บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 712 ความช่วยเหลือจากต่างแดนคือเขา

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 712 ความช่วยเหลือจากต่างแดนคือเขา

บทที่ 712 ความช่วยเหลือจากต่างแดนคือเขา

ชายชราทั้งสามคนนี้มีเส้นผมสีเทา พวกเขาต่างเผยสีหน้าขรึมเย็นชา และเพียงกวาดสายตามอง เสียงอึกทึกครึกโครมรอบข้างก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที

เหล่าผู้คุ้มกันทั้งหมดต่างเผยสีหน้าเคารพออกมา พวกเขาเงียบเหมือนจักจั่นในช่วงเหมันต์

ม่านตาของหงซานหดลงเมื่อเห็นสามคนนี้ ทั่วทั้งร่างของเขาชาวาบ เพราะอีกฝ่ายคือผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลเริ่น และพวกเขาแต่ละคนต่างบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายา จึงค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลีหั่ว

ยิ่งกว่านั้น ยามสายตาของหงซานจับจ้องมายังหญิงสาวที่อยู่ตรงกลาง มันก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว แม้กระทั่งความครั่นคร้าม!

หญิงสาวผู้นี้มีผิวขาวละเอียดและดวงตาสดใส ถึงแม้รูปลักษณ์ของนางจะงดงาม แต่ทุกท่วงท่าที่นางขยับกลับแฝงความหยิ่งทะนง และให้ความรู้สึกเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง

นางคือนายหญิงใหญ่ของตระกูลเริ่น เริ่นผิงผิง

หากกล่าวถึงความหยิ่งทะนงทรงอำนาจ แม้กระทั่งหร่านเจียวยังด้อยกว่าหญิงสาวนางนี้ เริ่นผิงผิงผู้นี้ถือได้ว่าโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นที่สุด หลายคนที่ทำให้นางขุ่นเคืองจะถูกทรมานและตายตกไปแล้ว

“นายหญิง!” หร่านเจียวน้ำตาไหลพรากก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าเริ่นผิงผิง ก่อนที่หญิงสาวจะร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา สูญสิ้นความหยิ่งทะนงก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

คิ้วงามของเริ่นผิงผิงขมวดเข้าหากันแน่นในทันที ก่อนที่นางจะกล่าวปลอบประโลมว่า “อย่าร้องไห้เลย ข้าจะช่วยเจ้าระบายความโกรธเอง!”

หร่านเจียวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้น และเผยความขุ่นเคืองผ่านแววตา พร้อมกับกัดฟันเข้าหากันแล้วกล่าวว่า “เป็นมัน มันไม่เพียงจะกลั่นแกล้งข้า แต่ถึงขั้นสั่งให้คนอื่นสร้างปัญหาให้กับหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าของพวกเราด้วย ดังนั้นพวกมันทุกคนจึงสมควรตาย!!”

“หึ! พวกมันถึงกับกล้าสร้างปัญหาในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าของข้าอย่างนั้นหรือ? ช่างอาจหาญยิ่งนัก!” หนึ่งในชายชราคำรามออกมา “หร่านเจียว เจ้าไม่ต้องห่วงไป พวกมันทุกคนไม่มีทางรอดเกินวันนี้ไปได้หรอก!”

“ไม่เลยเจ้าค่ะ เรื่องที่เจียวเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ทว่าที่สำคัญกว่าคือพวกมันกล้าสร้างปัญหาในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าของพวกเรา! และการกระทำเช่นนี้ก็ถือเป็นดูหมิ่นตระกูลเริ่นอย่างชัดเจน หากพวกเราไม่ทำอันใด …เช่นนั้นแล้วตระกูลเริ่นจะรักษาหน้าตาในเมืองหลีหั่วได้อย่างไร!”

หร่านเจียวกัดฟัน สายตาทอประกายเกรี้ยวกราดขณะชี้ไปยังหงซาน “เขาก็อีกคน! เป็นเขาที่นำคนเหล่านี้มาสร้างปัญหาที่นี่ การกระทำผิดของเขาสมควรแก่ความตาย ต้องถูกสับเป็นชิ้น ๆ”

หงซานพลันเผยสีหน้าเสียใจขึ้นมา ขณะที่ในใจก็นึกสิ้นหวัง เมื่อตระหนักทราบแล้วว่าตนเองไม่สามารถหลบหนีจากหายนะได้แล้ว!

ทว่าสิ่งที่หนักใจที่สุดคือการที่พวกเฉินซีดันเข้ามาพัวพันในปัญหานี้ด้วย! …สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่ดีและมิอาจยินยอมพร้อมใจได้!

“เข้าใจแล้ว! เช่นนั้นมันก็สมควรตายเช่นกัน!” หนึ่งในผู้อาวุโสพยักหน้า

ทว่าหร่านเจียวคล้ายยังไม่สาแก่ใจ นางจึงกล่าวด้วยความมุ่งร้ายว่า “ไม่ อย่าฆ่าพวกมัน ข้าอยากจัดการช้า ๆ ข้าอยาก…”

ตอนนี้เอง ร่างของเฉินซีพลันหายไปในทันที

สีหน้าของผู้อาวุโสตระกูลเริ่นทั้งสามต่างเคร่งขรึมขึ้นมา และการตอบสนองของพวกเขาก็ไม่นับว่าช้า จากนั้นก็เข้าปกป้องเริ่นผิงผิงเอาไว้ตรงกลางในพริบตา!

กร็อบ!

ทว่าเมื่อพวกเขาเคลื่อนไหว เสียงกระดูกหักพลันดังขึ้น และมันก็ฟังดูบาดหูเป็นพิเศษภายในบรรยากาศอันเงียบสงัดนี้

หลังจากนั้น พวกเขาจึงพบว่าหร่านเจียวยังไม่ทันกล่าวจบดี สีหน้าอันโหดเหี้ยมและตื่นเต้นยังไม่ทันจางหายไปจากใบหน้าบวมเป่ง ศีรษะของนางกลับถูกบิดไปอีกด้านแล้ว!

สายตาของนางกลายเป็นว่างเปล่า ขณะความเจ็บปวดไหลเวียนทั่วกาย และได้ยินเพียงประโยคหนึ่งก่อนที่สติจะเลือนราง “ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าแล้วว่าจะฆ่าทิ้งหากยังพูดออกมาอีกคำ!”

ตุ้บ!

ศีรษะของหญิงสาวเอียงไปด้านข้าง ก่อนร่างจะตกลงพื้นโดยปราศจากสัญญาณชีวิต

หลังจากนั้น ร่างของเฉินซีก็กลับมาอยู่ที่ที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้อีกครั้ง

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ในทันทีที่ผู้อาวุโสทั้งสามเข้าปกป้องเริ่นผิงผิง และช่วงเวลาที่เฉินซีบิดคอของหร่านเจียวก่อนจะกลับมาอยู่ที่เดิม กระบวนการทั้งหมดคล้ายกับเสร็จสิ้นในพริบตา!

มันไวเกินไป!

ไวเสียจนไม่มีใครคาดคิดว่าเฉินซีจะถึงกับโจมตีทันทีภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ …ทำให้หร่านเจียวถูกสังหารในชั่วพริบตา!

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะ เพราะนี่คืออาณาเขตของตระกูลเริ่น แต่สหายที่ไม่รู้ต้นกำเนิดผู้นี้กลับกล้าสังหารคนต่อหน้าต่อตาพวกเขา!

“โอหังนัก! เจ้ากล้าลงมือฆ่าต่อหน้าข้าเริ่นผิงผิงได้อย่างไร? เจ้ามันโอหังเกินไปแล้ว!” เริ่นผิงผิงโกรธจัด ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหารขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “เจียวเอ๋อร์คือลูกน้องคนโปรดของข้า แต่เจ้ากลับยังกล้าฆ่านาง เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับนางในวันนี้!”

“อย่างที่คิดเลย เจ้านายเป็นเช่นไร คนรับใช้ย่อมเป็นเช่นนั้น… ดูท่าเจ้าจะไม่ใช่คนดีเหมือนกัน” เฉินซีส่ายหน้าไปมาขณะกล่าวอย่างสบาย ๆ

“นายหญิง ท่านไม่ต้องเสียเวลาพูดแล้วขอรับ ข้าจะจัดการสหายชั่วคนนี้เอง!” หนึ่งในผู้อาวุโสก้าวเข้ามาขณะเผยกลิ่นอายออกมา ทำให้เส้นผมและเคราของเขาพลิ้วไหวขณะร่างพุ่งเข้าหาเฉินซีอย่างรวดเร็ว

“ข้าจะจัดการกับคนป่าเถื่อนสวมหนังสัตว์เหล่านั้นให้เอง!” ผู้อาวุโสอีกคนแผดเสียงหัวเราะอันน่ากลัวออกมา ก่อนที่ตัวคนจะกลายเป็นสายลมแล้วพุ่งออกไปเช่นกัน

โครม!

ผู้อาวุโสคนแรกที่พุ่งเข้าหาเฉินซี ร่างยังคงอยู่กลางอากาศขณะถูกกักขังด้วยสนามพลังไร้ลักษณ์ ตัวคนคล้ายกับถูกตรึงไว้ในท้องนภา

ตู้ม!

ก่อนที่ในช่วงจังหวะนั้น… ร่างของเขาจะระเบิดเป็นชิ้น ๆ เศษเนื้อกระจายไปทั่ว!

สวบ!

อีกด้าน เหมิงเหวยหยิบคันธนูออกมา จากนั้นลูกธนูอันเจิดจ้าก็ถูกยิงออกไป ก่อนที่มันจะทะลุผ่านผู้อาวุโสคนที่สอง ทำให้อีกฝ่ายตัวระเบิด ตกตายอย่างน่าเวทนาในชั่วพริบตาไม่ต่างกัน

ฮ่า!

ทุกคน ณ ที่แห่งนี้คล้ายกับถูกสายฟ้าฟาดเข้าใส่ พวกเขาต่างพากันอ้าปากค้างขณะทั่วร่างสั่นสะท้าน

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ผู้อาวุโสทั้งสองคนนั้นกลับตกตายในชั่วพริบตาเลยหรือ?!

เหตุการณ์นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก เพราะสองคนนั้นคือผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่มีชื่อเสียงในเมืองหลีหั่ว และพวกเขาก็คอยให้การสนับสนุนตระกูลเริ่น คอยจัดการปัญหาเสียมากมายนับไม่ถ้วน ทว่ามาตอนนี้ โดยไม่ทันแม้แต่จะได้แตะปลายแขนเสื้อของศัตรู คนทั้งสองกลับตัวระเบิดร่างแหลก …ชิงกลายเป็นเศษเนื้อกันเสียก่อน!

ความจริงแล้ว พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ตายอย่างอยุติธรรมนัก

ในตอนแรก พวกเขาเห็นเฉินซีเป็นเพียงชายหนุ่มหล่อเหลา ส่วนพวกเหมิงเหวยที่สวมหนังสัตว์เรียบง่ายดูด้อยค่ากว่า ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลงมืออย่างจริงจัง เพราะคนทั้งคู่มั่นใจในตัวเองเกินไป

แน่นอนว่า พวกเขาไม่ใช่ชายชราโง่เขลาเบาปัญหา แต่พวกเขาแค่รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ตัวตนไร้เทียมทานจะมาเดินจับจ่ายของในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่า

เพราะแม้ตระกูลเริ่นจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่โตในเมืองหลีหั่ว ทว่าพวกเขากลับไม่ได้เป็นกองกำลังชั้นนำในแดนภวังค์ทมิฬ ยิ่งกว่านั้น หอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าที่พวกเขาเปิดนั้นมีไว้เพื่อให้ผู้บ่มเพาะที่ต่ำกว่าขอบเขตสถิตกายามาจับจ่ายเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นพวกเขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่าตนเองจะเผลอไปกระตุกหนวดเสือเข้าให้แล้ว!!

การบ่มเพาะในตอนนี้ของเฉินซีบรรลุถึง ‘ขอบเขตขีดสุด’ แล้ว และเขาก็ครอบครองพละกำลังหกเท่า ดังนั้นชายหนุ่มจึงถือเป็นตัวตนสูงสุดในบรรดาคนที่มีการบ่มเพาะระดับเดียวกัน

อีกด้าน เหมิงเหวยเองก็น่าหวาดกลัวไม่แพ้กัน เขาบ่มเพาะการขัดเกลากายาด้วยวิชาที่ตกทอดมาจากเทพอสูร และครอบครองสมบัติอย่างคันธนูทลายดารา ดังนั้นตามการประเมินของเฉินซีแล้ว แม้แต่เยี่ยนสือซานก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะเหมิงเหวยได้!

…เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนที่ไร้เทียมทานทั้งสองคนนี้ ผู้อาวุโสตระกูลเริ่นเหล่านั้นจะมีโอกาสรอดได้อย่างไร?

การได้เป็นสักขีพยานแก่เหตุการณ์นองเลือดในฉับพลันนี้ ทำให้ดวงตาของเริ่นผิงผิงและผู้อาวุโสคนสุดท้ายแทบถลนออกมา พวกเขาทั้งเดือดดาลและหวาดกลัว ทำให้ไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป

คนพวกนี้เป็นใคร? เหตุใดจึงน่ากลัวได้เพียงนี้? พวกมันมาจากกองกำลังหรือกลุ่มอำนาจอันทรงพลังอย่างนั้นหรือ? แต่หากตัดสินจากชุดแล้ว พวกเขากลับไม่คล้ายตัวตนจากกองกำลังยักษ์ใหญ่เลย…

เริ่นผิงผิงกับผู้อาวุโสที่เหลือรอดแตกตื่นอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่คนอื่น ๆ ในหอการค้าต่างตกตะลึงตั้งแต่ตอนแรกแล้ว และพวกเขาก็พากันยืนอยู่กับที่ราวกับรูปปั้นดินเผาขณะจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสายตาเหม่อลอย และถึงกับแทบจะลืมวิธีหายใจ

“โอ้ ผิงผิง เจ้าอยู่ที่นี่ด้วย ข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่พอดี…” ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียดและเงียบสงัดนี้ เสียงหัวเราะดังลั่นพลันดังขึ้นมาจากนอกหอ

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เริ่นผิงผิงพลันเหมือนคนที่กำลังจมน้ำแต่คว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ นางกลับมามีสติทันทีขณะที่สีหน้าเปี่ยมด้วยกำลังใจ ความมั่นใจฟื้นกลับคืนมา!

อีกด้าน เฉินซีอดที่จะเผยสีหน้าแปลกใจไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงนี้ เหตุใดถึงเป็นเขา?

“หืม เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดจึงมีใครบางคนกล้ามาก่อปัญหาในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าแห่งนี้? พวกมันคงเบื่อที่จะใช้ชีวิตแล้วเป็นแน่!” อึดใจต่อมา นายน้อยในชุดคลุมปักลายพลันเดินเข้ามาอย่างสง่างาม คิ้วของอีกฝ่ายขมวดแน่นขณะเผยสีหน้าโหดเหี้ยมเมื่อได้เห็นเลือดเนื้อที่กระจายทั่วพื้นจนส่งกลิ่นคละคลุ้งในอากาศ

“นายน้อยไป๋ ท่านต้องช่วยผิงผิงนะ” เริ่นผิงผิงพลันกลับกลายเป็นดั่งลูกแมวที่หวาดกลัวตัวสั่นทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ นางกระโจนเข้าหาอ้อมกอดของอีกฝ่ายขณะพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด

ขณะที่ผู้อาวุโสและบรรดาลูกน้องภายในหอการค้าต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอกเฮือกใหญ่ ก่อนจะพากันเผยสีหน้าดีอกดีใจเมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้

ส่วนเฉินซี… เขากลับเผยสีหน้าแปลกประหลาดมากขึ้นแทน …เป็นเขาจริงด้วย!

“โอ้ว ที่รักของข้า เกิดอันใดขึ้น? ใครมันกล้ารังแกเจ้า? บอกข้ามา ข้าจะฆ่าโคตรเหง้าของมันให้เอง!” ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้สนใจรอบข้าง ขณะรีบเข้าไปปลอบสาวงามในอ้อมแขน

“เป็นมัน! มันไม่เพียงกล้าสร้างปัญหาในหอชุมนุมทรัพย์ล้ำค่าเท่านั้น แต่ถึงขั้นฆ่าสาวใช้ของข้าอย่างโหดเหี้ยม ยิ่งกว่านั้น มันยังพรากชีวิตผู้อาวุโสของข้าไปถึงสองคนด้วยกัน!” เริ่นผิงผิงหันขวับพลางกัดฟัน สายตานางจับจ้องมายังเฉินซี “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามาถึงทันเวลา สหายคนนี้อาจจะฆ่าข้าไปด้วยก็ได้ และหากเป็นเช่นนั้น นายน้อยไป๋ก็จะไม่ได้เห็นผิงผิงอีก” ขณะกล่าวจนจบ น้ำเสียงของนางได้เผยความเศร้าโศกและสิ้นหวัง ทำให้ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่พลอยมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย

“บัดซบ! มันโหดเหี้ยมปานนั้นเลยหรือ? ขอข้าดูหน่อยว่าสารเลวคนไหนถึงกล้าทำ…” ชายหนุ่มมีสีหน้าโหดเหี้ยม จู่ ๆ กลับตัวแข็งทื่อทันทีเมื่อเงยหน้ามาพบกับเฉินซี เสียงของเขาขาดห้วงขณะเผยสีหน้าราวกับเห็นผีออกมา

การตอบสนองเช่นนี้ถูกเริ่นผิงผิงสังเกตเห็นทันที นางจึงอดหงุดหงิดไม่ได้และพึมพำว่า “นายน้อยไป๋ ผิงผิงถูกกลั่นแกล้งตั้งขนาดนี้ เจ้า…”

“หุบปาก!” ชายหนุ่มผู้นั้นพลันตะโกนเสียงดัง สีหน้าของเขาคล้ำเครียดเสียจนน่ากลัว

เริ่นผิงผิงตกตะลึง นางรู้จักชายหนุ่มในชุดปักลายมานาน แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่เคยเห็นเขาเสียสติต่อหน้ามาก่อน ดังนั้นในใจของหญิงสาวจึงเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและสับสนว่า ‘มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?’

“นายน้อยไป๋ พวกเราไม่ได้พบกันนาน แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ยังทำตัวได้น่าประทับใจเช่นเดิมเลยนะ” เฉินซียิ้มกว้างขณะกล่าวออกมา

และทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา ทุกคนในที่แห่งนี้ก็พลันตกตะลึง แม้กระทั่งพวกเหมิงเหวยก็ประหลาดใจเช่นกัน …เฉินซีรู้จักนายน้อยคนนี้อย่างนั้นหรือ?

ทั่วทั้งร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้านเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้ เขาถามเสียงติดอ่างว่า “เป็นเจ้าจริง ๆ จะ…เจ้า… เหตุใดจึงยังไม่ตาย?”

“แม้แต่คนที่หยิ่งทะนงเช่นเจ้ายังมีชีวิตรอดมาได้ แล้วเหตุใดข้าจะรอดกลับมาไม่ได้กัน?” เฉินซีคล้ายกับนึกอันใดขึ้นได้ จึงถามว่า “จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอยากฆ่าโคตรเหง้าของข้าหรือ?”

“ไม่! ไม่ ข้าไม่ทำ!” ชายหนุ่มผู้นั้นรีบส่ายหน้า เขาจะกล้ายอมรับได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้น สีหน้าของเขาในเวลานี้ยังร้อนผ่าวด้วยความเจ็บปวดยามนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายคว้าตัวเอาไว้ก่อนตบหน้าเมื่อครานั้น

“ถ้าเช่นนั้น สารเลวที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้คือผู้ใดกัน?” เฉินซียังคงยิ้มกว้างพลางถามต่อ

“ไม่…ไม่ได้หมายถึงใครเลย” สีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นดูลังเลใจ เขาส่ายหน้าอีกครั้งพลางสบถให้กับโชคร้ายอยู่ในใจ ทำไมต้องมาเจอกับตัวตนชั่วร้ายที่นี่ด้วย?!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท