บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 749 ข้าจะพาท่านไปเข่นฆ่าเหล่าโจรชั่ว

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 749 ข้าจะพาท่านไปเข่นฆ่าเหล่าโจรชั่ว

บทที่ 749 ข้าจะพาท่านไปเข่นฆ่าเหล่าโจรชั่ว

เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พลางระงับความรู้สึกต่าง ๆ ในใจของเขา ก่อนจะถามว่า “ผู้อาวุโส บิดาของข้าจากไปแล้วจริงหรือ?”

ชายชราพยักหน้า “เขาเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สาเหตุที่หัวถิงไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกเพื่อร่วมฉลองวันเกิด อันที่จริงก็เพื่อจุดประสงค์นี้เช่นกัน”

หัวถิงย่อมหมายถึงเวินหัวถิง ผู้เป็นประมุขของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง และเฉินซีก็ได้ค้นทราบก่อนหน้านี้ว่า นอกจากประมุขนิกายเวินหัวถิงแล้ว ประมุขนิกายของอีกเก้านิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่และหกนิกายอสูรก็ไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกเพื่อร่วมฉลองวันเกิดในครั้งนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มสงสัยว่าเป็นผู้ใดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขนนกที่มีหน้าตาใหญ่โตถึงขั้นที่บรรดาประมุขของกองกำลังที่ไม่ธรรมดาจะต้องไปร่วมฉลองวันเกิดของเขา และนี่คือเหตุผลที่แท้จริง!

แม้จะเป็นการร่วมงานฉลองวันเกิดเพียงผิวเผิน แต่แท้จริงแล้วก็เพื่อบิดาของเขา!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉินซีก็อดไม่ได้ที่จะถาม แต่ดวงตากลับจ้องมองอย่างว่างเปล่า “เหตุใดทุกคนถึงต้องกระทำเช่นนี้?”

ชายชราถอนหายใจ ความซับซ้อนปรากฏบนใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยริ้วรอย “เพื่อตอบแทนบุญคุณ หลายปีที่ผ่านมา มีคนมากมายที่เป็นหนี้บุญคุณบิดาของเจ้า ที่หัวถิงและคนอื่น ๆ รุดไปในครั้งนี้ ก็เพื่อรวมพลังของทุกคนเพื่อช่วยบิดาของเจ้าเปิดทางเดินนั้น”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายชราพลันถอนหายใจออกมา “ยิ่งบ่มเพาะสูงขึ้นเท่าใด คนยิ่งหวาดกลัวต่อห่วงกรรมมากขึ้นเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่พวกเขาไปครั้งนี้ก็เพื่อยุติห่วงกรรมนี้”

เฉินซีนิ่งเงียบไป สิ่งที่เกี่ยวข้องกับห่วงกรรม โชคชะตา และชะตากรรมนั้นยากจะเข้าใจ ซึ่งชายหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจกับมันสักเท่าใด ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวสิ่งเหล่านี้

“ด้วยเหตุนี้ ข้าจะพบกับบิดาของข้าได้ก็ต้องไปที่ภพเซียนเท่านั้นหรือ?” เฉินซีไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้เล็กน้อย “ถ้าข้ากลับไปที่นิกายก่อนหน้านี้สักสองสามวัน ข้าจะสามารถไปหาบิดาของข้าพร้อมกับประมุขนิกายได้หรือไม่?”

“ถูกต้อง” ชายชราพยักหน้า “แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าไม่ควรออกไปข้างนอกในอนาคตอันใกล้ และจะดีกว่าถ้าเจ้าอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ทำการบ่มเพาะอย่างสงบสุข”

เฉินซีตกตะลึง และสังเกตเห็นร่องรอยความผิดปกติ

จนกระทั่งตอนที่ออกจากยอดเขาสัประยุทธ์ เขายังคงครุ่นคิดว่า เหตุใดชายชราถึงบอกเรื่องทั้งหมดนี้ และทำไมชายชราถึงกำชับไม่ให้เขาเดินทางออกจากนิกาย…

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าภัยพิบัติบางอย่างกำลังรอข้าอยู่ในโลกภายนอก?”

เฉินซีส่ายศีรษะ ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดในหัวไป

สิ่งเหล่านี้ซับซ้อนเกินไป และยิ่งเขาคิดมากก็ยิ่งสับสนมาก ดังนั้นควรเลิกคิดเรื่องนี้เสียดีกว่า เพราะบางทีคงมีแต่ต้องเผชิญกับมันตรง ๆ เท่านั้น ชายหนุ่มจึงจะสามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้

ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก

เมื่อเฉินซีนำเหมิงเหวย โม่ย่า และเด็ก ๆ มาที่นี่ สถานที่แห่งนี้กลับรกร้างและเงียบสงัดจนน่าขนลุก มันไร้ซึ่งกลิ่นอายของความชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง

อากาศปราศจากเสียงเคร้งคร้างของหั่วโม่เลยที่กำลังตีโลหะ

…ปราศจากเสียงธรรมชาติของเครื่องดนตรีที่หลูเซิงเล่น

…ปราศจากเสียงที่ใสกระจ่างของเม็ดหมากที่วางบนกระดาน

…ปราศจากเสียงความพึงพอใจของต้วนอี้ ในขณะที่เขาชี้พู่กันเพื่อขีดเขียน และปราศจากความสุขของศิษย์พี่ห้ายามนางวาดภาพ…

มันรกร้างว่างเปล่าเหลือเกิน…

เฉินซีนิ่งเงียบขณะที่เดินขึ้นบันไดทีละขั้น ตลอดเส้นทาง ชายหนุ่มได้เห็นทุ่งเพาะปลูกทุ่งแล้วทุ่งเล่าที่ถูกทำลาย ที่พำนักแห่งแล้วแห่งเล่าที่ถูกปล้นสะดม โอสถวิญญาณ สินแร่ สัตว์ปีกอันล้ำค่า สัตว์ร้ายต่าง ๆ …ทุกสิ่งเผยให้เห็นถึงความเสื่อมถอยและทรุดโทรม

ยิ่งเดินต่อไปมากเท่าใด สีหน้าของเฉินซีก็ยิ่งสงบลงเท่านั้น ซึ่งความสงบของชายหนุ่มก็เผยให้เห็นความเฉยเมยและจิตสังหาร ในขณะที่เปลวเพลิงแห่งความโกรธกำลังก่อตัว พลุ่งพล่าน และขดตัวอยู่ภายในดวงตาของชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ

เหมิงเหวยกับโม่ย่าต่างก็มองหน้ากัน เมื่อพวกเขารู้สึกถึงความไม่ปกติในอารมณ์ของเฉินซี

พวกเด็ก ๆ เองก็ต่างหยุดสนทนาและปิดปากสนิท ขณะเดินตามหลังชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ

แม้แต่อาซิ่วก็สงวนท่าที และเดินติดตามไปอย่างเงียบ ๆ ที่ด้านหลังของกลุ่ม ชุดสีเขียวของนางพลิ้วพัดพร้อมกับผมอันงดงามราวกับน้ำตกของนาง มันทำให้หญิงสาวดูเหมือนนางฟ้าที่เคลื่อนไหวท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย เงียบสงบและงดงาม!

“นับจากนี้ไป ที่นี่จะเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเจ้าทุกคน”

เฉินซียืนอยู่ที่ริมสระชำระกระบี่ ในขณะที่กล่าวช้า ๆ “ข้าหวังว่าทุกคนจะถือว่าสถานที่แห่งนี้เป็นบ้านของตัวเอง และทุ่มเทบ่มเพาะได้อย่างสบายใจ อย่าทำให้ความหวังของท่านนักบวชต้องผิดหวัง และอย่าปล่อยให้เผ่านรกขุมที่เก้าต้องตกต่ำลง!”

สีหน้าของทุกคนดูเคร่งขรึม ในขณะที่พวกเขาจ้องมองอย่างแน่วแน่ไม่ลดละ

พวกเขาได้สัมผัสกับโลกใบใหญ่ที่หรูหราและพร่างพราวตลอดทางตั้งแต่ออกจากนรกขุมที่เก้า รวมถึงยังสัมผัสได้เช่นกันว่าสถานที่แห่งนี้โหดร้ายและนองเลือดเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่เผ่านรกขุมที่เก้าเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป…

ความเมตตากับความซื่อสัตย์ของพวกเขาจะถูกสงวนไว้สำหรับคนในเผ่าและเฉินซี! แต่เมื่อต้องรับมือกับศัตรู พวกเขาจะกลายเป็นนักรบที่โหดเหี้ยมไร้ความปรานี!

เฉินซีไม่ได้กล่าวอะไรอีก หลังจากที่เขาสั่งให้เหมิงเหวยกับโม่ย่าช่วยจัดที่อยู่อาศัยให้กับพวกเด็ก ๆ รวมถึงขอให้อาซิ่วดูแลเสวี่ยเหยียนอย่างดี แล้วเขาก็จากไปพร้อมกับหั่วโม่เลย

อาการบาดเจ็บของหั่วโม่เลยนั้นทรงตัวแล้ว แต่ต้องใช้เวลารักษาอยู่อีกนานพอสมควร

ศิษย์พี่ผู้นี้ได้ตื่นจากการหลับใหลตั้งแต่ที่พวกเขาก้าวขึ้นไปบนยอดเขาจรัสตะวันตก และดวงตาของอีกฝ่ายก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า เมื่อเห็นว่ายอดเขาจรัสตะวันตกนั้นรกร้างและเปล่าเปลี่ยวเพียงใด

ตัวเขาในเวลานี้กำลังถูกแบกอยู่บนหลังของเฉินซี ขณะที่ออกจากยอดเขาจรัสตะวันตก

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าจะพาข้าไปไหนหรือ?” หั่วโม่เลยถาม

เฉินซีไม่ตอบ แต่กลับถามแทน “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าผู้ใดเป็นคนเหยียบย่ำยอดเขาจรัสตะวันตกจนกลายเป็นเช่นนี้?”

หั่วโม่เลยตอบโดยไม่คิด “แน่นอนว่าเป็นศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออก เมื่อศิษย์น้องเล็กหายตัวไปก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างคิดว่าเจ้าคงไม่มีทางออกจากเหวเงาทมิฬมาแบบเป็น ๆ กอปรกับข้าและคนอื่นๆ ถูกนิกายหลอกให้ไปทำภารกิจ จึงไม่มีใครดูแลยอดเขาจรัสตะวันตก ฉะนั้นศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกจะปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไปได้อย่างไร?”

เมื่อกล่าวจบ น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

เฉินซีพยักหน้าและกล่าวว่า “จริงของท่าน ผู้ร้ายในครั้งนี้ย่อมคือเหล่าศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกอย่างแน่นอน!”

หั่วโม่เลยดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่างในทันที ดังนั้นเจ้าตัวจึงกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคงไม่ได้คิดพาข้าไปที่ยอดเขาจรัสตะวันออกใช่หรือไม่?!”

เฉินซีเพียงยิ้มแทนการตอบ หากทว่ารอยยิ้มของเขากลับเย็นชาและอำมหิตยิ่งนัก “หากมีความแค้นย่อมต้องชำระ! ในเมื่อพวกมันช่วงชิงสิ่งที่เป็นของเราไป เราก็จะทำให้มันต้องชดใช้เป็นสิบเท่า!”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็หันกลับมาสบสายตาของหั่วโม่เลย และกล่าวว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะพาท่านไปเข่นฆ่าเหล่าโจรชั่ว ตกลงหรือไม่?”

หั่วโม่เลยตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าถี่รัว

ดวงตาที่ดุร้ายของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและตื่นเต้น

เฉินซีกลับมาที่นิกายได้ไม่ถึงครึ่งวัน ดังนั้นนอกจากศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้ายาม และศิษย์ทุกคนที่อยู่ในโถงพินิจกระบี่แล้ว คนอื่น ๆ ต่างไม่ทราบข่าวนี้เลย

ถึงอย่างไร นิกายกระบี่เก้าเรืองรองนั้นก็มีความใหญ่โตเป็นอย่างยิ่ง เพียงยอดเขาจรัสตะวันตกก็ครอบครองพื้นที่หลายแสนลี้ และอาจเทียบได้กับอาณาจักรขนาดเล็ก

…ในขณะนี้ ศิษย์ทุกคนบนยอดเขาจรัสตะวันออกได้เสร็จสิ้นการบ่มเพาะ และพวกเขากำลังสนทนากันในสนามฝึกการต่อสู้

“ในความคิดของข้า ในเมื่อเฉินซีเสียชีวิตลงแล้ว และไม่มีใครอยู่บนยอดเขาจรัสตะวันตก เราจึงควรแบ่งศิษย์ส่วนหนึ่งจากยอดเขาของเราไปบ่มเพาะบนยอดเขาจรัสตะวันตก มิฉะนั้น ของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้เช่นนี้ จะกลายเป็นเสียเปล่าอย่างแท้จริง”

“ใช่แล้ว ยอดเขาจรัสตะวันออกของเรามีศิษย์หลายพันคน แต่มีที่พำนักเพียงร้อยกว่าแห่ง มันย่อมไม่เพียงพอที่จะแจกจ่ายให้กับพวกเราทุกคน แต่ยอดเขาจรัสตะวันตกมีเพียงห้าหรือหกคนเท่านั้น ทว่าพวกเขากลับครอบครองทรัพยากรมากมาย ช่างน่าชิงชังนัก!”

“ถูกต้อง! ในเมื่อมันถูกทิ้งร้าง เหตุใดถึงไม่มอบให้เราจัดการเล่า? ข้าได้ยินมาว่าหลังจากการปล้นสะดมครั้งล่าสุด โอสถวิญญาณอีกชุดกำลังเติบโตเต็มที่ทุ่งเพาะปลูกบนยอดเขาจรัสตะวันตก แล้วเหตุใดเราถึงไม่ปล้นมันอีกครั้ง?”

“ฮ่า ๆ จริงของเจ้า”

เมื่อยอดเขาจรัสตะวันตกกลายเป็นหัวข้อสนทนา ศิษย์ทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะร่าเริง

แต่สิ่งนี้ก็ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเฉินซีนั้นมีอำนาจเหนือกว่ายามอยู่ในนิกาย และชายหนุ่มได้สร้างความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เข้าร่วมวันแรก จนทำให้ทุกคนในนิกายต่างต้องตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น …เขายังก้าวขึ้นไปเป็นศิษย์ชั้นยอดในยอดเขาจรัสเทวะ ทำให้ทุกคนที่เป็นศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันออกไม่กล้าสร้างปัญหาให้กับยอดเขาจรัสตะวันตก

แต่ตอนนี้เฉินซีได้หายตัวไป และเขาไม่ได้ปรากฏตัวบนโลกใบนี้มาสองสามเดือนแล้ว ฉะนั้นมันจะแตกต่างอะไรจากการตาย?

หากรวมกับการที่ไม่มีหั่วโม่เลยและคนอื่น ๆ อยู่ พวกเขาจะยับยั้งตัวเองได้อย่างไร?

…เมื่อทุกคนค้นพบว่ายอดเขาจรัสตะวันตกว่างเปล่าไม่มีใครคุ้มกัน พวกเขาก็ได้พุ่งขึ้นสู่ยอดเขาจรัสตะวันตกตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน และปล้นสะดมอย่างดุเดือด โดยไม่เพียงเก็บเกี่ยวทุกสิ่งที่อยู่ในทุ่งเพาะปลูกและสวนสมุนไพรเท่านั้น แม้กระทั่งสัตว์ปีกอันมีค่าและสัตว์ร้ายต่าง ๆ บนภูเขาก็ยังถูกจับไป!

ศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกเป็นเหมือนฝูงตั๊กแตนร้ายที่ทำให้แผ่นดินแห้งแล้ง ไม่ว่าพวกเขาจะผ่านไปที่ใด

และเวลาก็ได้ผ่านไปสองเดือนตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่พวกเขาปล้นสะดม ณ ยอดเขาจรัสตะวันตก ทว่าจนถึงตอนนี้ยอดเขาจรัสตะวันตกก็ยังคงเงียบสงบเช่นเดิม ไม่มีข่าวคราวใด ๆ เกี่ยวกับเฉินซี และแม้แต่ผู้อาวุโสในนิกายก็คล้ายจะไม่แยแสต่อเรื่องนี้!

ทั้งหมดนี้ทำให้บรรดาศิษย์จากยอดเขาจรัสตะวันออกเหิมเกริมมากขึ้น พวกเขาต่างคิดที่จะมุ่งหน้าสู่ยอดเขาจรัสตะวันตก และปล้นชิงเมื่อไม่มีอะไรทำ ราวกับพวกเขาถือกิจกรรมนี้เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง

“ศิษย์พี่ตู้เซวียน ท่านอาจารย์ไปอยู่ที่ใดหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นท่านเลย” ศิษย์คนหนึ่งหันกลับมาถามตู้เซวียนที่ยืนอยู่ตรงกลางฝูงชน

“ท่านอาจารย์ย่อมมีเรื่องที่ต้องจัดการ เขาจะเป็นคนที่เจ้าสามารถตั้งคำถามได้อย่างไร?” ตู้เซวียนขมวดคิ้ว ขณะกล่าวตำหนิด้วยความไม่พอใจ

ศิษย์คนนั้นรู้สึกอับอายอย่างมากในทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ตู้กวนที่อยู่ใกล้เคียงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พี่ใหญ่ ท่านก็จริงจังเกินไป ตอนนี้พี่น้องของเราทุกคนต่างก็กังวลว่า จะรวมยอดเขาจรัสตะวันตกกับยอดเขาจรัสตะวันออกของเราอย่างไรดี ส่วนท่านอาจารย์ก็ไม่ได้กลับมานานแล้ว ดังนั้นท่านไม่สามารถตำหนิพวกเขาที่วิตกกังวลได้หรอก”

ใบหน้าของตู้เซวียนผ่อนคลายขึ้น ในขณะที่เขาพยักหน้า “จากการคาดการณ์ของข้า มันคงจะเร็ว ๆ นี้ หากศิษย์ของยอดเขาจรัสตะวันตกไม่อาจได้กลับมาอีก …ยอดเขาจรัสตะวันตกจะถูกทิ้งร้างอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นภายใต้สภาวะนี้ ทางนิกายจะต้องยอมตกลงควบรวมยอดเขาทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างแน่นอน”

“ไม่อาจได้กลับมา…”

ทุกคนต่างตกตะลึง เนื่องจากพวกเขาจับใจความสำคัญในสิ่งที่ตู้เซวียนกล่าวได้อย่างเฉียบคม และต่างรู้สึกตื่นเต้นในใจ “สิ่งนี้หมายความว่าอันใด? หรือว่าหั่วโม่เลยและเศษขยะเหล่านั้นต่างล้มตายในระหว่างทำภารกิจข้างนอกไปแล้ว?”

“เอาล่ะ อย่าได้คาดเดาส่งเดชไป!” ตู้เซวียนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของทุกคน ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วกล่าวตำหนิ “หากพวกเจ้าทุกคนมีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำไมพวกเจ้าไม่ทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะของเจ้ามากกว่านี้!”

ตู้กวนกลับระเบิดหัวเราะแทน “พี่ใหญ่ ดูตัวท่านสิ มิใช่ว่าท่านกลับมาจริงจังอีกแล้วหรือ? มันก็แค่เศษขยะที่ไปตายข้างนอก ท่านไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องใหญ่อันใดเลย!”

“ศิษย์พี่ตู้กวน นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?” ร่างกายของศิษย์คนอื่น ๆ สั่นสะท้าน ในขณะที่พวกเขาร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

ตู้กวนมีความสุขกับความรู้สึกที่ได้เป็นจุดสนใจ เขาตบหน้าอกด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจ พร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ถ้าพวกเขากลับมาได้ แซ่ของข้าก็จะไม่ใช่…”

เสียงของเขาหยุดลงอย่างกะทันหัน

เนื่องจากตู้กวนเหลือบมองไปรอบ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ และเห็นคนที่น่าจะตายไปนานแล้วจู่ ๆ ก็กลับปรากฏตัวขึ้นในขณะนี้!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท