บทที่ 738 โถงพินิจกระบี่!
บทที่ 738 โถงพินิจกระบี่!
เสวี่ยเหยียนรู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย ภายในฝันนั้นมีหมัดที่ใหญ่เหมือนหม้ออยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง นางวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง แต่พวกมันก็กระหน่ำลงมาดั่งเม็ดฝน ทำให้ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ และได้แต่ร้องเสียงหวาดกลัวออกมา
หลังจากนั้นนางก็ร้องเสียงอู้อี้แล้วสะดุ้งตื่น
นี่มันผ่านไปกี่ปีแล้ว? เหตุใดข้าจึงฝันเรื่องนี้อีก?
เสวี่ยเหยียนถอนหายใจโล่งอกออกมาก่อนที่ร่างจะตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง เดี๋ยวก่อน เหมือนข้าจะ…
ตู้ม!
พริบตาต่อมา นางก็รู้สึกเหมือนร่างถูกโยนลงพื้นราวกับโยนกระสอบทราย ใบหน้ากระแทกพื้นจนเปรอะดินไปหมด
บัดซบ!
ใครกันที่กล้าหยาบคายถึงเพียงนี้!?
เสวี่ยเหยียนรู้สึกโกรธเคือง และเมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังส่งสายตาเย็นชามองมา
ชายหนุ่มมีรูปร่างสูง นัยน์ตาลึกล้ำดั่งดวงดารา มีท่วงท่าไม่ธรรมดา สองมือไพล่หลัง หลังตั้งตรงดั่งกระบี่แทงขึ้นฟ้า
ใบหน้าของหญิงสาวขรึมลงทันทีที่เห็นเขา ภาพที่ไม่อยากจดจำนับไม่ถ้วนวาบผ่านภายในจิตใจ…
นี่ข้าถูกผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาซัดจนสลบอย่างนั้นหรือ!?
ภายในใจของเสวี่ยเหยียนพลันบังเกิดเพลิงแค้น พวยพุ่งขึ้นมาพร้อมกับจิตสังหาร นางลุกขึ้นยืนหมายจะสังหารคน ทว่า สองขากลับอ่อนระทวยจนล้มลงไปอีกครั้ง
ตอนนั้นเอง หญิงสาวถึงได้รู้ว่าพลังบ่มเพาะของตนเองถูกผนึกไว้ ส่งผลให้ปราณเซียนทั่วทั้งร่างกายไม่อาจไหลเวียน ตอนนี้นางจึงไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป!
เหตุการณ์นี้ทำให้หญิงสาวอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายากล้าทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร?
นางพยายามฝืนทะลวงพลังออกมา แต่กลับรู้สึกเจ็บปวดเหมือนมดนับพันเกาะกลุ่มเหนียวแน่นอยู่ที่กลางใจ ส่งผลให้ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ใบหน้าซีดเผือด หน้าผากผุดเหงื่อเย็น
เป็นการผนึกพลังที่น่ากลัวยิ่ง!
การกระทำนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาสามารถทำได้!
เสวี่ยเหยียนเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นเหมิงเหวย โม่ย่า และคนอื่น ๆ เคลื่อนกายลงมาพร้อมอาซิ่ว ก่อนที่หญิงสาวจะมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องเป็นฝีมือของผู้หญิงในชุดเขียวคนนี้แน่!
เมื่อลองคิดดูแล้วนางก็ชักเริ่มแน่ใจ เพราะก่อนหน้านี้เป็นผู้หญิงในชุดเขียวที่สังเกตเห็นนางก่อน แล้วก็เป็นสตรีผู้นี้อีกที่บีบให้เสวี่ยเหยียนต้องออกมาจากที่ซ่อนกลางท้องนภา!
น่าเสียดายที่นางเอาแต่จดจ่อรับมือกับเฉินซีจึงพลาดจุดนี้ไป และเพิ่งนึกเอาได้ตอนนี้ว่า เพราะบางที… ผู้หญิงในชุดเขียวอาจจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุดของคนกลุ่มนี้แล้วก็ได้!
อาซิ่วพลันหันมาส่งยิ้มให้เสวี่ยเหยียน ซึ่งมันทั้งงดงามและแสนบริสุทธิ์ แต่นั่นกลับทำให้หญิงสาวต้องสั่นสะท้าน เพราะมันช่างดูราวกับรอยยิ้มของปีศาจน้อยอย่างไรอย่างนั้น
“ในเมื่อตื่นแล้วก็เริ่มเลยเถิด” เฉินซีว่า
“เริ่มอะไร?” เสวี่ยเหยียนชะงักไป
“ข้าถาม เจ้าตอบ ข้าเชื่อว่าเจ้ารู้สถานการณ์ตนเองดี” เฉินซีว่าเสียงเรียบ
“นี่เจ้าขู่ข้าหรือ?” เสวี่ยเหยียนโกรธจัด สายตาตวัดมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ตัวตนขอบเขตสถิตกายากล้ากล่าววาจาเช่นนี้กับนางเมื่อไรกัน?
“จะไม่ตอบก็ได้ แต่ว่า…” เฉินซีเอ่ยขึ้น
เสวี่ยเหยียนพลันเอ่ยขัด “ไม่ต้องพยายามขู่ข้าหรอก จะทำอะไรก็ทำ ข้าบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ ผ่านลมพายุมาทุกประเภท มีหรือจะให้เจ้าขู่ได้? ถึงต้องตาย ใต้เท้าปิงซื่อเทียนก็จะล้างแค้นให้ข้าแน่!”
เฉินซีขมวดคิ้ว “ไม่กลัวว่าข้าจะเอาเจ้าไปขายในหอโคมแดงที่สกปรกที่สุดในเมืองมนุษย์ กลายเป็นโสเภณีชั้นต่ำที่ต้องใช้เรือนร่างรับใช้แขกนับร้อยทุกวันเป็นเวลาสิบปีจนอยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนั้นหรือ?”
เสวี่ยเหยียนหัวเราะเสียงเย็น ราวกับได้ยินคำขู่ที่น่าขำที่สุดก็ไม่ปาน
เฉินซียิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเก่า จากนั้นเขาก็เอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นข้า…”
“มา ให้ข้าจัดการ” อาซิ่วฟังทนฟังต่อไปไม่ไหว นางจึงผลักเฉินซีออกไป ก่อนจะเอ่ยประโยคหนึ่งที่สยบอีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์
เป็นประโยคที่มีเพียงห้าคำเท่านั้น ‘จะฟังหรือเสียโฉม!’
การทำให้เสียโฉมถือเป็นสิ่งที่ผู้หญิงปุถุชนคนทั่วไปหวาดกลัวที่สุด และสำหรับผู้หญิงที่บ่มเพาะพลังก็ไม่ได้แตกต่างกัน
ด้วยความที่ผู้บ่มเพาะพลังจะมีทั้งยาและวิชามหัศจรรย์ทั้งหลายที่สามารถใช้รับมือกับความอัปลักษณ์ได้ ถึงขนาดที่สามารถทิ้งร่างเดิมเพื่อชิงร่างใหม่ได้เลยทีเดียว
ทว่าเสวี่ยเหยียนเชื่อว่าในเมื่ออาซิ่วกล้าพูดเช่นนี้ อีกฝ่ายต้องคิดมาอย่างถี่ถ้วนดีแล้ว หรือก็คือหากอาซิ่วทำให้นางเสียโฉม มันย่อมไม่อาจย้อนคืนได้อีก!
ดังนั้นนางจึงยอมศิโรราบแต่โดยดี
นางไม่อาจทนมองใบหน้างดงามของตนแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่อัปลักษณ์ได้ นางเป็นจิ้งจอกเก้าหางเลือดบริสุทธิ์ที่เกิดมามีเสน่ห์ยวนใจ จึงย่อมชอบความงดงามมาแต่กำเนิด
ก็เหมือนที่หยาจื้อหลงใหลในการค้นหากระบี่ เหมือนเทาเที่ยที่ใฝ่หาอาหารรสเลิศ เผ่าจิ้งจอกเก้าหางของนางเองก็ใฝ่หาบางอย่างเช่นกัน และสิ่งนั้นก็คือความงามนั่นเอง
…
เฉินซีจึงผ่อนคลายลงไปมาก
เขาได้รับรู้จากเสวี่ยเหยียนว่านอกจากหั่วโม่เลยแล้ว ศิษย์พี่ทั้งชายหญิงล้วนตกอยู่ในกำมือของปิงซื่อเทียน และถูกขังไว้ในคุกนิกายวิถีกระแสสวรรค์ ทว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด
ชายหนุ่มจึงคิดจะใช้เสวี่ยเหยียนเป็นตัวประกัน เพื่อบีบให้ปิงซื่อเทียนยอมส่งเหล่าศิษย์พี่ของเขากลับคืน!
ว่ากันตามตรงแล้ว เสวี่ยเหยียนที่อยู่ขอบเขตเซียนปฐพีย่อมมีค่ามากกว่าศิษย์พี่ของเขามาก และมันถือเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะเป็นความจริงที่โหดร้ายก็ตาม
ทว่าเฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เขารู้แค่ว่าตราบเท่าที่ตนเองเก็บเสวี่ยเหยียนไว้ เช่นนั้นพวกศิษย์พี่ก็จะยังปลอดภัย
อีกทั้งยังไม่ต้องกล่าวว่าตัวตนของเสวี่ยเหยียนนั้นไม่ธรรมดา เพราะนางยังมีประโยชน์สำคัญอยู่อีกอย่าง!
…
ครึ่งวันต่อมา
ฟิ้ว!
ลำแสงสายหนึ่งกรีดผ่านขอบฟ้า ปรากฏขึ้นอยู่ไกลจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
ในที่สุดก็กลับมาแล้ว… ความรู้สึกซับซ้อนและความโหดร้ายที่ไม่อาจยับยั้งเอ่อล้นในหัวใจเมื่อทอดสายตามองทิวเขากว้างใหญ่และสูงตระหง่านที่อยู่ห่างไกลออกไป
ยอดเขาจรัสตะวันออก!
เยว่ฉือ!
เมื่อคิดว่าหั่วโม่เลยและคนอื่นถูกเยว่ฉือจับตัวไป ก่อนสุดท้ายจะตกอยู่ในกำมือของปิงซื่อเทียน เฉินซีก็แทบจะอยากพุ่งไปยังยอดเขาจรัสตะวันออกแล้วสังหารขยะชั่วอย่างเยว่ฉือทิ้งเสียตอนนี้!
ชายหนุ่มหายใจเข้าลึก พยายามระงับจิตสังหารและความเกลียดชังไว้ ก่อนจะพาเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ มุ่งหน้าไปยังนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง
“ศิษย์พี่เฉินซี!”
“ศิษย์พี่เฉินซี ท่านกลับมาแล้ว!”
“เยี่ยมเลย! ศิษย์พี่เฉินซีกลับมาแล้ว!”
เฉินซีเพิ่งเข้าประตูของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมา เหล่าศิษย์ทั้งหลายที่เฝ้าประตูอยู่ต่างตื่นตะลึง ก่อนจะเผยสีหน้ายินดีออกมา จากนั้นพากันคำนับให้โดยพร้อมเพรียงกัน
ศิษย์เหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สายในและศิษย์สายนอกเสียส่วนมาก มีพลังอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ดังนั้นจึงตื่นเต้นมากเมื่อได้พบศิษย์ชั้นยอดอย่างเฉินซีที่มีชื่อเสียงระบือไกล ศิษย์หญิงบางคนตื่นเต้นถึงขั้นหน้าแดงเถือก ตัวน้อย ๆ สั่นไปหมด
ชายหนุ่มที่เห็นแบบนั้นก็อึ้งไป ก่อนจะป้องมือให้ศิษย์น้องทั้งหลาย และหันหลังเดินจากไปพร้อมกับพวกเหมิงเหวย
ตอนนี้ภายในอกของเขาราวกับมีไฟสุม ไม่อาจสนใจสิ่งอื่นได้อีกต่อไป
ฟิ้ว!
ณ โถงศิษย์สายนอกแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ตรงหน้าพื้นที่ส่วนต้อนรับ เฉินซีเหินร่างมาและจัดหาที่พักให้เหมิงเหวยและคนอื่น ๆ เพราะกฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นห้ามให้คนนอกเข้าไปในพื้นที่ส่วนในของนิกาย ไม่เช่นนั้นจะถูกค่ายกลโจมตี
แม้ตอนนี้เฉินซีจะเป็นศิษย์ชั้นยอดแล้ว แต่ก็ยังต้องทำตามกฎนี้ มีเพียงต้องแจ้งผู้อาวุโสสายในและได้รับคำอนุญาตมาเท่านั้นถึงจะสามารถพาเหมิงเหวยและคนอื่น ๆ เข้าไปในยอดเขาจรัสตะวันตกได้
“อาซิ่ว ดูแลตรงนี้ด้วย ข้าจะมารับพวกเจ้าหลังจากแจ้งประมุขนิกายแล้ว” เฉินซีสั่งอาซิ่วก่อนจะจากไป
“อ้อ เร่งมือเข้าหน่อยเล่า ก่อนหน้านี้เจ้าสัญญาว่าจะทำอาหารให้ข้ากิน อย่าลืมเสียล่ะ…” อาซิ่วพยักหน้าและพึมพำอย่างขอไปที
ทว่าชายหนุ่มกลับออกมาด้านนอกแล้ว เขาจึงไม่ได้ยินคำกล่าวของนางจนครบถ้วน
“ศิษย์พี่! ศิษย์พี่เฉินซี! ท่านกลับมาเสียที!” แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะมุ่งหน้าไปยอดเขาสัประยุทธ์เพื่อเข้าพบประมุขนิกาย เวินหัวถิง ลำแสงสองสามสายพลันเหินลงมาปรากฏตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะคำนับให้ด้วยความเคารพ
“อันใด?” เฉินซีเห็นว่าพวกเขาเป็นศิษย์ชั้นยอดของยอดเขาจรัสเทวะเช่นกัน และต่างคนล้วนฝึกทักษะขัดเกลากายาเทพอสูร มีระดับพลังที่ไม่เลวทีเดียว
“พวกข้าตามหาศิษย์พี่มานานแล้ว ตามคำสั่งของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ตามหาข้า?” เฉินซีชะงัก ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงเป็นผู้คุมกฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง หลังจากการทดสอบแห่งยอดเขาจรัสในวันนั้น ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงเคยพาตัวเขามาที่ตำหนักเมฆาครามเพื่อรับป้ายคำสั่งในฐานะศิษย์ชั้นยอด อีกทั้งผู้อาวุโสเลี่ยเผิงยังปฏิบัติต่อเขาไม่เลว
“ใช่แล้ว ศิษย์พี่เฉินซี เราทราบจากพวกศิษย์หน้าประตูว่าศิษย์พี่กลับนิกายแล้ว โดยขณะนี้ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงได้สั่งให้ศิษย์ทุกคนที่มีพลังต่อสู้ห้าเท่าขึ้นไปบนยอดเขาจรัสเทวะมารวมตัวที่โถงพินิจกระบี่ ดังนั้นศิษย์พี่ควรรีบไปนะขอรับ”
ตอนนี้เฉินซีมีชื่อเสียงดังไกล เขาสังหารเยี่ยนสือซานจนสะท้านใต้หล้า ส่งผลให้มีชื่อว่าเป็นยอดอัจฉริยะ เป็นศิษย์ที่มีความโดดเด่นที่สุดในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองทีเดียว
และก่อนชายหนุ่มจะกลับนิกาย ทั้งชื่อเสียงรวมถึงฐานะในหมู่ศิษย์ชั้นยอดแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเฉินซีก็ถือว่าไต่ถึงขั้นสูงแล้ว ซึ่งสูงกว่าหลงเจิ้นเป่ย หวังจ้งฮ่วน อวิ๋นเยี่ย ลั่วเชี่ยนหรงคนอื่น ๆ เสียอีก
ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเขา ศิษย์ชั้นยอดทั้งหลายจึงล้วนให้ความเคารพ ไม่กล้าล่วงเกินเฉินซี
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเราได้รับคำสั่งให้ไปรวมกันที่โถงพินิจกระบี่เพราะมีผู้ยิ่งใหญ่เข้ามาเยี่ยมเยียนอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีรู้ดีว่าโถงพินิจกระบี่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ที่จะเปิดใช้เมื่อมีแขกคนสำคัญเท่านั้น
“ถูกต้องแล้วขอรับ องค์หญิงแห่งเขาวิญญาณนิรันดร์ได้มาเยี่ยมเยียนนิกายของเรา นางมีฐานะสูงส่งนัก ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงจึงไปต้อนรับนางด้วยตนเอง” ศิษย์คนหนึ่งอธิบายขึ้น
เขาวิญญาณนิรันดร์!
ในใจของเฉินซีรู้สึกตกตะลึง จากข่าวลือแล้ว นอกจากสิบนิกายเซียนและหกนิกายอสูร ก็ยังมีสถานที่ลึกลับอยู่ในแดนภวังค์ทมิฬอีกสองแห่ง
แห่งหนึ่งชื่อแดนไร้นาม ส่วนอีกแห่งหนึ่งมีชื่อว่าสรวงสวรรค์สงบเงียบ
ทั้งสองแห่งมีความลึกลับอย่างมาก ทั้งยังเป็นนิกายโบราณ ที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนก เขาวิญญาณนิรันดร์ วัดป่าธยานะ และที่อื่น ๆ
นิกายเหล่านี้เร้นกายจากใต้หล้ามานานหลายปี บางแห่งถึงกับไร้ศิษย์สืบเชื้อสายมานานนับหมื่นปี ราวกับว่าได้ล้มหายตายจากไปแล้ว ทั้งลึกลับและลึกล้ำยิ่ง
ถึงขั้นที่บางนิกายเหลือผู้สืบทอดอยู่เพียงสองสามคน ส่งต่อกันให้ผู้สืบทอดเพียงคนเดียว แต่เพราะมีกำลังและมีทรัพยากรอยู่มากมาย พวกเขาจึงยังเป็นตัวตนสูงส่งเมื่อปรากฏขึ้นในใต้หล้าอีกครั้ง!
เรื่องทั้งหมดนี้ถูกบันทึกไว้ในคู่มือแดนภวังค์ทมิฬ แต่กลับเป็นเพียงข้อความสั้น ๆ อธิบายไม่ชัดเจน เมื่อเอ่ยถึงชื่อเหล่านี้ ก็มักจะมีคำอธิบายแค่ประโยคเดียว ราวกับว่าสถานที่ทั้งสองแห่งเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
‘เขาวิญญาณนิรันดร์หรือ? สถานที่แห่งนั้นมีอยู่จริงสินะ…’ เฉินซีขมวดคิ้วพึมพำ เขาสัมผัสได้ราง ๆ ว่าการมาเยือนขององค์หญิงแห่งเขาวิญญาณนิรันดร์คงไม่ใช่เรื่องธรรมดา