บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 719 การยั่วยุของปรมาจารย์ยง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 719 การยั่วยุของปรมาจารย์ยง

บทที่ 719 การยั่วยุของปรมาจารย์ยง

เสียงแหบต่ำของปรมาจารย์ยงเปี่ยมด้วยความเด็ดขาด

ตอนนี้อีกฝ่ายคล้ายกับกลายเป็นคนละคน ใบหน้าผอมแห้งเผยแววศักดิ์ศรีอันหนักแน่นออกมา

‘บัดซบ!’ ผู้จัดการหวงกรีดร้องอยู่ในใจ เพราะทันทีที่สหายชราผู้นี้เผยด้านดื้อรั้นและกระด้างกระเดื่องออกมา เช่นนั้นอีกฝ่ายก็จะไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต และไม่มีทางฟังคำแนะนำของผู้ใดทั้งสิ้น!

อันที่จริง เฉินซีเพียงถามเฉย ๆ เท่านั้น แต่ไม่นึกเลยว่ากระตุ้นการตอบสนองอันดุดันจากปรมาจารย์ยงเข้าให้ ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว สายตาที่เหมือนกับสายฟ้าของเขาพลันกวาดมองชายชราดื้อรั้นด้วยความไม่ยินดีเล็กน้อย

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าซูบตอบ เส้นผมสีเทา และศักดิ์ศรีของปรมาจารย์ยง หัวใจของเฉินซีพลันสั่นสะท้านทันทีขณะหวนนึกถึงผู้เฒ่าหม่าด้วยความสับสน

ผู้เฒ่าหม่าเองก็มีความดื้อรั้นเช่นนี้ หลายครั้งที่ผู้เฒ่าหม่าปล่อยคำสบถออกมา แต่ชายหนุ่มรู้ว่าผู้เฒ่าหม่าไม่เคยยอมแพ้ในตัวเขา และถึงขั้นทุ่มความพยายามทั้งหมดให้กับเฉินซี!

เพียงชั่วอึดใจ สีหน้าของชายหนุ่มพลันสงบลง จากนั้นจึงประสานมือแล้วกล่าวว่า “ขอโทษที่เสียมารยาท”

เดิมที ทั้งผู้จัดการหวงและไป๋กู้หนานต่างคิดว่าเฉินซีจะระเบิดโทสะออกมา ทำให้ความตื่นเต้นแปรเปลี่ยนเป็นความกังวล แต่ทั้งคู่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายกล่าวขอโทษก่อน!

ดังนั้นทั้งคู่จึงต่างตกตะลึงระคนประหลาดใจเล็กน้อย

“ไปกันเถิด” สายตาของเฉินซีกวาดผ่านเตาที่ตั้งเรียงรายเป็นแถว ก่อนจะหายใจเข้า ตั้งใจจะจากไปในท้ายที่สุด

“เดี๋ยวก่อน!” ปรมาจารย์ยงกล่าวขึ้นทันที “เจ้าหนู ข้าขอถามเจ้าหน่อย เต๋าแห่งการปรุงอาหารในใจของเจ้าคืออะไร?”

“นี่นับว่าเป็นการทดสอบหรือไม่?” เฉินซีหยุดฝีเท้าทันที แต่ไม่ได้หันหลังกลับ

“พวกเจ้าอยากให้ชายชราถอยสักก้าวไม่ใช่หรือ?” ปรมาจารย์ยงถามอย่างขมขื่น สหายเฒ่าผู้นี้น่าสนใจยิ่ง เมื่อครู่มีรูปลักษณ์ผึ่งผายและซื่อตรง แต่ขณะนี้กลับมีท่าทีที่ผิดแปลกออกไป

“ตาเฒ่าขี้เมาคนนี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง!” ไป๋กู้หนานที่อยู่ไกล ๆ พึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ทว่าปรมาจารย์ยงกลับยิ้มกว้าง ก่อนจะทำเหมือนไม่ได้ยินไป๋กู้หนาน ขณะจ้องมองเฉินซีที่อยู่ไกลออกไป

เฉินซีไม่คิดแม้แต่น้อยก่อนตอบว่า “เต๋าแห่งการปรุงอาหารคือมหาเต๋าที่สามารถทำให้ลิ้นไร้พันธนาการ และมอบชีวิตอันมั่งคั่งและเจิดจรัสให้แก่ผู้บ่มเพาะ ด้วยเหตุนั้น จุดหมายสุดท้ายที่พ่อครัววิญญาณทุกคนแสวงหาคือการไต่เต้าสู่จุดสูงสุดในชั่วชีวิตที่เหลืออยู่”

คำพูดเหล่านี้มาจากผู้เฒ่าหม่า เขายังจำได้ชัดเจนจนถึงทุกวันนี้ ในตอนนั้นที่ผู้เฒ่าหม่าพูดคำเหล่านี้ออกมา ดวงตาของอีกฝ่ายเผยให้เห็นถึงความร้อนแรงและความปรารถนาอันไร้พรมแดน

ผู้จัดการหวงประหลาดใจ เดิมทีเขาคิดว่าเฉินซีจะเพิกเฉยหรือพูดจาฉะฉานด้วยท่วงท่าสงบ ขณะอ้างอิงเนื้อหาในตำราที่ทำให้ปรมาจารย์ยงต้องตกตะลึง แต่ใครจะคาดคิดว่าคำตอบของเฉินซีจะเรียบง่าย ทั้งยังใช้น้ำเสียงที่ถ่อมตัวได้ถึงเพียงนี้

ลิ้นไร้พันธนาการ… ช่างเป็นการอธิบายที่วิเศษนัก!

แม้แต่เขาผู้เป็นคนนอกในเรื่องเต๋าแห่งการปรุงอาหาร ก็อดที่จะชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้

ปรมาจารย์ยงตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นเจ้าตัวเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพยักหน้าออกมา “เจ้าใช้เตาของข้าได้”

เฉินซีหันกลับมาก่อนประสานมือให้ “ขอบคุณขอรับ”

ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็มาถึงตรงหน้าเตาแล้ว และอดที่จะกระตือรือร้นไม่ได้ขณะมองขวดเครื่องปรุงรสและและอุปกรณ์รูปทรงต่าง ๆ ตรงหน้า

หากถามว่า เขามีงานอดิเรกใดนอกจากการบ่มเพาะ เช่นนั้นก็ต้องเป็นการสร้างยันต์กับการทำอาหารอย่างไม่ต้องสงสัย!

การสร้างยันต์เป็นวิธีหาเงินที่เขาทำมาตั้งแต่ยังเด็ก มันคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขา ท่านปู่ และน้องชายยังใช้ชีวิตอยู่ได้ และตอนนี้ถึงแม้เฉินซีจะไม่ต้องสร้างยันต์เพื่อหาเงินอีกต่อไป แต่ความสนใจนั้นได้ฝังรากลึกไปถึงกระดูกตั้งแต่ยังเด็ก จนทำให้ตัวเขายังคงรักในการสร้างยันต์อยู่ดี

ในขณะที่การทำอาหารคือสิ่งที่เขาเรียนรู้มา และมันก็มีความทรงจำมากมายที่อัดแน่นไว้ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะตัดใจเช่นกัน

ขณะนี้ เฉินซีไม่ได้ลงมือทำอาหารอย่างกังวลแม้แต่น้อย เขาเพียงหันไปเลือกวัตถุดิบจากด้านข้างอย่างสบาย ๆ

เมื่อเห็นสีหน้าของเฉินซี ผู้จัดการหวงอดไม่ได้ที่จะถามไป๋กู้หนานเสียงเบาว่า “สหายเต๋าเฉินซีมีความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งการปรุงอาหารจริงหรือ?”

เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของเฉินซีได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก ข่าวลือทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเขาเชื่อมโยงกันจนตัดสินได้ว่าชายหนุ่มครอบครองพลังในการต่อสู้ที่น่าตกตะลึง ทว่ามันกลับไม่มีข่าวคราวว่าอัจฉริยะผู้ไร้เทียมทานคนนี้ได้ศึกษาเต๋าแห่งการปรุงอาหารเลย

ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้จัดการหวงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่อันน่าอัศจรรย์ใจนัก

เพราะถึงอย่างไร พ่อครัววิญญาณก็ไม่อาจเทียบกับผู้บ่มเพาะได้ ด้วยมันเป็นเพียงความเชี่ยวชาญเสริมเท่านั้น เช่นเดียวกับสถานะและชื่อเสียงของพ่อครัววิญญาณที่ได้รับความเคารพน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้บ่มเพาะ

ดังนั้นผู้จัดการหวงจึงสงสัยว่า เฉินซีเพียงแค่ศึกษาเต๋าแห่งการปรุงอาหารแบบผ่าน ๆ เท่านั้นใช่หรือไม่?

ทว่าแม้กระทั่งไป๋กู้หนานเองก็ประหลาดใจเช่นกัน จากนั้นเจ้าตัวพลันพ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วกล่าว “เคล็ดวิชาทั้งหมดมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน พี่ชายของข้าคืออัจฉริยะอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นเต๋าแห่งการปรุงอาหารจะเป็นปัญหาสำหรับเขาได้อย่างไร?”

แต่ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ ทว่าเจ้าตัวก็อดที่จะพึมพำในใจไม่ได้ว่า ‘สหายเฉินซีผู้นี้สามารถทำได้จริงหรือ?’

“เจ้าหนู ถึงแม้ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ใช้เตา แต่ถ้าไม่สามารถทำอาหารดี ๆ ได้ มันก็รังแต่จะอับอายขายขี้หน้าเปล่า ๆ นะ” ปรมาจารย์ยงที่อยู่ใกล้ ๆ กล่าว

ทว่าเฉินซีเพียงแค่ยิ้มออกมา ในขณะที่สายตายังคงมองขึ้นมองลงยังวัตถุดิบที่อยู่ด้านข้าง

ในฐานะโรงเตี๊ยมที่ขึ้นชื่อเรื่องอาหารอันไม่เป็นสองรองใครในเมืองแห่งนี้ โรงเตี๊ยมเซียนระเริงย่อมไม่ขาดแคลนวัตถุดิบวิญญาณ เนื้อ ผัก ผลไม้ ธัญพืชและอื่น ๆ ซึ่งพวกมันต่างถูกแบ่งตามคุณภาพของวัตถุดิบอย่างเป็นระเบียบ

สำหรับใครบางคนที่เพิกเฉยต่อเต๋าแห่งการปรุงอาหาร เพียงแค่มองวัตถุดิบเหล่านี้ มันก็คงทำให้พวกเขาสับสนงงงวย ดังนั้นการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณลักษณะสอดคล้องและเหมาะสมกันยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แต่ทั้งหมดนี้ไม่สามารถสร้างความยากลำบากให้แก่เฉินซีได้ ถึงแม้วัตถุดิบจะถูกจัดแบ่งด้วยวิธีที่ซับซ้อน แต่เฉินซีในตอนนี้เพียงปรายตามองก็พอจะล่วงรู้ลักษณะ คุณภาพและเครื่องปรุงรสที่จำเป็น รวมถึงเครื่องใช้ เปลวเพลิงและอื่น ๆ จากวัตถุดิบทุกชนิดแล้ว!

นี่คือข้อได้เปรียบที่เขาได้มาจากการบ่มเพาะ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือความสามารถในการแยกแยะวัตถุดิบนี้ ที่ชายหนุ่มได้รับความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ตั้งแต่ยังเด็ก จนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการบ่มเพาะ ดังนั้นการแยกแยะวัตถุดิบจึงถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับเฉินซี!

ปรมาจารย์ยงอดไม่ได้ที่จะพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชาเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำเช่นนี้ จากนั้นเขาพลันยืนขึ้นแล้วตะโกนไปทางพ่อครัววิญญาณที่วุ่นวายอยู่รอบ ๆ ว่า “พวกเจ้าทุกคนหยุดสิ่งที่ทำชั่วคราวแล้วมานี่”

ทุกคนรวมถึงเด็กฝึกงานต่างมารวมกันทันที

พ่อครัววิญญาณเหล่านี้แบ่งออกเป็นระดับหนึ่งใบถึงหกใบ รวมแล้วพวกเขามีจำนวนราวหนึ่งร้อยคน หากรวมเด็กฝึกงานเหล่านั้นเข้าไป พวกเขาก็มีเกือบหนึ่งพันคนได้ และตอนนี้ พวกเขาทั้งหมดต่างรวมตัวกันขณะงุนงงสับสน เนื่องจากไม่เข้าใจว่าปรมาจารย์ยงอยากให้ทำอะไรกันแน่?

ปรมาจารย์ยงชี้ไปที่เฉินซีแล้วกล่าวว่า “นี่คือศิษย์มีชื่อเสียงของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนามว่าเฉินซี เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ได้รับการขนานนามว่าอัจฉริยะไร้เทียมทาน ตอนนี้เขากำลังจะเผยทักษะการทำอาหารให้ชม และถือเป็นโอกาสที่หายากนัก หากพลาดขึ้นมาจะเสียใจเอาได้ ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนควรจับตามองดูให้ดี!”

พ่อครัววิญญาณทั้งหมดต่างเคลื่อนไหวอย่างกระวนกระวายขณะเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ เพราะพวกเขาไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มหล่อเหลาตรงหน้าผู้นี้จะเป็นเฉินซีผู้มีชื่อเสียงอย่างยิ่งภายในโลกบ่มเพาะตอนนี้!

แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็อดเผยสีหน้าแปลกประหลาดใจไม่ได้ ทักษะการทำอาหารหรือ? สวรรค์! เฉินซีกำลังจะแสดงทักษะการทำอาหารต่อหน้าพวกเขาอย่างนั้นหรือ?

หากพูดถึงเรื่องการต่อสู้และความแข็งแกร่ง พวกเขาย่อมตระหนักดีว่าตนเองห่างชั้นจากเฉินซีมากโข แต่ถ้าพูดถึงเต๋าแห่งการปรุงอาหาร พวกเขาก็อาจจะพอมีลุ้นอยู่!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น บรรดาทำให้พ่อครัววิญญาณบางส่วนต่างก็เผยสีหน้าไม่เห็นด้วยออกมา ด้วยพวกเขาคิดว่าปรมาจารย์ยงกำลังล้อเล่น

ไป๋กู้หนานชำเลืองมองพวกเขาเมื่อเห็นเช่นนี้ ก่อนจะกล่าวกับตัวเองว่า ‘บัดซบ! ผู้เฒ่าอนาถาคนนี้เชี่ยวชาญในการดักจับผู้อื่นนัก เขาตั้งใจจะทำให้เฉินซีอับอายต่อหน้าผู้คนอย่างนั้นหรือ?’

ผู้จัดการหวงขมวดคิ้วเช่นกัน การกระทำของปรมาจารย์ยงถือว่าเกินกว่าเหตุ เพราะไม่ว่าเฉินซีจะมีความสามารถในเต๋าแห่งการปรุงอาหารแค่ไหน แต่การกระทำดังกล่าวย่อมมีความตั้งใจจะทำให้ชายหนุ่มอับอาย เขาควรทำอย่างไรดีหากเฉินซีโกรธขึ้นมา?

“ปรมาจารย์ยง เจ้า…” ผู้จัดการหวงส่งกระแสปราณ

“เจ้าจะกังวลไปทำไม?” ปรมาจารย์ยงจ้องเขาขณะขัด “แม้แต่เฉินซียังไม่ปฏิเสธ แล้วเจ้าจะวิตกไปทำไม?”

ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่นี่ในตอนนี้ เฉินซีเริ่มเคลื่อนไหว วัตถุดิบชนิดแล้วชนิดเล่าคล้ายกับถูกหยิบขึ้นมาด้วยมือไร้ลักษณ์ก่อนร่อนลงอย่างมั่นคงบนเขียง

เขาเดินมาอยู่หน้าเตา ก่อนยื่นมือไปคว้ามีดทำครัว จากนั้นสะบัดข้อมือ ทำให้ประกายมีดตวัดฟึ่บขณะเริ่มเตรียมวัตถุดิบทั้งหลายให้พร้อม

พืชที่มีเกลียวปกคลุมแน่นหนาถูกวางบนเขียง

ฉับ! ฉับ! ฉับ!

ประกายมีดสับไปมาราวกับเกล็ดหิมะ ขณะที่เสียงมีดกระทบกับเขียงดังก้องเป็นจังหวะ ข้อมือของเฉินซีทั้งมั่นคงและรวดเร็วขณะควบคุมมีดทำครัวอันคมปลาบ การกระทำของเขาช่างแม่นยำยิ่ง เพียงชั่วพริบตา พืชที่มีเกลียวปกคลุมนี้ก็ถูกสับจนกลายเป็นชิ้นบาง ๆ ราวกับปีกจักจั่น แม้กระทั่งความหนาก็ยังเท่ากัน ทำให้ดูสบายตานัก

ทักษะการใช้มีดคือหนึ่งในทักษะสำคัญที่ใช้ในการตัดสินมาตรฐานของพ่อครัววิญญาณ เตาสามสิบส่วน และมีดเจ็ดสิบส่วน เพราะอาหารไม่สามารถเกิดขึ้นหากไม่มีมีด

สมัยยังเด็ก ๆ ทักษะการใช้มีดในช่วงแรกของเฉินซีได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นสมบูรณ์แล้ว กอปรกับการบ่มเพาะอันลึกล้ำในตอนนี้ ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้ช่างง่ายดายนัก

เมื่อฉากนี้ปรากฏแก่สายตาของทุกคน มันก็ทำให้พวกเขาลอบตกตะลึง เพราะทักษะการใช้มีดของเฉินซีแทบจะทำให้พวกเขาเกือบหยุดหายใจ!

“หึ! ก็แค่ทักษะการใช้มีด พวกเจ้าย่อมรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คืออัจฉริยะผู้มีพลังในการต่อสู้อันยอดเยี่ยม การควบคุมกำลังของเขาได้บรรลุจุดสูงสุดของขั้นสมบูรณ์มานานแล้ว ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้เขาสามารถใช้มีดทำครัวได้อย่างชำนาญ ดังนั้นมันจึงไม่อาจนับว่ายอดเยี่ยมแต่อย่างใด” ปรมาจารย์ยงพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา

สีหน้าของทุกคนกลับมาเป็นปกติเมื่อได้ยินเช่นนี้ เพราะปรมาจารย์ยงพูดไม่ผิด การควบคุมกำลังที่พ่อครัววิญญาณใช้ย่อมไม่ต่างจากผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ดังนั้นเพียงแค่นี้จึงไม่อาจนำมาชี้วัดความสามารถของพ่อครัววิญญาณได้

ทว่าฉากต่อมากลับทำให้พวกเขาไม่สามารถระงับความตกตะลึงได้ มันถึงขั้นทำให้รู้สึกสับสนด้วยซ้ำ!

วัตถุดิบชิ้นแล้วชิ้นเล่าตกลงในมือของเฉินซีก่อนจะถูกเตรียมอย่างราบรื่นราวกับสายน้ำไหล ไม่มีความติดขัดแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้น แรงข้อมือของเขาก็มั่นคงขณะที่ทักษะการใช้มีดก็สมบูรณ์แบบ

ชายหนุ่มสามารถหั่นวัตถุดิบให้มีความหนาบางได้เท่ากับปีกจักจั่น พวกมันเคลื่อนลงมาราวกับเกล็ดหิมะที่มีจังหวะเป็นของตัวเอง

เขาสามารถหั่นให้มีความยาวและความหนาเท่ากัน เหมือนกับเกสรดอกไม้จำนวนมากที่ปลิวไสวในสายลม เผยให้เห็นทักษะอย่างเต็มที่ขณะคมมีดขยับซ้ำไปซ้ำมา

เขาสามารถแกะสลักดอกไม้บนวัตถุดิบที่ละเอียดอ่อนราวกับเส้นขนวัวได้ และถึงกับแกะสลักริ้วที่ลึกล้ำจำนวนมากจนเกิดเป็นลวดลายขึ้นมา!

ทั้งหมดนี้สำเร็จได้ด้วยทักษะอันยอดเยี่ยมอย่างง่ายดาย!

ที่สำคัญที่สุดคือความเร็วของเฉินซี ภายในไม่ถึงหนึ่งเค่อ เขาก็ตระเตรียมวัตถุดิบมากกว่าร้อยยี่สิบชนิดได้อย่างสมบูรณ์!!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท