บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 733 ตกตะลึง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 733 ตกตะลึง

บทที่ 733 ตกตะลึง

จิตใจฟุ้งซ่าน?

มันสื่อถึงหัวใจของคนคนหนึ่งที่กำลังกระสับกระส่าย และไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้

แต่คำเหล่านี้สำหรับผู้บ่มเพาะกลับต้องใช้ความคิดใคร่ครวญให้ดี เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับดวงจิตแห่งเต๋าโดยตรง

เมื่อดวงจิตแห่งเต๋าไม่มั่นคง เมื่อนั้นก็จะไม่เข้าใจในเต๋า และถ้าไม่มีเต๋า ก็จะไม่สามารถบ่มเพาะได้

กล่าวง่าย ๆ ก็คือ หากต้องการบ่มเพาะ ก็ต้องทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าแข็งแกร่งเสียก่อน เพราะทุกอย่างจะไร้ความหมาย ถ้าดวงจิตแห่งเต๋าไม่มั่นคง

แต่ถ้าใครปรุงคำว่า ‘จิตใจฟุ้งซ่าน’ และถ่ายทอดมันลงในจานได้สำเร็จ ผลลัพธ์ที่ได้…ย่อมเหนือจินตนาการอย่างแน่นอน!

พ่อครัววิญญาณทุกคนในห้องโถงต่างตกตะลึงเมื่อเผชิญกับหัวข้อนี้

เดิมทีพวกเขามีความคิดที่จะดูการแสดงฝีมือ และต้องการดูว่าเฉินซีคนนี้จะทำให้ตัวเองอับอายต่อหน้าผู้คนหรือไม่ แต่เมื่อเห็นหัวข้อที่ชายหนุ่มได้รับ ทุกคนกลับต้องตกตะลึง…

หัวข้อนี้ยากเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็น ‘ภาวะ’ ไร้ตัวตนและแยกแยะได้ยาก ตามความหมายของมัน การจะเชื่อมโยง ‘จิตใจฟุ้งซ่าน’ กับอาหารนั้นยากเย็นอย่างยิ่ง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นหัวข้อที่ยากที่สุดในรอบที่สองนี้!

‘หากข้าได้รับหัวข้อนี้ เช่นนั้นข้าควรจัดเตรียมอาหารใดดี?’

พ่อครัววิญญาณทั้งหมดกำลังครุ่นคิดอยู่ในความเงียบ

บนที่นั่งเจ้าภาพในห้องโถง ผู้อาวุโสทั้งหมดของเผ่าเทาเที่ยต่างเย้ยหยันอยู่ในใจ พวกเขารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง และถ้าไม่ใช่เพราะต้องสำรวมท่าทีเอาไว้ ผู้อาวุโสทุกคนก็คงพากันหัวเราะขึ้นฟ้าไปแล้ว

พวกเขากระทั่งสาบานกับสวรรค์ว่า พวกเขาไม่ได้จงใจให้เฉินซีได้รับหัวข้อนี้ไป แล้วสิ่งที่ชายหนุ่มได้ มันก็เพราะโชคร้ายล้วน ๆ!

ในขณะเดียวกัน เถาเจิ้นเทียนกำลังขมวดคิ้วและยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ด้วยมีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้หัวข้อในรอบที่สอง ในขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ไม่ได้แตะต้องมัน ดังนั้นมันจึงช่วยขจัดความเป็นไปได้ในการโกง แต่เจ้าตัวก็นึกไม่ถึงว่าเฉินซีจะโชคร้ายจนได้หัวข้อที่ยากที่สุดในรอบที่สองไป

ทว่าเขากังวลเล็กน้อยว่าเฉินซีจะสงสัยหรือไม่ …อีกฝ่ายคงกำลังคิดว่าเขาจงใจทำให้ตนเองลำบากโดยใช้วิธีลับเป็นแน่ …หากเป็นเช่นนี้ ตัวเขาก็ถือว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมเข้าแล้ว!

เพราะในบรรดาหนึ่งร้อยหัวข้อเหล่านี้ เก้าสิบเก้าหัวข้อนั้นเขาเป็นคนกำหนด แต่หัวข้อ ‘จิตใจฟุ้งซ่าน’ นี้ เถาเจิ้นเทียนไม่ได้เป็นผู้กำหนด!

