บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 740 ร่างเบญจธาตุ

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 740 ร่างเบญจธาตุ

บทที่ 740 ร่างเบญจธาตุ

เห็นได้ชัดว่าการกระทำของเฉินซีดูไม่ค่อยจริงใจนัก มันจึงสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์ไม่น้อย

“การสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ในอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ และการสังหารเยี่ยนสือซานนั้น ถือได้ว่าน่าทึ่งมาก และเจ้าแทบเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะของสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ แต่สิ่งนั้นกลับเป็นเพียงเรื่องปกติสำหรับเขาวิญญาณนิรันดร์ของเรา” ทันใดนั้น ชายหนุ่มซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่พลันกล่าวขึ้นด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง

และทันทีที่คำกล่าวเหล่านี้เปล่งออกมา บรรยากาศในห้องโถงก็พลันตึงเครียดขึ้นทันที

เหล่าศิษย์ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองทั้งหมดต่างแสดงท่าทางไม่พอใจ “เหตุใดเขาจึงกล่าววาจาเช่นนี้? การฆ่าเยี่ยนสือซานถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือ? นี่เขาจงใจยั่วยุเราชัด ๆ!”

มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่มีท่าทางไม่แยแสและเงียบงันพร้อมกับก้มหน้าลง เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะจัดการกับเยว่ฉืออย่างดุเดือด ดังนั้นชายหนุ่มย่อมไม่ถือสาการยั่วยุของศิษย์เหล่านั้นอย่างจริงจัง

สายตาของเฉินซีในตอนนี้ไม่แม้จะเหลือบแลผู้บ่มเพาะในรุ่นเดียวกัน แต่กลับจับจ้องไปที่ผู้เยี่ยมยุทธ์รุ่นก่อน ๆ …เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอัจฉริยะไร้เทียมทานผู้หนึ่ง ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีใครอื่นในรุ่นเดียวกันนี้ที่เข้าตาชายหนุ่ม

นี่ไม่ใช่ความยโสอวดดี แต่เป็นความมั่นใจที่เขามีหลังจากที่ความแข็งแกร่งและการบ่มเพาะได้รับการเปลี่ยนแปลง บุรุษมักทะยานขึ้นสู่ที่สูง ในขณะที่น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ดังนั้นการเสียเวลาเอะอะตอบโต้กับทุกคำยั่วยุของตัวตลกผู้หนึ่ง มันก็รังแต่จะเป็นเรื่องเสียเวลา

“ฮึ่ม! เขาวิญญาณนิรันดร์มีสิ่งใดที่ยอดเยี่ยมกัน? แม้ว่ามรดกเต๋าจะน่าเกรงขาม แต่มันคงจะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น หากศิษย์ที่ฝึกไร้ฝีมือ” อวิ๋นเยี่ยกล่าวอย่างเย็นชา

เขาสวมเสื้อคลุมเต๋าสีฟ้าน้ำทะเล มีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา อ่อนโยน และมีจิตวิญญาณของผู้กล้าที่เปล่งออกมาจากหว่างคิ้ว อีกทั้งเพราะคำโพล่งนี้เองที่ทำให้บรรยากาศในห้องโถงตึงเครียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

องค์หญิงไป๋หลี่เพียงอมยิ้ม ในขณะที่ท่าทางของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

ส่วนผู้เฒ่าเลี่ยเผิงก็เอาแต่ลูบเคราของเขาและยิ้มเช่นกัน ราวกับว่าชายชราไม่ได้ตระหนักถึงทุกสิ่งรอบตัว

เมื่อเห็นท่าทางของพวกเขา ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่า พวกเขายินยอมต่อการยั่วยุเช่นนี้โดยปริยาย บางทีนี่อาจเป็นการให้กำลังใจอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นการกระตุ้นให้เหล่าศิษย์จากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน เพื่อตัดสินผู้แพ้ชนะ…

แน่นอนว่าในพริบตาต่อมา ศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์ที่กล่าวก่อนหน้านี้พลันลุกขึ้นยืน สายตาที่เย็นชาและดุร้ายเหมือนกระบี่ของเขาพลันกวาดไปทางอวิ๋นเยี่ย ก่อนที่รอยยิ้มเย็นชาจะปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา “ศิษย์พี่ เจ้าคิดว่าศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ของข้าไร้ฝีมืออย่างนั้นหรือ? เหตุใดเราไม่เล่นสนุกกันสักตั้งเล่า?”

ขณะที่กล่าว เจ้าตัวพลันก้าวไปข้างหน้า

ปัง!

ในช่วงเวลาต่อมา ร่างกายของศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์ผู้นั้นพลันถูกปกคลุมด้วยปราณห้าสี ซึ่งประกอบด้วยธาตุทอง ธาตุพฤกษา ธาตุอัคคี ธาตุวารี และธาตุปฐพี ทำให้ตัวคนดูเหมือนราชันผู้ควบคุมเบญจธาตุ

“กายาเบญจธาตุ!” ดวงตาของผู้อาวุโสเลี่ยเผิงพลันจับจ้อง เมื่อเห็นกลิ่นอายที่ล้อมรอบกายของชายหนุ่มคนนี้ ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ว่ากระไรนะ? มันคือกายาเบญจธาตุจริง ๆ หรือ? ไม่ใช่ว่ามันคือหนึ่งในร่างวิญญาณโดยกำเนิดที่ทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งทำให้สามารถควบคุมความลึกล้ำของธาตุทั้งห้าได้โดยกำเนิด อีกทั้งยังส่งเสริมการบ่มเพาะศาสตร์เต๋าของธาตุทั้งห้าได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ?!”

“เขาครอบครองกายาเบญจธาตุจริง ๆ ด้วย!”

“ร่างกายเช่นนี้หาได้ยากและไร้ที่เปรียบมาตั้งแต่ยุคโบราณ ผู้ครองครองร่างกายนี้ ต่างเกิดมาเป็นผู้ถูกชะตาฟ้าลิขิต เป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ เมื่อผู้ครอบครองบ่มเพาะกายา พวกเขาทั้งหมดล้วนมีศักยภาพที่จะกลายเป็นราชันไร้ที่เปรียบ …ข้าไม่เคยนึกเลยจริง ๆ ว่าอัจฉริยะที่ร้ายกาจเช่นนี้จะถือกำเนิดในเขาวิญญาณนิรันดร์!”

ในใจผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนว่า ภายใต้คำสั่งขององค์หญิงไป๋หลี่ ชายหนุ่มที่ก้าวออกมาจะมีกายาเบญจธาตุที่หาได้ยากยิ่ง!

การจะหาคนเช่นนี้สักสองสามคนในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองคงเป็นเรื่องยากยิ่ง และอาจเป็นเรื่องยากที่จะหาคนเหล่านี้สักคนในบรรดาศิษย์นับล้านของนิกาย!

ท่ามกลางสวรรค์และโลกใบนี้ อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์จะถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งคราว และพวกเขาล้วนมีพรสวรรค์ที่เหลือเชื่อต่าง ๆ เช่น กายาดาราเพลิง ร่างมารพันเฉือน เนตรทองคำขาวจักรพรรดิพิสุทธิ์ เส้นชีพจรกระแสทมิฬ เส้นชีพจรวิญญาณโบราณอันล้ำลึก และอื่น ๆ อีกมากมาย

และตราบเท่าที่คนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ไม่ตายก่อนเวลาอันควร พวกเขาก็จะเติบโตเป็นราชันในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะพวกเขาเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ และจะแข็งแกร่งกว่าผู้บ่มเพาะธรรมดาหลายเท่าตัวนักเมื่อเวลายิ่งผ่านไป!

ฉางเล่อ หวังจ้งฮ่วน และอัจฉริยะคนอื่น ๆ ของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองต่างมีสีหน้าจริงจัง เพราะนี่คือกายาเบญจธาตุในตำนานเชียวนะ! ดังนั้นอวิ๋นเยี่ยควรตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างไรดี?

“กายาเบญจธาตุ? ฮึ่ม! มันยอดเยี่ยมมากนักหรือ?” อวิ๋นเยี่ยลุกพรวด ก่อนที่แสงสีทองคำขาวจะพุ่งออกมาจากดวงตาของเขา ราวกับกระบี่อันแหลมคม ซึ่งสามารถทำลายล้างความชั่วร้ายและอุปสรรคทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้า

เนตรทองคำขาวจักรพรรดิพิสุทธิ์!

เขาก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์เหมือนกัน!

และตอนนี้ มันก็ถึงคราวที่บรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีจากเขาวิญญาณนิรันดร์จะต้องประหลาดใจ เพราะพวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนว่า ชายหนุ่มที่กล้ากล่าวอย่างหยิ่งผยองก็มีพรสวรรค์เช่นกัน!

“ฮ่า ๆ เนตรทองคำขาวจักรพรรดิพิสุทธิ์หรือ? น่าเสียดาย ๆ คนที่มีพรสวรรค์นี้จะมีความสามารถเชี่ยวชาญในมหาเต๋าแห่งทองเท่านั้น ในขณะที่ข้าฟางจิ้งเลวี่ยเชี่ยวชาญในมหาเต๋าแห่งทอง พฤกษา อัคคี วารี และปฐพี! แล้วเจ้าจะเทียบกับข้าได้อย่างไร?” ชายหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าฟางจิ้งเลวี่ย เอาแขนกอดอกและกล่าวเยาะเย้ย

“เจ้ารู้แต่กล่าววาจาไร้สาระหรือไร?” หากกล่าวถึงความเย่อหยิ่งแล้วละก็ อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ด้อยกว่าฟางจิ้งเลวี่ยแม้แต่น้อย และเพียงประโยคเดียว กอปรกับท่าทีเฉยเมยและหยิ่งยโสของเจ้าตัว มันก็ทำให้ใบหน้าของฟางจิ้งเลวี่ยมืดมนในทันที

“วิเศษมาก งั้นมาสู้ตัดสินกัน!” มุมปากของฟางจิ้งเลวี่ยกลายเป็นเหยียดเรียบ และตัวคนพลันเคลื่อนไหวในขณะที่กล่าวทันที

“องค์หญิงไป๋หลี่ นี่มัน…” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงกล่าวทันทีในขณะที่เขามองไปยังไป๋หลี่เยียน

“มันไม่เป็นอันตรายหรอก ศิษย์น้องฟางรู้จักยับยั้งตัวเองดี และเขาจะไม่โจมตีอย่างเหี้ยมโหดเกินไป เพราะมันเป็นเพียงการประลองเท่านั้น” ไป๋หลี่เยียนโบกมือของนางอย่างเฉยเมย และคำกล่าวของหญิงสาวก็เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในการคว้าชัยชนะ

สิ่งนี้ทำให้มุมปากของเลี่ยเผิงกระตุกวูบ ในขณะที่ความรำคาญผุดขึ้นในใจของเขา จากนั้นชายชราจึงกล่าวอย่างเฉยเมยแทน “เอาล่ะ ในเมื่อศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์มาที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเราเพื่อแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาในครั้งนี้ เช่นนั้นข้าก็คาดหวังว่าการประลองนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่าย ทำให้ทั้งสองนิกายได้รู้จักกันมากขึ้น”

เขาสะบัดแขนเสื้อขณะกล่าว ทำให้เกิดระลอกคลื่นอันเจิดจ้าขึ้นบนพื้น ณ ใจกลางโถงพินิจกระบี่อย่างกะทันหัน จากนั้นสังเวียนขนาดมหึมาพลันโผล่ขึ้นมาจากพื้น!

สังเวียนนี้มีสีดำสนิท ราวกับสร้างจากเหล็กที่ผ่านการหลอมตีนับครั้งไม่ถ้วน พื้นผิวของมันถูกปกคลุมด้วยสัญลักษณ์โบราณอย่างหนาแน่น และยังมีร่องรอยของเลือดสีแดงเข้มและรอยกระบี่ที่น่ากลัวมากมาย ซึ่งทันทีที่มันปรากฏขึ้น จิตสังหารที่หนาแน่นและรุนแรงพลันพุ่งโจมตีเข้าใส่ใบหน้าทุกคนทันที

“นี่คือสังเวียนพินิจกระบี่ เป็นสถานที่ต่อสู้ที่บรรพบุรุษของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าสร้างขึ้นเพื่อทดสอบกระบี่ของพวกเขา มันถูกสร้างขึ้นจากผลึกมารดาทมิฬที่มาจากภายนอกภพทั้งสาม และแม้แต่เซียนสวรรค์ที่ต่อสู้กันบนนั้น ก็ไม่สามารถทำลายมันได้” เลี่ยเผิงกล่าวอย่างใจเย็น “เจ้าทั้งคู่ต่อสู้กันบนสังเวียนพินิจกระบี่นี้เสีย!”

“สังเวียนพินิจกระบี่!”

สายตาของไป๋หลี่เยียนและทุกคนจากเขาวิญญาณนิรันดร์พลันหรี่ลง ขณะที่พวกเขากำลังพินิจว่ามันพิเศษเพียงใด และแม้จะถูกใช้เพื่อการสู้รบ แต่คุณค่าของมันก็ยิ่งใหญ่จนนิกายสามัญไม่สามารถครอบครองได้!

…แม้ว่าของเช่นนี้จะไปอยู่ในเขาวิญญาณนิรันดร์ก็ตาม สมบัติเช่นสังเวียนพินิจกระบี่นี้ก็ยังคงกล่าวได้ว่าหายากยิ่ง

ฟึ่บ! ฟึ่บ!

โดยไม่ต้องกล่าววาจาใด ๆ อวิ๋นเยี่ยและฟางจิ้งเลวี่ยพลันกระโดดขึ้นไปบนสังเวียน พลางยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เริ่มลงมือ แต่ก็มีกลิ่นอายไร้รูปร่างและน่าสะพรึงกลัวที่เปล่งออกมาจากทั้งคู่ กำลังเข้าปะทะกันในอากาศ!

ปัง! ปัง! ปัง!

การปะทะของกลิ่นอายบนสังเวียนพินิจกระบี่ทำให้อากาศระหว่างพวกเขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ และเกิดเสียงระเบิดที่แหลมสูงดังเสียดหู

“กลิ่นอายอันน่าทึ่ง!”

ทันใดนั้น พวกเขาก็ดึงดูดสายตาของทุกคนในห้องโถง เพราะนี่คือการต่อสู้ระหว่างอัจฉริยะที่เก่งที่สุดจากสองกองกำลัง ดังนั้นผลลัพธ์ของการต่อสู้จึงมีความหมายต่อกองกำลังทั้งสองอย่างมาก

แม้แต่เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น และมองไปรอบ ๆ เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ที่น่าตกใจบนสังเวียนพินิจกระบี่

ก่อนหน้านี้ฟางจิ้งเลวี่ยได้กล่าวล่วงเกินยั่วยุชายหนุ่ม แต่เขาหาได้สนใจไม่ และกระทั่งไม่เคยคิดเลยว่าอวิ๋นเยี่ยจะเป็นผู้ออกหน้าแทนเช่นนี้!

ไม่ว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำเพื่อช่วยเขา หรือเพียงเพราะอีกฝ่ายไม่อาจทนต่อท่าทางที่เย่อหยิ่งของฟางจิ้งเลวี่ยได้ สิ่งนี้มันก็ทำให้ความรู้สึกที่มีต่ออวิ๋นเยี่ยของเฉินซีเปลี่ยนไปอย่างมาก

“เฉินซี ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” ในขณะเดียวกัน เสียงไพเราะน่าฟังพลันดังขึ้นที่ข้างหู ทำให้ความสนใจของชายหนุ่มผละจากสังเวียนทันที และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ได้เห็นอันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยนั่งอยู่ไม่ไกล

“เจ้าทำให้ข้าและศิษย์น้องอันกังวลเป็นเวลาสองสามเดือน เจ้าทำเกินไปจริง ๆ!” หลงเจิ้นเป่ยแสร้งทำเป็นโกรธขณะที่กล่าว แต่มุมปากของเจ้าตัวกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม …หลังจากกลับมาจากอาณาจักรเร้นลับเงาทมิฬ เขากับอันเวยก็มักจะกังวลต่อความปลอดภัยของเฉินซี ดังนั้นตัวหลงเจิ้นเป่ยย่อมมีความสุขไปโดยปริยาย เมื่อเห็นว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็กลับมาแล้ว

เฉินซีที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกละอาย ก่อนจะอธิบายให้ทั้งสองคนฟัง

ในขณะเดียวกัน ม่านการต่อสู้บนสังเวียนก็ถูกรูดขึ้น สถานการณ์ของการต่อสู้ก็น่าตกตะลึงนัก และกระทั่งเรียกเสียงโห่ร้องจากผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบได้เป็นอย่างดี

“เฉินซี ข้ารับใช้ของเจ้า มู่ขุย ขอให้ข้ามอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า” ทันใดนั้น อันเวยก็ยื่นแผ่นหยกให้เขา

เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาก็หยิบมันจากนางและอ่านมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ความโกรธแค้นและจิตสังหารที่คุกรุ่นอยู่ในใจของชายหนุ่มเกือบจะหลุดการควบคุม!

เนื้อหาของแผ่นหยกนั้นเรียบง่ายมาก มันบอกกับเฉินซีว่า เจ้าตัวและหลิงไป๋ไม่ทันระวัง ตอนที่หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ออกจากนิกาย เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงภารกิจธรรมดาของนิกายเท่านั้น และจู่ ๆ เขากับหลิงไป๋ก็เผชิญกับการจู่โจมของเยว่ฉือโดยไม่คาดคิด ซึ่งหากไม่ใช่เพราะหลิงไป๋ฉวยโอกาสหลบหนี ทั้งสองคงเกือบถูกฆ่าตายไปแล้ว

ทั้งเขาและหลิงไป๋ในตอนนี้ได้ออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองแล้ว และจะมุ่งหน้าไปยังขุมสมบัติเพื่อค้นหาสมบัติตามการแนะนำของหลิงไป๋ โดยตั้งใจที่จะพัฒนาความแข็งแกร่ง ก่อนจะกลับมาแก้แค้น ดังนั้นเฉินซีไม่ต้องกังวลไป

ในตอนท้ายของแผ่นหยกคือคำขอโทษที่เต็มไปด้วยการตำหนิตนเองและความรู้สึกผิดของมู่ขุย เจ้าตัวกล่าวว่า เขารู้สึกว้าวุ่นใจที่ไม่สามารถปกป้องหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ได้ และเขาจะกล่าวคำขอโทษอย่างสุดซึ้งต่อเฉินซีทันทีที่กลับมา

ส่วนหลิงไป๋ไม่ได้กล่าวอะไรทิ้งไว้ ทว่าเฉินซีพอจะจินตนาการได้ว่า หลิงไป๋ผู้หยิ่งผยองจะต้องโกรธอย่างยิ่งและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไม่เช่นนั้น ด้วยธรรมชาติของหลิงไป๋ อีกฝ่ายจะไม่อุบเงียบไว้แน่นอน!

เพล้ง!

แผ่นหยกถูกเฉินซีบดขยี้โดยไม่รู้ตัว และมีเพียงดวงตาของชายหนุ่มเท่านั้นที่เปล่งประกายด้วยจิตสังหารอันเข้มข้นและพลุ่งพล่าน

เยว่ฉือ!

เป็นไอ้แก่บัดซบนี่อีกแล้ว!

“มันไม่เพียงจะลงมือกับศิษย์พี่หั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ ในขณะที่ข้าไม่อยู่ แต่ยังลงมือกับหลิงไป๋และมู่ขุยด้วย! มันต้องการกำจัดทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวข้า!”

ชายหนุ่มในเวลานี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังจนแทบจะต้องการละทิ้งเหตุผล และไม่สนใจทุกสิ่ง อยากจะมุ่งสู่ยอดเขาจรัสตะวันออกใจจะขาด!

อันเวยกับหลงเจิ้นเป่ยที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติของเฉินซี และกำลังจะกล่าวออกมา ทว่ากลับมีเสียงปึงปังดังก้องขึ้นในห้องโถงเสียก่อน

หลังจากนั้น ร่างหนึ่งพลันกระเด็นออกมาจากสังเวียนพินิจกระบี่ พร้อมกับกระอักเลือดซ้ำ ๆ เห็นได้ชัดว่าร่างนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท