บทที่ 724 หัวใจของเทพท้องทะเล
บทที่ 724 หัวใจของเทพท้องทะเล
กลุ่มคนเคลื่อนไปข้างหน้าผ่านเทือกเขาหยาดดารา
ความเร็วของพวกเขาไม่เร็วนัก เดินได้ครึ่งวันก็พักผ่อนอีกครึ่งวัน พวกเขาไม่คล้ายกับกำลังรีบเดินทาง แต่คล้ายกำลังท่องเที่ยวอยู่
ขณะนั้นเฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในเกวียน และครุ่นคิดเกี่ยวกับบางสิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้ ไป๋กู้หนานได้กล่าวลากับเขาตอนออกจากเมืองหลีหั่ว ทว่าก่อนที่พวกเขาจะแยกกัน คนเสเพลผู้โด่งดังคนนี้ได้ละทิ้งความหยิ่งทะนง และเผยสีหน้าที่จริงจังจนถึงขั้นกังวลเล็กน้อยออกมา ก่อนจะบอกกับชายหนุ่มว่า…
สถานการณ์ของไป๋หว่านฉิงในตระกูลไป๋นั้นเรียกว่าไม่สู้ดีนัก นางถึงขั้นถูกผู้อาวุโสจำนวนมากในตระกูลรังเกียจ ดังนั้นไป๋กู้หนานจึงหวังว่าเฉินซีจะรีบเดินทางไปที่ตระกูลไป๋หากมีเวลาว่าง
ส่วนเหตุผลนั้น ไป๋กู้หนานบอกมาเพียงแค่สองคำ… ‘จั่วชิว’!
แน่นอนว่าเฉินซีย่อมเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ในทันที เขาพลันนึกถึงจั่วชิวเสวี่ยผู้เป็นมารดากับตระกูลจั่วชิว และมั่นใจยิ่งว่ามีสมาชิกของตระกูลจั่วชิวมาเยือนและไปอยู่ในที่พำนักของตระกูลไป๋ที่เทือกเขาหนามม่วงในตอนนี้…
นี่นับเป็นข่าวร้าย!
ไป๋หว่านฉิงกับจั่วชิวเสวี่ยผู้เป็นแม่ของเขามีความสัมพันธ์อันดีกันก็จริง แต่เพราะเข้าไปพัวพันกับตระกูลจั่วชิว นางจึงถูกครอบครัวเนรเทศ ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการได้ว่า อำนาจของตระกูลจั่วชิวนั้นน่ากลัวเพียงใดจนถึงขั้นทำให้ผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูลไป๋เชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดีได้
ตอนที่ทราบข่าวนี้ เฉินซีอยากจะออกเดินทางไปยังตระกูลไป๋เพื่อดูว่าสมาชิกของตระกูลจั่วชิวเหล่านั้นมันเป็นอย่างไรกันแน่
แต่ชายหนุ่มก็ต้องหักห้ามตัวเองในที่สุด เพราะไป๋กู้หนานบอกว่าไป๋หว่านฉิงยังคงอยู่แนวหน้าของสมรภูมิกับผู้บ่มเพาะจากต่างพิภพ และอย่างเร็วที่สุดนางจะกลับมาในอีกสามปีข้างหน้า
หมายความว่า เขายังต้องรออีกสามปีจึงจะมีโอกาสได้พบกับไป๋หว่านฉิง
‘จั่วชิว…จั่วชิว… ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลนี้ในแดนภวังค์ทมิฬมาก่อนกัน?’ เฉินซีอดที่จะถอนหายใจและรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ มันทำให้เขาต้องเปิดม่านออกแล้วมองออกไปด้านนอก
ในตอนนี้ พวกเขาได้หยุดอยู่ภายในช่องเขาที่ถูกปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีน้ำพุ น้ำตก และต้นสนเขียวชอุ่ม ทำให้ดูเหมือนสรวงสวรรค์
ที่ภายนอก อาซิ่วผู้สวมชุดสีเขียว มือไพล่อยู่ด้านหลัง ใบหน้าเรียวรีงดงามเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม ขณะกำลังแจกจ่ายผลไม้วิญญาณให้ทีละคน “อ้อ นี่คือผลเมล็ดหยกหนามเพลิง สามารถกินได้หลังจากปอกเปลือกแล้ว จำไว้ว่าต้องกลืนทั้งลูกเข้าปากก่อนแล้วค่อยกัดเนื้อมันช้า ๆ เพราะน้ำหวานข้างในจะทะลักออกมา มันจะไหลเข้าสู่ภายในร่างกายก่อนจะแผ่กลิ่นหอมเข้มข้นออกมา ยิ่งกว่านั้น มันร้อนแรงราวกับสุราเข้มข้น ทำให้เกิดเป็นรสชาติที่วิเศษยิ่งนัก”
ไม่ใช่แค่เสี่ยวเฉินผู้อยู่ด้านข้างเท่านั้น แม้กระทั่งเจ้าดำ เจ้าหน้าบาก เจ้าโล้น เจ้าหิน และเด็ก ๆ คนอื่นยังเข้าล้อมรอบกายอาซิ่ว ขณะจับจ้องผลไม้วิญญาณในมือของหญิงสาวพลางกลืนน้ำลายดัง ‘อึก ๆ’ ไม่หยุด
ผลไม้วิญญาณนี้มีขนาดเท่ากำปั้นและเป็นสีแดงสดใส พื้นผิวของมันโปร่งแสง ราบเรียบ เต็มไปด้วยเส้นสีทอง เปล่งประกายราวกับอัญมณี ส่งกลิ่นหอมหวานเย้ายวนออกมาตลอดเวลา
นี่คือผลเมล็ดหยกหนามเพลิง มันคือผลไม้วิญญาณล้ำค่ายิ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของมหาเต๋าแห่งอัคคี ทำให้มีคุณค่าที่น่าตกตะลึงเหมือนกับผลโสมเยือกแข็ง
…ตั้งแต่พวกเขาได้พบกับอาซิ่วในวันนั้น หญิงสาวงดงามมากความสามารถผู้นี้มักเผยรอยยิ้ม สร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและงดงามให้กับกลุ่มคนอยู่ตลอด
เสียงหัวเราะแผ่วเบาอันไพเราะที่เหมือนกับเสียงธรรมชาติดังทุกหนแห่ง ร่างอันงดงามและมีชีวิตชีวาสามารถพบเห็นได้ทุกแห่ง ยิ่งกว่านั้น นางมักจะหยิบผลไม้วิญญาณหายากออกมาเป็นจำนวนมากทุกวันราวกับกำลังแสดงเวทมนตร์ ก่อนจะแจกจ่ายให้พวกเด็ก ๆ ได้ลิ้มลอง
ด้วยเหตุนี้ นางจึงได้คุ้นเคยกับทุกคนในกลุ่มด้วยเวลาไม่ถึงสามวัน หญิงสาวได้กลายเป็นพี่สาวอายุน้อยที่เด็ก ๆ ทั้งหลายยินดีที่จะเข้าใกล้มากที่สุด
แม้กระทั่งท่าทีของเหมิงเหวยและโม่ย่าที่มีต่ออาซิ่วก็เป็นมิตรมากขึ้น
ซึ่งเหตุทั้งหมดทั้งมวล มันก็หญิงสาวนามว่าอาซิ่วผู้นี้คล้ายกับครอบครองเสน่ห์ที่ยากจะบรรยาย จนเหมือนกับนางสามารถเข้ากับทุกคนได้ตราบเท่าที่ต้องการ
ยิ่งกว่านั้น การมาถึงของนางยังทำให้ทั้งกลุ่มเต็มไปด้วยความรื่นเริงและเสียงหัวเราะ นอกจากนั้น การบ่มเพาะของพวกเด็ก ๆ ก็ยังไม่ล่าช้าเพราะเหตุนี้ พวกเขาถึงขั้นได้รับการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดแทนด้วยซ้ำไป!
ซึ่งเหตุผลนั้นก็เรียบง่ายมาก เพราะผลไม้วิญญาณทั้งหมดที่มาจากนางล้วนแต่ล้ำค่าและเปี่ยมด้วยคุณค่าทางยา ดังนั้นต่อให้โยนให้หมูกิน หมูตัวนั้นก็จะสามารถกลายเป็นหมูปีศาจได้…
ในเวลาไม่นาน พวกเด็ก ๆ ก็มีผลเมล็ดหยกหนามเพลิงอยู่ในมือ และทุกคนต่างดีใจก่อนขอบคุณอาซิ่วซ้ำไปมา
อาซิ่วยิ้มกว้างขณะยินดีรับคำชื่นชมทั้งหมดนี้ และเผยสีหน้ามีความสุขออกมา
ทว่าเฉินซีผู้อยู่ภายในเกวียนกลับไม่ได้รู้สึกยินดีเมื่อได้เห็นสิ่งนี้แม้แต่น้อย คิ้วของเขาขมวดแน่นมากขึ้น ฉากที่อาซิ่วสังหารคุนเผิงทองคำในขอบเขตเซียนปฐพียังคงตราตรึงอยู่ในใจของเขาอยู่ไม่หาย
เพราะสิ่งนั้น จึงทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากระแวดระวังเป็นพิเศษ เพราะถึงอย่างไร การปรากฏตัวของอาซิ่วก็ปุบปับเกินไป นางเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกทั้งเขายังไม่รู้เรื่องตัวตนหรือต้นกำเนิดของนางเลย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกนอกจากระแวดระวังคนผู้นี้เอาไว้
แน่นอนว่าคงดีกว่าหากอาซิ่วใสซื่อตามธรรมชาติแบบนี้จริง ๆ นั่นเพราะหากนางมีความตั้งใจอื่นแอบแฝง เช่นนั้นมันก็ต้องเป็นหายนะที่สุดจะคาดเดาสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน
ในช่วงหลายวันมานี้ เฉินซีเฝ้าสังเกตอีกฝ่ายอยู่ตลอด ดูจากรูปลักษณ์ของนางแล้ว ไม่มีใครสามารถแยกออกว่าพละกำลังของหญิงสาวผู้นี้น่าสะพรึงแค่ไหน นอกจากนี้ เขาก็ไม่พบอะไรผิดปกติเลย จึงยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น
“นี่ อันนี้ให้เจ้า” อีกด้าน อาซิ่ววิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น ก่อนมอบผลเมล็ดหยกหนามเพลิงผ่านทางหน้าต่าง
“ข้าต้องบอกเจ้ากี่ครั้งกัน? ว่าอย่าเรียกข้าว่า ‘นี่’…” เฉินซีขมวดคิ้วก่อนจะปฏิเสธความหวังดีของนาง
ทว่าอาซิ่วกลับไม่คิดมากแม้แต่น้อย ดวงตาของนางเหมือนกับอัญมณีสีดำที่กลอกไปมาขณะยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าเรียกเจ้าว่าเฉินซีได้ใช่ไหมล่ะ? เจ้าเป็นสหายที่แปลกประหลาดจริง ๆ หรือว่าเจ้าไม่ชอบกินของว่าง? มันอร่อยไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าไม่ลองกินสักหน่อยล่ะ?”
ขณะพูด นางก็ส่งผลไม้วิญญาณสีแดงสดใสให้อีกครั้ง
เฉินซีพลันเอามือกุมหน้าผาก ขณะแสดงสีหน้าไร้เรี่ยวแรงออกมา เขายอมแพ้ให้กับหญิงสาวผู้นี้ และอดถามไม่ได้ว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากมากับพวกข้า?”
อาซิ่วพยักหน้าขณะริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มเผยอขึ้น จากนั้นกัดผลไม้วิญญาณในมือเข้าไปก่อนตบแก้มแล้วพึมพำว่า “ข้าเคยหลอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
เสียงของนางยังไม่ทันดังก้องไปถึงท้องนภา ผลไม้วิญญาณขนาดเท่ากำปั้นก็ถูกปากขนาดเล็กของนางกินจนสิ้น เห็นได้ชัดว่านางกินผลไม้วิญญาณเหล่านี้แทนของว่างดังที่กล่าวจริง ๆ
‘หนึ่งคำที่นางกัดลงไปเท่ากับเงินจำนวนเท่าไรกัน…’ ความคิดอันไร้สาระพลันแล่นผ่านจิตใจของเฉินซีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จากนั้นเขาก็รีบส่ายหน้าเพื่อทำลายความคิดไขว้เขวทั้งหมดทิ้งก่อนถามว่า “ไม่กี่วันก่อน ทำไมเจ้าถึงฆ่า…”
ก่อนจะทันได้กล่าวจบ อาซิ่วพลันเข้าใจขึ้นมา “เจ้าพูดถึงนกเฒ่านั่นหรือ? มันละโมบอยากได้สมบัติของข้า และตั้งใจจะเข้ามาทำร้าย ดังนั้นข้าเลยต้องฆ่ามัน หาไม่แล้ว ข้าก็คงไม่ถึงกับฆ่ามันหรอก”
นกเฒ่า… มุมปากของเฉินซีพลันบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง มีเพียงหญิงสาวตรงหน้าเขาเท่านั้นที่กล้าพูดถึงคุนเผิงทองคำในขอบเขตเซียนปฐพีว่านกเฒ่าใช่หรือไม่?
“สมบัติของเจ้า… เจ้านก… เฒ่านั่นรู้ได้อย่างไร?” เฉินซีสูดหายใจเข้าก่อนถามต่อ
“อ๋อ ข้าเดาว่ามันเห็นพอดีน่ะ” อาซิ่วตอบ นางถอดอัญมณีสีน้ำเงินเข้มออกจากคอสีขาวราวหิมะ “มันคือสิ่งนี้น่ะ นี่คือสมบัติที่ข้าพกติดตัวตั้งแต่ยังเด็ก หากเสียมันไปจะทำให้ข้าหาทางกลับบ้านไม่ได้”
ฟิ้ว!
อัญมณีสีน้ำเงินเข้มนี้ถูกร้อยด้วยเส้นด้ายสีแดง มันมีขนาดเท่าลูกแก้ว เผยรูปทรงหัวใจไร้ที่ติออกมาราวกับเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และทันทีที่ปรากฏขึ้น มันก็แผ่ความผันผวนประหลาดที่คล้ายกับคลื่นมหาสมุทรออกมา ก่อเกิดเป็นคลื่นเสียงสั่นพ้องออกมา
ในเวลาเดียวกัน กระแสอากาศเย็นยะเยือกยิ่งแผ่ออกมา ทันใดนั้น เฉินซีรู้สึกได้ว่าวิญญาณ ปราณ และแก่นภายในร่างของเขามีชีวิตชีวาขณะไหลเวียนไปมา ทำให้รู้สึกถึงการตอบสนองต่อสวรรค์และโลก!
นี่เป็นเพียงเสี้ยวกลิ่นอายของมัน หากทำการบ่มเพาะอย่างเต็มที่ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาจะไม่ทวีคูณขึ้นหลายเท่าเลยหรือ?
หลังจากนั้น เขาพลันอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ นี่คือสมบัติล้ำค่าของสวรรค์และโลกอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น มันไม่มีทางเป็นของเรียบง่าย และต้องมีผลลึกล้ำอย่างอื่นอีกแน่นอน!
ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดคุนเผิงทองคำถึงลงมือ เพราะแม้แต่เขาเองก็อดที่จะตกตะลึงเมื่อได้รับรู้ถึงสมบัติดังกล่าวไม่ได้!
“นี่คือหัวใจของเทพท้องทะเล น่าเสียดาย มันมีเพียงก้อนเดียว ข้าเลยมอบให้เจ้าไม่ได้” อาซิ่วยิ้มกว้างขณะห้อยอัญมณีสีน้ำเงินเข้มไว้กับคออีกครั้ง
หัวใจของเทพท้องทะเล… เพียงพริบตา เฉินซีนึกถึงบันทึกในคู่มือแดนภวังค์ทมิฬ ตามตำนานว่ากันว่า ในดินแดนไร้นามของแดนภวังค์ทมิฬ มีมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้พรมแดนที่ถูกเรียกว่า ‘มหาชีพ’
มหาสมุทรนี้ยาวไปถึงท้องนภาและลึกลงไปถึงแก่นโลก มันได้ผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน เนื่องด้วยเหตุต้นผลกรรมอันบังเอิญ มันถึงกับช่วงชิงร่องรอยของความลับแห่งสวรรค์ไป ทำให้เกิดเป็นสายใยวิญญาณที่บ่มเพาะเต๋าเป็นเวลานานนับไม่ถ้วนจนประสบกับภัยพิบัติอัสนีจนกลายเป็นเทพแห่งท้องทะเล
แต่น่าเสียดาย เพราะมันช่วงชิงความลับของสวรรค์มา ตัวตนของมันจึงถูกทรมานโดยเต๋าแห่งสวรรค์ ทำให้มันถูกกำจัดในท้ายที่สุด แต่หัวใจของมันถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ และนั่นคือหัวใจของผู้เยี่ยมยุทธ์ เป็นหัวใจที่ไม่ย่อท้อ เป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้บ่มเพาะต่างใฝ่ฝัน ครอบครองความลึกล้ำมากมายจนสุดที่จะนับได้ มูลค่าของมันจึงไม่ด้อยไปกว่าสมบัติอมตะที่แท้จริง!
เดิมที เฉินซีคิดว่ามันเป็นเพียงตำนาน แต่หลังจากได้เป็นสักขีพยานกับอัญมณีที่อาซิ่วครอบครองในตอนนี้ เขาพลันมั่นใจแปดสิบถึงเก้าสิบส่วนแล้วว่าวัตถุชิ้นนี้ต้องเป็น ‘หัว’ ที่เทพแห่งท้องทะเลหลงเหลือไว้อย่างแน่นอน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เฉินซีพลันรู้สึกว่าต้นกำเนิดของหญิงสาวผู้นี้ลึกลับมากยิ่งขึ้น เพราะแม้กระทั่งสมบัติที่นางครอบครองยังมีที่มายิ่งใหญ่ปานนั้น ถ้าอย่างนั้นแล้วนางล่ะ? นางครอบครองต้นกำเนิดอันน่าตกตะลึงแบบใดเอาไว้กันแน่?
เขาจับจ้องอาซิ่วอยู่เนิ่นนาน จากนั้นจึงหายใจเข้าก่อนจะตัดสินใจในที่สุด “เจ้ามากับพวกข้าได้ แต่เจ้าต้องสัญญามาก่อนข้อหนึ่งว่า เจ้าต้องฟังคำสั่งของข้าเวลาบอกให้ทำอะไร!”
“ได้สิ!” อาซิ่วตอบตกลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลหรือมีปัญหาแม้แต่น้อย ก่อนที่นางจะหันหลังจากไปเมื่อกล่าวจบ ทั้งยังผิวปากเป็นเพลงอย่างมีชีวิตชีวาขณะมองพวกเด็ก ๆ เหล่านั้นและเข้าไปร่วมวงเล่นด้วย…
สิ่งนี้ทำให้มุมปากของเฉินซีกระตุกอย่างรุนแรง นางได้จำสิ่งที่ข้าบอกบ้างหรือไม่เนี่ย!?
…
สามวันต่อมา เมื่อพวกเฉินซีข้ามเทือกเขาหยาดดารา เมืองสูงตระหง่านที่ลอยอยู่ภายในทะเลหมู่เมฆพลันปรากฏขึ้นภายในขอบเขตการรับรู้ …กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขายิ่งนัก
เพียงชั่วพริบตา กลุ่มคนทั้งหมดก็เป็นต้องตกตะลึงไป
เพราะเมืองแห่งหนึ่งกำลังลอยอยู่บนอากาศ มันกว้างใหญ่ไร้พรมแดน โอ่อ่า สูงตระหง่าน ส่องแสงสว่างสีทองเจิดจ้ากว้างขวางออกมาขณะอาบไล้อยู่ใต้แสงอาทิตย์!