เมื่อความคิดของทุกคนในห้องโถงกำลังโลดแล่นอย่างรวดเร็ว เฉินซีก็วางกระดาษลงและเริ่มเคลื่อนไหว

ชายหนุ่มเริ่มเลือกส่วนผสมที่ต้องการ และเขาเลือกเพียงสี่ชนิดเท่านั้น ผลไม้วิญญาณสงบเงียบสีคราม โสมเปลวเพลิงร้อยเท่า วารีหยกจุดทอง และเนื้อกวางวิญญาณหนึ่งชิ้น

หลังจากนั้นก็กลับไปที่เตาและเริ่มเตรียมส่วนผสม

การเคลื่อนไหวของเฉินซีนั้นพิถีพิถัน ว่องไวดั่งสายลม ดุดันดั่งเปลวไฟ นุ่มนวล และมีทักษะ ทำให้กลิ่นอายลึกล้ำแผ่ออกจากทั่วร่างกายของชายหนุ่ม

การเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้ดึงดูดความสนใจจากหลาย ๆ คน

ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างมีสายตาเฉียบแหลมและพัฒนาเต๋าแห่งการปรุงอาหารของพวกเขามานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นทุกคนจึงมองออกได้ในปราดเดียวว่า ทุกสิ่งที่เฉินซีได้เผยออกมาคือความสำเร็จที่บรรลุสู่จุดสูงสุดของความสมบูรณ์แบบ และมันก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเสแสร้งกันได้

สิ่งนี้ทำให้ความประทับใจของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อเฉินซีเปลี่ยนไป อย่างน้อยที่สุด ฝีมือของเฉินซีก็ไม่ได้ด้อยกว่าพ่อครัววิญญาณเจ็ดใบอย่างแท้จริง!

“เขากำลังทำสิ่งใดกัน? เหตุใดเขาจึงเลือกส่วนผสมเพียงสี่อย่างเท่านั้น!?” มีคนพึมพำเบา ๆ และรู้สึกงุนงง

“ผลไม้วิญญาณสงบเงียบสีคราม โสมเปลวเพลิงร้อยเท่า อันหนึ่งหวานเย็น อีกอันเผ็ดร้อน เหมือนน้ำกับไฟ จากการจับคู่ส่วนผสม พวกมันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง …สิ่งนี้ดูจะแย่เล็กน้อย”

“วารีหยกจุดทองมีคุณสมบัติหยินสูงเช่นกัน ในขณะที่เนื้อกวางวิญญาณนั้นมีคุณสมบัติหยางมาก หนึ่งคือหยินและอีกหนึ่งคือหยาง มันมีลักษณะที่ขัดแย้งกันเช่นเดียวกัน ช่างเป็นส่วนผสมที่เข้ากันจริง ๆ …ฮ่า ๆ”

“โอ้ มันแปลกมากจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเห็นว่าทักษะการเตรียมส่วนผสมของเขามีความชำนาญยิ่ง ข้าคงสงสัยจริง ๆ ว่า เขาไม่รู้อันใดเกี่ยวกับเต๋าแห่งการปรุงอาหาร เพราะจะมีพ่อครัววิญญาณคนใดในโลกจับคู่ส่วนผสมเช่นนี้กัน?”

พ่อครัววิญญาณทุกคนต่างพูดคุยกระซิบกระซาบ ซึ่งทุกคนต่างก็งุนงงกับฉากนี้ และไม่สามารถเข้าใจได้ว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่

“ทุกคน คงจะดีกว่าที่จะไม่ตัดสินเร็วเกินไป ก่อนอื่นเราควรฟังสิ่งที่ปรมาจารย์ชิวเฟิ่งพูดก่อน” มีคนกล่าวขึ้นก่อนจะป้องมือคำนับไปทางชายชราที่อยู่ด้านข้าง

“โอ้ ใช่แล้ว! ท่านปรมาจารย์ชิวเฟิ่งเป็นผู้มีความรู้มากที่สุดในเต๋าแห่งการปรุงอาหาร ดังนั้นไม่ว่าเฉินซีจะเป็นของจริงหรือไม่ มันย่อมสามารถตัดสินได้จากมุมมองของปรมาจารย์ชิวเฟิ่ง”

ขณะกล่าว ทุกคนก็จ้องมองไปยังชายชรา

ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวหลวม ๆ มีผมหงอกและท่าทางคล้ายนักปราชญ์ เขาปฏิเสธอย่างสุภาพเมื่อได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ในความคิดของข้า การเลือกส่วนผสมของเด็กคนนี้น่าจะผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หนึ่งน้ำ หนึ่งไฟ หนึ่งหยิน หนึ่งหยาง และคนที่ไม่รู้เกี่ยวกับเต๋าแห่งการปรุงอาหาร จะไม่สามารถเลือกส่วนผสมเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน”

เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ถ้าตัวข้าเป็นผู้ทำอาหาร สำหรับหัวข้อ ‘จิตใจฟุ้งซ่าน’ ข้าก็คงจะใช้ส่วนผสมทั้งสี่นี้ในทำนองเดียวกัน ข้าแค่ต้องบรรจุหยินไว้ในน้ำ สกัดหยางจากในกองไฟ แล้วปรุงโสมเปลวไฟร้อยเท่ากับเนื้อกวางวิญญาณด้วยไฟแรง ก่อนที่จะปรุงผลไม้วิญญาณสงบเงียบสีครามกับวารีหยกจุดทองด้วยเปลวเพลิงวิญญาณน้ำแข็งยมโลก…”

“ในท้ายที่สุด เนื้อกวางวิญญาณที่ปรุงด้วยโสมเปลวเพลิงร้อยเท่าจะอยู่ตรงกลาง ในขณะที่ผลไม้วิญญาณสงบเงียบสีครามที่ปรุงด้วยวารีหยกจุดทองจะกระจายไปรอบ ๆ เพื่อสร้างปรากฏการณ์เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นจากน้ำ ในขณะที่หยินสอดประสานกับหยางและพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า รสชาติของมันจะเลิศเลอจนเพียงพอที่จะทำให้จิตใจกระสับกระส่ายจนควบคุมตนเองไม่ได้”

ปรมาจารย์ชิวเฟิ่งกล่าวด้วยความมั่นใจและคล้ายราวกับว่ามันทำง่ายดายนัก ทว่ากลับทำให้พ่อครัววิญญาณที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดมึนงงและกลืนน้ำลายด้วยความชื่นชม ในขณะที่รู้สึกชื่นชมจากใจจริง

ตามที่ปรมาจารย์ชิวเฟิ่งคาดไว้ เขาจัดการกับปัญหาของน้ำและไฟ หยินและหยางที่ขัดแย้งได้ในคำกล่าวไม่กี่คำ และกระทั่งคิดแผนดึงปราณวิญญาณของส่วนผสมทั้งสี่ออกมาจนถึงระดับสูง วิธีการของปรมาจารย์ชิวเฟิ่งนั้นแยบยลเสียจนน่าเหลือเชื่อ!

แม้แต่ผู้อาวุโสของเผ่าเทาเที่ยก็ลอบพยักหน้าเห็นด้วย เพราะวิธีการทำอาหารนี้เป็นแบบดั้งเดิมและลึกล้ำยิ่ง

“เอ๊ะ ดูเหมือนเขาจะมีความคิดอื่น” ใครบางคนกล่าวด้วยความประหลาดใจ

ทุกคนตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมอง แน่นอนว่าพวกเขาสังเกตเห็นว่าเฉินซีเริ่มทำอาหารแล้ว แต่วิธีการที่ชายหนุ่มใช้นั้นแตกต่างกับปรมาจารย์ชิวเฟิ่งอย่างสิ้นเชิง

“ฮึ่ม! ถ้าเขาทำอาหารเหมือนที่ปรมาจารย์ชิวเฟิ่งอธิบาย ก็หมายความว่าฝีมือการทำอาหารของเขาเทียบชั้นกับปรมาจารย์ชิวเฟิ่งหรือ? คงเป็นไปไม่ได้กระมัง” มีคนสงสัย

“ใช่ เขายังเด็กมาก ดังนั้น แม้ว่าจะเชี่ยวชาญเต๋าแห่งการปรุงอาหารแล้วก็ตาม แต่เฉินซีก็ไม่มีทางจะเทียบชั้นกับปรมาจารย์ชิวเฟิ่งได้”

“ฮ่า ๆ ข้าคาดเดาได้ว่า ตราบใดที่เผ่าเทาเที่ยไม่ลอบทำอะไรบางอย่าง เด็กคนนี้จะต้องแพ้ในการแข่งขันรอบที่สองนี้อย่างแน่นอน!”

“ด้วยเหตุนี้ อันดับหนึ่งในรอบที่สองจะต้องตกเป็นของปรมาจารย์ชิวเฟิ่งแล้วกระมัง?”

“ยังต้องสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกหรือ?”

ทุกคนเริ่มพูดคุยกัน และไม่ได้สนใจทุกความเคลื่อนไหวของเฉินซีอีกต่อไป พวกเขากลับเริ่มถกเถียงกันถึงผลลัพธ์ของการแข่งขันรอบที่สอง ทั้งยังพากันสรรเสริญปรมาจารย์ชิวเฟิ่งเป็นอย่างมาก

ขณะเดียวกัน ชิวเฟิ่งก็เอาแต่ลูบเคราด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และแม้ในใจจะยังคงสำรวมเรียบร้อย แต่เจ้าตัวก็อดไม่ได้ที่จะยินดีและพอใจ

เขาเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะเป็นเวลาถึงยี่สิบปี เพื่อศึกษาเต๋าแห่งการปรุงอาหารอย่างถ่องแท้ ซึ่งเหลืออีกเพียงก้าวเดียวในการเป็นปรมาจารย์พ่อครัววิญญาณ ชิวเฟิ่งจึงได้เข้าร่วมการจัดอันดับพ่อครัววิญญาณทองคำในครั้งนี้ ประการแรกเพื่อประโยชน์ในการสังเกตทักษะการทำอาหารของผู้อื่น ส่วนประการที่สองก็เพื่อความรู้สึกภาคภูมิใจและความพึงพอใจ

จากสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ชายชราสามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้อย่างง่ายดาย …ส่วนที่เขาสนใจจริง ๆ ก็คือใครจะได้ที่หนึ่งในการแข่งขันนี้ไป

“เอ๊ะ!”

ในขณะนี้ สายตาของเขาได้เหลือบไปเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ และม่านตาของเจ้าตัวก็หดเล็กลงทันที ในขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าของชิวเฟิ่งกลายเป็นแข็งค้าง เมื่อเห็นทักษะการทำอาหารของเฉินซี

ไม่ใช่แค่ชิวเฟิ่งเท่านั้น แต่สายตาของเถาเจิ้นเทียนซึ่งนั่งอยู่ที่ที่นั่งเจ้าภาพก็จดจ่อเช่นกัน เขาจ้องไปที่ชายหนุ่มในขณะที่เผยสีหน้าตกใจ

ในไม่ช้า บรรดาพ่อครัววิญญาณที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เกี่ยวกับการจัดอันดับของรอบที่สอง ก็สังเกตเห็นท่าทางที่ผิดปกติของปรมาจารย์ชิวเฟิ่ง และนอกจากจะประหลาดใจเล็กน้อยแล้ว พวกเขายังอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่เฉินซี หลังจากนั้น… รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็แข็งค้าง ในขณะที่ทุกคนพากันแสดงสีหน้าตกใจออกมา

บรรยากาศแปลกประหลาดเช่นนี้กระจายออกไปเหมือนคลื่นอย่างเงียบ ๆ และแผ่ขยายไปทั่วทั้งห้องโถง ทำให้ห้องโถงเงียบสนิทไปชั่วขณะหนึ่ง

…บรรยากาศกระทั่งกลายเป็นเงียบสนิทยิ่ง และมีเพียงเสียงฟู่ของเปลวเพลิงวิญญาณขณะที่เฉินซีทำอาหาร

จิตใจของเฉินซีว่างเปล่า ในขณะที่เขาจดจ่ออยู่กับเตาที่อยู่ตรงหน้า และจิตสัมผัสเทพอันทรงพลังของชายหนุ่มก็เหมือนกับหนวดนับไม่ถ้วนของปลาหมึก ในขณะที่มันควบคุมการเปลี่ยนแปลงของเปลวเพลิงวิญญาณอย่างเฉียบขาดและไหลลื่น

การเคลื่อนไหวของเฉินซีราวกับถูกชั่งวัดมาก่อน พวกมันทั้งแม่นยำ สะอาด และเรียบร้อย ขณะที่ทุกการกระทำแฝงไว้ด้วยจังหวะที่ไหลลื่น คล้ายดั่งคนขายเนื้อมีฝีมือในการชำแหละเนื้อวัว

เปลวเพลิงวิญญาณ ส่วนผสม เครื่องครัวต่าง ๆ …ภายใต้การควบคุมของชายหนุ่ม การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ได้เกิดขึ้น และมันไม่ได้เหมือนกับว่าเขากำลังทำอาหาร แต่เหมือนกับเฉินซีกำลังสร้างงานศิลปะชั้นเลิศ ทำให้มันเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินทางสายตาที่ยอดเยี่ยม

ฟู่! ฟู่!

ภายในกระทะเหล็ก ลมร้อนขดตัวไปมา ในขณะที่มีน้ำมันพวยพุ่งอยู่รอบ ๆ ทำให้เกิดเสียงฟู่พร้อมกับกลิ่นหอมเย้ายวนที่ดูจะสามารถเจาะเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้คนได้

ชายหนุ่มมีสมาธิมาก แต่ภาพเหตุการณ์มากมายในอดีตพลันปรากฏขึ้นในใจของเขา การฝึกฝนเรียนรู้ในเมืองหมอกสน การทดสอบภายในเทือกเขาแดนเถื่อนตอนใต้ การทำลายล้างตระกูลหลี่ การจัดอันดับมังกรซ่อน การทำลายล้างตระกูลซู การชุมนุมดาวรุ่ง สมรภูมิบรรพกาล การเข้าร่วมกับนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เหวเงาทมิฬ…

อดีตอันไกลโพ้น ความวุ่นวายและความยากลำบากที่เขาเผชิญ ประกายกระบี่ที่โบยบินและเลือดที่สาดกระเซ็น น้ำตาและความตายที่คละเคล้ากัน หนทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม มันก็แค่การขัดเกลาการบ่มเพาะของเขาเท่านั้นหรือ?

ย่อมไม่ใช่!

มันยังขัดเกลาหัวใจที่แสวงหาเต๋าอีกด้วย!

หากมีใครถามบรรดานักปราชญ์และเหล่าทวยเทพเกี่ยวกับวิธีการบรรลุเต๋า เช่นนั้นพวกเขาก็จะบอกว่า ‘สยบจิตใจ’!

ด้วยถ้าใจสงบ ความคิดทั้งหลายย่อมพุ่งทะยาน และมันจะเหมือนเงาสะท้อนของดวงจันทร์ภายในบ่อน้ำที่ไม่มีทางถูกรบกวนได้!

ถ้าเจตจำนงมั่นคงแล้ว แม้ในสายตาของผู้อื่นอาจเป็นนรก แต่มันย่อมเป็นสวรรค์ในสายตาของตน!

สภาวะจิตใจของเฉินซีในปัจจุบันถือได้ว่าสงบอย่างสมบูรณ์ เป็นไปตามเจตจำนงของเขา แต่ไม่คล้อยตามกฎเกณฑ์ เป็นอิสระ ทำให้แรงกระตุ้นและภาพลวงตาไม่สามารถรบกวนหัวใจของชายหนุ่มได้

ไม่ถึงหนึ่งช่วงก้านธูป อาหารจานนี้ก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งมันก็แสนจะธรรมดาเหมือนจานเนื้อผัดพริกเขียวธรรมดา แต่เมื่อมองดูท้องฟ้าเหนือจาน มันกลับเต็มไปด้วยปรากฏการณ์สองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

หนึ่งคือดินแดนอันน่าสยดสยองและน่าสะพรึงกลัวของอสูรร้ายที่ปีศาจสวรรค์โบยบินและวิญญาณพยาบาทคร่ำครวญ อีกทั้งยังมีฉากอันน่าสยดสยองอย่างแม่น้ำเลือดกับกระดูกและแดนชำระล้าง

ในขณะที่อีกแห่งเป็นสรวงสวรรค์ พื้นดินปกคลุมด้วยทองคำ ดอกไม้โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า มังกรและวิหคอมตะโบยบินไปรอบ ๆ และนำความรุ่งโรจน์มาให้ พร้อมกับที่ปทุมสีทองผุดขึ้นจากพื้นดิน เผยแสงรัศมีอันเจิดจรัสทั่ว

ปรากฏการณ์ทั้งสองนี้ไม่สามารถเข้ากันได้ และพวกมันก็สับเปลี่ยนไปมา ดั่งการไหลเวียนของหยินและหยาง การผสานกันของน้ำกับไฟ กระทั่งส่งผลกระทบทางสายตาที่ทำให้หัวใจทุกคนสั่นไหว!

ทุกคนล้วนตกตะลึง และทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบสนิท

พวกเขาสามารถได้ยินเสียงสวดมนต์ของเต๋าที่มองไม่เห็นดังขึ้น!

“เมื่อใจไม่บริสุทธิ์ ย่อมแยกไม่ออกระหว่างเซียนกับมาร”

“เมื่อเจตนาไม่คงที่ ดีชั่วก็ยากแยกออก!”

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท