บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 743 ความลึกล้ำแห่งนิรันดร์

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 743 ความลึกล้ำแห่งนิรันดร์

บทที่ 743 ความลึกล้ำแห่งนิรันดร์

ยอมรับความพ่ายแพ้… หรือตาย!

คำพูดเหล่านี้เล็ดลอดผ่านน้ำเสียงเย็นเยือก มันช่างฟังแล้วรู้สึกเฉียบขาด ราวกับห้องโถงนี้กำลังจะกลายเป็นลานประหาร ทำให้หัวใจของผู้คนที่มาร่วมงานกระตุกไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันเผยชัดจากคำพูดของเฉินซี

แทบไม่มีใครสงสัยเลยว่าชายหนุ่มจะกล้าทำตามที่พูดหรือไม่!

ใครบางคนตระหนักได้ทันใดว่า ทุกการโจมตีของเฉินซีนั้นล้วนตาต่อตา ฟันต่อฟัน

ตอนที่ฟางจิ้งเลวี่ยชี้หน้าเฉินซี ชายหนุ่มก็จะบดขยี้ที่มือขวา

ตอนฟานจิ้งเลวี่ยก่นดาสาปส่ง เฉินซีก็จะตบที่หน้าอีกฝ่ายอย่างแรง

แล้วพออีกฝ่ายทำให้ดวงตาของอวิ๋นเยี่ยบาดเจ็บ เฉินซีก็ทำให้ตาของฟางจิ้งเลวี่ยบาดเจ็บเช่นกัน

มาถึงตรงนี้ คำว่า ‘ยอมรับความพ่ายแพ้… หรือตาย!’ ของชายหนุ่มนั้นจึงเป็นเสมือนการสนองกรรมที่ทรงพลังและเด็ดเดี่ยวอย่างมาก เพราะก่อนที่การต่อสู้จะเริ่ม ฟางจิ้งเลวี่ยก็ได้พูดขึ้นอย่างหยิ่งผยองเช่นนี้…

ความอึมครึมแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง

เหตุการณ์ตรงหน้ากลายเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ไม่คาดคิดมาก่อน

บรรดาศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ล้วนมีสีหน้าตึงเครียด ความพ่ายแพ้อันน่าสังเวชของฟางจิ้งเลวี่ยได้สร้างความอับอายให้แก่พวกเขา!

ในอีกฟากหนึ่ง ศิษย์จากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองกลับมีแต่ความยินดี พวกเขาไม่ได้เยาะเย้ยถากถางอีกฝ่าย เพียงแสดงสีหน้าเปี่ยมสุขและตื่นเต้นออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็ถือเป็นการเย้ยหยันที่ทรงพลังไม่น้อยเช่นกัน ทำให้ศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ต้องจมอยู่ให้ความขุ่นเคือง!

มีเพียงดวงตากระจ่างใสขององค์หญิงไป๋หลี่เท่านั้นที่จับจ้องไปยังกระบี่สีแดงเลือดในมือของเฉินซี คล้ายว่านางกำลังครุ่นคิดบางอย่าง

บนสังเวียนพินิจกระบี่ ใบหน้าของฟางจิ้งเลวี่ยซีดเซียว ความขุ่นเคืองฉายชัดในดวงตาที่คั่งไปด้วยโลหิต สภาพของเขาในตอนนี้แทบไม่ต่างจากสุนัขอนาถาตัวหนึ่ง ไร้ซึ่งความเป็นยอดฝีมือที่เคยมี!

แม้จะมองไม่เห็นสิ่งใด แต่ดวงตานั้นกลับจับจ้องไปที่เฉินซีและกระบี่สีแดงโลหิตในมือของอีกฝ่าย ฟางจิ้งเลวี่ยในยามนี้มีเพียงโทสะและหวาดกลัวบนใบหน้า

ใครจะคิดมาก่อนว่า ตนเองจะพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าเช่นนี้ ทั้งที่ใช้สมบัติอมตะซึ่งสืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคบรรพกาลอย่างกระบี่เต๋าจักรพรรดนภาแล้ว ….ตัวเขาก็ยังไม่อาจเอาชนะได้!

สีหน้าของฟางจิ้งเลวี่ยเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ความหยิ่งยโสที่เคยมีจางหายไปจนไม่เหลือดี!

“ข้าจะนับแค่ถึงสาม หากไม่ยอมแพ้ละก็ ข้าจะฆ่าเจ้า!” เสียงของเฉินซีเย็นชาประหนึ่งธารน้ำแข็ง ทำให้ฟางจิ้งเลวี่ยที่ได้ฟังเผลอขดร่างตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม

“นี่คือการประลอง! ไม่ใช่ลานประหัตประหารกันอย่างเอาเป็นเอาตาย!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะหยุดมือ ฟางจิ้งเลวี่ยก็พลันตื่นตระหนก จริงอยู่ที่เขาเป็นยอดฝีมือแห่งเขาวิญญาณนิรันดร์ และได้รับการบ่มเพาะมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ถึงอย่างนั้น เขากลับไม่เคยได้รับการขัดเกลาจากโลกภายนอกมาก่อน ดังนั้นประสบการณ์ในการใช้ชีวิตของเขาจึงมีไม่ถึงหนึ่งส่วนที่เฉินซีมีด้วยซ้ำ

“หนึ่ง!” ชายหนุ่มไม่ได้แยแสกับคำพูดของอีกฝ่าย เสียงของเขาก้องสะท้อนไม่ต่างจากกลองที่ลั่นยามประหารนักโทษ สร้างความหวาดกลัวให้แก่ผู้คนโดยรอบ

เดิมที มีคนหวังว่าเฉินซีจะปล่อยฟางจิ้งเลวี่ยไปเพื่อให้เขาวิญญาณนิรันดร์ไม่เสียหน้าจนเกินไป แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้ พวกเขาพลันตระหนักได้ทันทีว่าตนเองนั้นไร้เดียงสาเพียงใด ชายที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้เป็นเพียงฆาตกรที่ไร้ความรู้สึกเท่านั้น!!

ในตอนนั้นเอง ความหวาดหวั่นได้กลืนกินจิตใจของฟางจิ้งเลวี่ยจนพานให้ร่างกายหนาวสะท้าน มันคืบคลานเข้าไปในทุกอณูของร่างกาย มือและเท้าของเขาเย็นเฉียบดังน้ำแข็ง ตัวคนทำได้แค่ส่งเสียงร้องอย่างไร้จุดหมาย “มันจะเกินไปแล้ว! เจ้าทำเกินไปแล้ว! เจ้าคิดจะสร้างความบาดหมางระหว่างเขาวิญญาณนิรันดร์กับนิกายเก้ากระบี่เรืองรองอย่างนั้นรึ!?”

“สอง!” แม้แต่องค์หญิงไป๋หลี่ก็ไม่อาจรักษาความสุขุมไว้ได้อีก คิ้วของนางขมวดแน่นด้วยความโกรธ ในขณะที่ภายในดวงตามีเพียงม่านหมอกอึมครึม

“ผู้อาวุโสเลี่ยเผิง นี่เป็นแค่การประลองเล็กน้อยเท่านั้น ศิษย์นิกายกระบี่เก้าเรืองรองผู้นี้ของท่านไม่ทำเกินไปหน่อยหรือไร?!” นางพูดเสียงเรียบ ๆ

“การประลองมีแพ้มีชนะ ทูลองค์หญิง ในเมื่อศิษย์น้องผู้นั้นของพระองค์ไม่เต็มใจจะยอมรับความพ่ายแพ้ นั่นก็เท่ากับว่าเขายังคงต้องการที่จะสู้ต่อ กระหม่อม… ก็จนปัญญาพ่ะย่ะค่ะ” เลี่ยเผิงยักไหล่คล้ายไม่รู้ต้องทำเช่นไร ผิดกับในใจที่รู้สึกปีติยินดี

การกระทำของเฉินซีช่วยให้ชายชราได้ระบายความคับข้องที่มีอยู่ในใจ และหากไม่มีหัวโขนที่สวมใส่อยู่ในตอนนี้ เลี่ยเผิงก็ไม่ต้องการอะไรมากกว่าการได้ปรบมือและส่งเสียงกู่ร้องเพื่อชื่นชมเฉินซี!

เจ้าหนุ่มนี่ช่างเป็นศิษย์ที่โดดเด่นนัก ในอนาคตเขาต้องได้รับการสนับสนุนมากมายเป็นแน่!

องค์หญิงไป๋หลี่ชะงักงันไปครู่หนึ่ง นางไม่คาดคิดว่าเลี่ยเผิงจะตอบสนองเช่นนี้ หญิงสาวขมวดคิ้วแน่น รู้ดีว่าหากตนยังลังเล ชีวิตของฟางจิ้งเลวี่ยก็จะต้องอยู่ในอันตราย ดังนั้นนางจึงตัดสินใจพูดขึ้น “ศิษย์น้องฟาง จงยอมรับความพ่ายแพ้เสีย ใช้ความอัปยศอดสูที่เกิดขึ้นนี้เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตนเองซะ”

ฟางจิ้งเลวี่ตกตะลึง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีอีกครั้ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างอดสู และพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้า…ข้า…ยอมแพ้!” คำพูดช่วงสุดท้ายแทบจะลอดผ่านไรฟันที่ขบกันแน่น มันเผยให้เห็นถึงความขุ่นเคืองที่อัดแน่นอยู่ภายในใจ

ราวกับเฉินซีคาดหวังถึงเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เขาจึงยกขาขึ้นเตะฟางจิ้งเลวี่ยลงไปจากสังเวียนทันที

ตุ้บ!

ศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ต่างกรูกันเข้าไปรับตัวฟางจิ้งเลวี่ย เห็นได้ชัดว่าสถานะของคนผู้นี้นั้นค่อนข้างสำคัญทีเดียว

หลังทุกอย่างเสร็จสิ้น เฉินซีพลันหมุนตัวกลับด้วยความตั้งใจที่จะออกจากสังเวียน แต่ทันใดนั้น เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเสียก่อน “ช้าก่อน! ข้าจะประลองกับเจ้า!”

ชายหนุ่มชะงักฝีเท้า เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อยับยั้งจิตสังหารเอาไว้

ชายหนุ่มจับจ้องไปที่กระบี่สีแดงเลือดในมือ มันกำลังส่องประกายอันเยือกเย็น ขณะที่บริเวณด้ามกระบี่สลักตัวอักษร ‘จู’ ที่หมายถึงการสังหารไว้จาง ๆ …เพราะด้วยความเก่าแก่ จึงทำให้ตัวอักษรนี้เลือนหายไปเกือบครึ่งแล้ว

กระนั้น ในระหว่างต่อสู้ เฉินซีก็รู้แล้วว่ากระบี่ที่ตนถืออยู่นี้คือ ‘กระบี่ต้องห้ามสังหารปราชญ์’ สุดยอดกระบี่ต้องห้ามที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล!

จากนั้นชายหนุ่มได้เลื่อนสายตาจากกระบี่ไปยังคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ใต้สังเวียนพินิจกระบี่ …แล้วขมวดคิ้ว

ศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์ในขณะนี้กำลังโต้เถียงกันอย่างดุเดือด พวกเขาพยายามแย่งกันปีนขึ้นมาบนสังเวียนเพื่อท้าสู้กับเฉินซี แต่เนื่องจากไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นภาพเบื้องหน้าจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

“ศิษย์พี่หนิงเฉียว โปรดอนุญาตด้วย ข้าจะจัดการไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่ให้แหลกเอง!”

“ไม่ได้ ข้าติดหนี้บุญคุณศิษย์พี่ฟาง ดังนั้นแล้วจะให้ข้าอยู่เฉยได้อย่างไร!”

“ศิษย์น้องฮวาซี ศิษย์พี่หนิงเฉียว หยุดเถียงกันได้แล้ว! ในความคิดข้า ข้าควรจะต้องเป็นฝ่ายลงมือเอง เพราะอย่างไรข้าก็เป็นผู้บ่มเพาะกระบี่ ดังนั้นแล้วข้ารับมือเจ้าเด็กนั่นได้แน่!”

เฉินซีขมวดคิ้วให้กับเสียงอึกทึกตรงหน้า ก่อนจะตะโกนออกไปว่า “ข้าไม่ว่าง!”

ใช่ แค่คำสามคำเท่านั้น แต่มันกลับสะท้อนความรู้สึกของเฉินซีได้อย่างชัดเจน

‘…จะต่อสู้หรือไม่? หากจะต่อสู้ก็รีบขึ้นมา! อย่ามาทำข้าเสียเวลาเปล่า!’

ทันใดนั้น เสียงโวยวายในห้องโถงพลันกลายเป็นเงียบสนิท ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องวุ่นวายมาก่อน

เลี่ยเผิง หลงเจิ้นเป่ย ลั่วเชี่ยนหรง และคนอื่น ๆ เมื่อได้เห็นการแสดงออกเช่นนี้ของชายหนุ่ม พวกเขาก็พากันอุทานด้วยความชื่นชม…

เยี่ยมยอด! ศิษย์น้องเฉินซีเยี่ยมยอดจริง ๆ!

ผู้คนที่มาจากเขาวิญญาณนิรันดร์ที่อยู่ในอีกฟากหนึ่งต่างมีใบหน้าหม่นหมอง คำสามคำนี้แทบจะทำให้ศีรษะของพวกเขาลุกไหม้ในทันที

แม้แต่องค์หญิงไป๋หลี่ยังกัดฟันด้วยนึกเคืองขัด นางพูดขึ้นอย่างเย็นชา “อย่าได้เถียงกัน เรื่องนี้ให้ศิษย์พี่ลู่ผิงเป็นคนจัดการ!”

ลู่ผิง!

บรรดาศิษย์เขาวิญญาณนิรันดร์ตะลึงงันเมื่อได้ยินชื่อนี้ พวกเขาหันขวับไปที่ด้านข้างเป็นตาเดียว และ ณ ที่แห่งนั้น ปรากฏร่างของชายชุดดำกำลังนั่งขัดสมาธิ รูปร่างหน้าตาของเขาไม่ได้โดดเด่นอะไร แม้แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังเรียบง่ายจนดูธรรมดาไปทั้งตัว จึงไม่แปลกใจหากการมีอยู่ของคนคนนี้จะถูกทุกคนมองข้าม

แต่ถึงอย่างนั้น สายตาของศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์ที่มองไปยังเขา กลับเผยความเคารพยำเกรงในแบบที่ไม่อาจอธิบายได้ออกมา

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ลู่ผิงยกจอกสุราในมือขึ้นจิบเบา ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าสงบนิ่ง เขาก้าวเดินไปที่ละก้าวเพื่อขึ้นไปบนสังเวียนพินิจกระบี่ด้วยฝีเท้ามั่นคง ไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป ท่าทางของเจ้าตัวฉายชัดถึงความสุขุม ไร้ซึ่งวี่แววแห่งความเย่อหยิ่งหรืออารมณ์ใด ๆ

ในแต่ละก้าวที่ขยับ มันก็ทำให้ทั่วทั้งห้องโถงเงียบสนิท

ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงหรี่ตาลง เขารับรู้ถึงความพิเศษที่เปล่งออกมาจากตัวของอีกฝ่ายแทบจะในทันที ท่าทางแสนนุ่มลึกของชายตรงหน้า …ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่าถึงฟ้าถล่มดินทลาย ก็ไม่อาจทำให้คนอย่างลู่ผิงสะท้านไหวได้!

ทุกคนให้ห้องโถงต่างสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป พวกเขาจึงพากันมีสีหน้าหนักอึ้งไปตาม ๆ กัน และคิดในใจว่า …คนผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่!

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ฝากด้วย” เมื่อลู่ผิงก้าวขึ้นไปบนสังเวียน องค์หญิงไป๋หลี่ก็ทำลายความเงียบลงด้วยเสียงที่แผ่วเบา

ทว่าลู่ผิงไม่ได้กล่าวอะไร เขาเพียงพยักหน้าเท่านั้น หากมอง ๆ ไปแล้ว คนผู้นี้ก็เป็นเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งที่ไม่เคยส่งเสียงใด ๆ

ที่อีกด้านหนึ่งของสังเวียนพินิจกระบี่ เฉินซีหรี่ตาลงขณะมองประเมินคู่ต่อสู้ เขาสัมผัสได้ทันทีว่า แม้ภายนอกฝ่ายตรงข้ามจะดูสงบนิ่ง ทว่าภายในกลับซุกซ่อนพลังที่น่าสะพรึงกลัวไว้ มันทั้งรุนแรงและทรงพลังประหนึ่งคลื่นยักษ์ที่ก่อตัวภายใต้แผ่นสมุทรกว้างใหญ่ เป็นความแข็งแกร่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้!

“ข้าชื่อลู่ผิง เป็นศิษย์เขาวิญญาณนิรันดร์” ในที่สุดลู่ผิงก็พูดขึ้น น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยจนไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ และยิ่งเป็นเช่นนี้ คนผู้นี้ก็ยิ่งดูยากหยั่งถึง

ปึ้ง!

ทันทีที่ตัวคนพูดจบ คลื่นเสียงกัมปนาทพลันดังออกมาจากร่างกายที่แสนธรรมดาของลู่ผิง มันดังกึกก้องไปทั้งผืนอากาศ!

ในตอนนี้เอง ผิวพรรณของลู่ผิงพลันเปล่งประกายแสงกระจ่าง ประหนึ่งแสงที่ไร้ตัวตนได้ห้อมล้อมอยู่รอบเรือนกาย และก่อตัวเป็นรัศมีที่เจิดจรัสงดงาม

ทันใดนั้น ชายที่เคยดูจืดชืดผู้นี้ก็พลันเรืองแสงสว่างจ้า แม้แสงสว่างที่เปล่งออกมาจากกายของเขาจะไม่ฉูดฉาดสะดุุดตา แต่ก็ลึกซึ้งดั่งนิรันดร์กาล!

“ร…รัศมีแห่งความเป็นนิรันดร์!”

“ข่าวลือเป็นจริงสินะ ที่ว่าศิษย์ผู้สืบทอดของเขาวิญญาณนิรันดร์ มีความล้ำลึกของมหาเต๋านิรันดร์อยู่!”

“เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาเลย เขาได้ครอบครองมหาเต๋านิรันดร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในความล้ำลึกของมหาเต๋าที่หายากที่สุดในฟ้าดิน มันสามารถรับมือกับมหาเต๋าแห่งแสงสว่าง มหาเต๋าความมืด และมหาเต๋าแห่งการลืมเลือนได้!”

ทันทีที่ทุกสายตาจับจ้องไปที่ลู่ผิง ทั่วทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ

นิรันดร์!

มหาเต๋าอันหาได้ยาก เป็นสิ่งที่ทำลายกฎเกณฑ์แห่งเวลาโดยการยอมให้ผู้ได้ครอบครองมันมีชีวิตอยู่ตราบนิรันดร์!

ความล้ำลึกของมหาเต๋าประเภทนี้น่ากลัวยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงผู้เยี่ยมยุทธ์คนใด แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังปรารถนาจะได้ครอบครองความล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทว่าด้วยความล้ำค่าหายากของมัน ทำให้นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีผู้ครอบครองมหาเต๋านิรันดร์เพียงแค่คนเดียว

เฉินซีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขาเข้าใจดีว่าความล้ำลึกของมหาเต๋านี้ทรงพลังเพียงใด กระนั้น ชายหนุ่มก็หาได้กังวลมากนัก เพราะอย่างไรเสีย มหาเต๋านิรันดร์ก็เป็นเต๋าประเภทหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่ามันจะน่ากลัว แต่พลังของมันก็ขึ้นอยู่กับผู้ถือครองอย่างลู่ผิง

ก็เหมือนกับสมบัติอมตะ ถ้ามันตกไปอยู่ในมือของคนธรรมดา มันก็จะกลายเป็นเพียงแค่เศษเหล็กชิ้นหนึ่ง เนื่องด้วยผู้ครอบครองคนนั้นไม่สามารถดึงความสามารถทั้งหมดมาใช้ได้

เฉินซีประเมินความแข็งแกร่งในปัจจุบันของตนไว้ว่า ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาที่ครอบครองความล้ำลึกของมหาเต๋าทั้งสิบประการในระดับสมบูรณ์ อีกฝ่ายก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขา!

แม้ลู่ผิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้จะแข็งแกร่ง ทว่าพลังของเขาก็ไม่ได้คุกคามอย่างรุนแรง หากให้เทียบกันแล้ว อีกฝ่ายน่าจะแข็งแกร่งกว่าเยี่ยนสือซานและฟางจิ้งเลวี่ยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท