดหยาม ด้วยรู้ดีว่านอกจากเฉินซีแล้ว เหมิงเหวยและคนอื่น ๆ ล้วนเป็นคนป่าเข้ากรุง ไร้ซึ่งความเข้าใจ ทั้งยังไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับสังคมเมืองเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่น่าจะมีกำลังซื้อสิ่งใดได้

ทว่าท่าทีของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำสั่งซื้อจากเฉินซี ก่อนที่ผู้ดูแลจะกลับมามีสีหน้าที่เป็นมิตรและนอบน้อม ด้วยแม้ว่าคนอื่น ๆ จะเป็นชนเผ่าบ้านป่า แต่คุณชายผู้นี้ก็หาใช่คนธรรมดาไม่ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนมีฐานะและร่ำรวยไม่น้อย

ผู้ดูแลจัดการตามคำสั่งของชายหนุ่มอย่างเรียบร้อย ก่อนจะวางของทุกชิ้นลงในกล่องหยก แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนอบน้อม “ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการสิ่งอื่นอีกหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ล่ะ แค่เอาแบบนี้มาให้ข้าอีกร้อยชุดก็พอ” เฉินซีสั่งอย่างไม่คิดอันใดมาก

ทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ไม่’ หัวใจของผู้ดูแลก็ห่อเหี่ยวเล็กน้อย ลูกค้ากระเป๋าหนักเช่นนี้ไม่ใช่จะหากันได้ง่าย ๆ หากเขาทำให้เฉินซีซื้อของได้เพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ค่าตอบแทนจากการขายก็คงจะมากขึ้นไปด้วย

แต่เมื่อประโยคหลังดังแว่วสู่โสตประสาท ร่างกายของผู้ดูแลก็พลันแข็งค้าง แม้แต่ดวงตาก็ยังเบิกกว้างแทบจะถลนจากเบ้า!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท