บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 755 เผชิญหน้า

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 755 เผชิญหน้า

บทที่ 755 เผชิญหน้า

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกโถงพินิจกระบี่ ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนในห้องโถงตื่นตัว และพร้อมใจกันหันไปมองอย่างพร้อมเพรียง

ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน ดวงตะวันทอแสงเจิดจ้าเป็นวงกว้าง ดังนั้นร่างสูงใหญ่ที่ก้าวเข้ามาจึงอาบไล้ด้วยแสงตะวัน ร่างของคนผู้นี้กระทุ้งตรงดุจคันทวน เขาเดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคงราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับโลก และสะท้อนกับมหาเต๋าในขณะที่เคลื่อนไหว ยิ่งกว่านั้น ท่าทางของชายหนุ่มนั้นยังยิ่งใหญ่และไม่ธรรมดา …ซึ่งคนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเฉินซีนั่นเอง!

เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคย เลี่ยเผิงก็อดไม่ได้ที่จะเผยความชื่นชมในสายตาของเขา เวลาผ่านไปเพียงปีเศษ แต่ศิษย์ที่ผู้อาวุโสหลิ่วพากลับมาคนนี้กลับมี ‘อิทธิพลและอำนาจ’ เป็นของตัวเองแล้ว …ทว่าในอดีตใครจะจินตนาการถึงสิ่งนี้ได้กัน?

ผู้บ่มเพาะทั้งหมดของเขาวิญญาณนิรันดร์ต่างมีสีหน้าซับซ้อน

เมื่อเจ็ดวันก่อน การปรากฏตัวของเฉินซีอาจกล่าวได้ว่าทิ้งความประทับใจอันไม่อาจลืมเลือนไว้ในใจพวกเขา ทำให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้ไม่ได้มีอยู่แค่ในนิกายสรวงสวรรค์เปล่าเปลี่ยวเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำให้ศิษย์เขาวิญญาณนิรันดร์เข้าใจว่า พวกเขาไม่ควรประเมินบรรดาผู้กล้าหาญในโลกนี้ต่ำเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือโอกาสใดก็ตาม!

เฉินซีเข้าไปในห้องโถง เขาตรงเข้าไปคารวะทักทายเลี่ยเผิง ก่อนจะมอบคัมภีร์เต๋านิรันดร์คืนให้

“เฉินซี เจ้าเข้าใจความลึกล้ำของความเป็นนิรันดร์ภายในเจ็ดวันที่ผ่านมาได้หรือไม่?” หลังจากมอบคัมภีร์คืนให้กับไป๋หลี่เยียนแล้ว ชายชราก็อดไม่ได้ที่จะถาม

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกไป สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปยังเฉินซีอย่างพร้อมเพรียงกัน สีหน้าของพวกเขาพากันแสดงความกังวลใจเล็กน้อย เพราะคำตอบของเฉินซีจะเป็นตัวกำหนดผลการเดิมพัน และตัดสินความเป็นเจ้าของสมบัติอมตะ ฉะนั้นพวกเขาจะไม่ประหม่าได้อย่างไร?

ชายหนุ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศได้อย่างเฉียบพลัน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะตอบกลับ “ข้าพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว”

ดวงตาของเลี่ยเผิงสว่างวาบทันที เขาปรบมือในขณะที่หัวเราะเสียงดัง “วิเศษ! วิเศษ! วิเศษมาก! สมกับเป็นศิษย์ที่น่าทึ่งและพิเศษที่สุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของเรา ความสามารถในการทำความเข้าใจดังกล่าว ถือว่าน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง!”

ใบหน้าของทุกคนจากเขาวิญญาณนิรันดร์พลันเผยให้เห็นถึงความไม่เชื่อ เขาเข้าใจความลึกล้ำของความเป็นนิรันดร์ได้ในเจ็ดวัน? นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!?

เพราะแม้แต่ลู่ผิงก็ยังเหน็ดเหนื่อยเป็นเวลากว่าหนึ่งปีเพื่อทำความเข้าใจความลึกล้ำของความเป็นนิรันดร์ และมันก็อยู่ภายใต้การชี้แนะของผู้อาวุโสจากนิกายด้วยซ้ำ

แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขาวิญญาณนิรันดร์ปั่นป่วนไปหมด ในขณะที่ลู่ผิงได้กลายมาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงไปทั้งนิกาย!

แต่ในตอนนี้เฉินซีกลับกล่าวออกมาว่า เขาสามารถเข้าใจความลึกล้ำของความเป็นนิรันดร์ได้ภายในเจ็ดวัน …แล้วจะไม่ให้พวกเขามองว่ามันเป็นเรื่องตลกไร้สาระได้อย่างไร?

“เป็นไปไม่ได้! มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?”

“เพราะแม้แต่ปราชญ์โดยกำเนิดก็คงไม่สามารถบรรลุสิ่งนี้ได้!”

ใบหน้าของทุกคนที่จ้องมองไปยังเฉินซีค่อย ๆ เปลี่ยนจากความสงสัยกลายเป็นท่าทางดูถูกเหยียดหยาม เพราะพวกเขาคิดว่าอีกฝ่ายโกหก

ทว่าชายหนุ่มกลับทำตัวเฉยเมยกับท่าทีเหล่านี้ เขาเพียงป้องมือคำนับให้กับเลี่ยเผิง ก่อนตั้งใจจะจากไป

“ช้าก่อน!” ไป๋หลี่เยียนโพล่งขึ้น จากนั้นนางพลันยืนขึ้นและเดินไปที่ด้านข้างของเฉินซี ก่อนจะจ้องมองไปยังดวงตาของชายหนุ่มแล้วกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์จริง ๆ หรือ?”

เฉินซีขมวดคิ้วขณะที่จ้องมองหญิงสาวคนนี้ จากนั้นชายหนุ่มจึงตอบกลับด้วยคำถาม “กระหม่อมจำเป็นต้องพิสูจน์ให้พระองค์เห็นด้วยหรือ?”

หญิงสาวยิ้มบางและกล่าวช้า ๆ “ไม่แน่นอน แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงก็จะสูญเสียสมบัติอมตะ เจ้าคงรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ได้กระมัง?”

แน่นอนว่า นางย่อมไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถเข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ได้ภายในเจ็ดวัน เพราะตัวนางได้ดัดแปลงเนื้อหาของคัมภีร์เต๋านิรันดร์ และแม้แต่เซียนสวรรค์ก็ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีเพื่อทำความเข้าใจ ก็ยังมิอาจเข้าใจได้ทั้งหมด แล้วจะนับประสาอะไรกับเฉินซี?

แม้นางจะยอมถอยให้ ทั้งยังมอบคัมภีร์เต๋านิรันดร์ที่แท้จริงให้แก่เฉินซีเพื่อทำความเข้าใจ แต่เขาจะเข้าใจมันได้ภายในเจ็ดวันได้อย่างไร?

ดังนั้นนางจึงเชื่อมั่นว่า ชายหนุ่มจะต้องโกหกอย่างแน่นอน!

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ในใจของไป๋หลี่เยียนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “นึกไม่ถึงว่า ชายหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้จะมีนิสัยชอบโป้ปด ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบจริง ๆ”

แต่การตำหนิเล็กน้อยย่อมไม่อาจบดบังความงามของหยกได้ นางยังคงชื่นชมเฉินซีเป็นอย่างมาก และไม่คิดจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับเขามาอยู่ภายใต้บัญชา ถึงขนาดที่นางคิดหาวิธีอันยอดเยี่ยมเพื่อตอบโต้นิสัยโป้ปดของเฉินซี!

เพราะอย่างไรแล้ว คนที่ชอบโป้ปดก็คือคนที่ให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรี และนั่นหมายความว่าคนผู้นั้นจะมีความภาคภูมิใจมากกว่าคนอื่น ๆ และอาจถึงขนาดเสแสร้งเล็กน้อยด้วยซ้ำ ทว่าตราบใดที่จัดการกับคนเช่นนี้ได้อย่างเหมาะสม ทุกอย่างหลังจากนั้นก็จะสำเร็จได้อย่างง่ายดาย!

เฉินซีไม่รู้ว่าความคิดมากมายได้ผุดขึ้นมาในจิตใจขององค์หญิงไป๋หลี่ในขณะนี้ เขาเพียงจ้องมองนางอย่างว่างเปล่า ก่อนจะมองไปยังผู้อาวุโสเลี่ยเผิง

เลี่ยเผิงพลันขมวดคิ้วแทน จากนั้นจึงมองไปที่หญิงสาว “องค์หญิง เนื่องจากเฉินซีได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า เขาได้เข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์แล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าได้ชนะการเดิมพันนี้ แล้วเหตุใดต้องพิสูจน์อีก? หรือท่านคิดว่าคำพูดของเฉินซีเป็นเรื่องโกหกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินซีก็พอเข้าใจทุกอย่างคร่าว ๆ และก็อดไม่ได้ที่จะขบขันในใจ เดิมทีชายหนุ่มคิดว่าการทำให้องค์หญิงไป๋หลี่พ่ายแพ้ครั้งล่าสุด จะถือว่าได้ให้บทเรียนครั้งใหญ่แก่นางแล้ว แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่านางจะเสพติดการเดิมพัน จนกล้าวางเดิมพันกับผู้อาวุโสเลี่ยเผิงอีกครา!

…แต่นี่ก็ฉายชัดถึงความถือดีในศักดิ์ศรีไปจนถึงกระดูกดำของหญิงสาว นางมีความมั่นใจและความปรารถนาที่จะควบคุมทุกสิ่ง และเมื่อเชื่อมั่นในบางสิ่งแล้ว ความกล้าบ้าบิ่นของนางก็จะยิ่งใหญ่จนถึงขั้นวิกลจริต!

แน่นอนว่า ไป๋หลี่เยียนย่อมเต็มไปด้วยความมั่นใจ ในขณะที่นางยืนกรานว่า “เหตุใดคำพูดของเฉินซีต้องเป็นความจริงเสมอ?”

ชายชราพลันขมวดคิ้ว ในใจของเขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก และกะทั่งกล้าทุบอกรับประกันว่า เฉินซีจะไม่หลอกลวงตนอย่างแน่นอน แต่เมื่อเลี่ยเผิงคิดว่าองค์หญิงไป๋หลี่อาจไม่เชื่อ แม้ว่าตนจะรับรองก็ตาม …หากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง มันจะเป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายอย่างแน่นอน!

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงจ้องมองเฉินซี และกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงร้องขอว่า “เฉินซี เหตุใดเจ้าไม่…ไม่แสดงเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ออกมาสักประเดี๋ยวเล่า?”

เฉินซีเป็นบุคคลแรกที่สามารถทำให้เลี่ยเผิง ซึ่งเป็นผู้คุมกฎของนิกายที่มีสถานะด้อยกว่าประมุขนิกายเท่านั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นนั้น

เฉินซีไม่ใช่คนโง่เขลา เขาย่อมเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของเลี่ยเผิง แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้แสดงสิ่งใดออกมาทันที เพราะเขารู้สึกว่าตนคงจะเหมือนตัวตลกมากกเกินไปหากทำเช่นนั้น

ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองไป๋หลี่เยียน และโพล่งขึ้นว่า “ในเมื่อมันเป็นการพนัน เหตุใดเราจึงไม่เพิ่มเดิมพันให้มากกว่านี้สักหน่อยเล่า?”

ทันทีที่กล่าวคำเหล่านี้ ทุกคนก็เป็นต้องตกตะลึง “คนผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ? หรือว่าเขามั่นใจจริง ๆ?”

ใครบางคนรู้สึกทนไม่ไหว จึงบ่นออกมาเบา ๆ “คนผู้นี้คงไม่ได้พยายามหลอกเรากระมัง? เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เขากลับรีบแสดงท่าทีหยิ่งผยองมากขึ้น …เพื่อทำให้เราเข้าใจผิดว่า ตัวเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ ทักษะการแสดงของคนผู้นี้ก็ยอดเยี่ยมมาก และถ้าเขาไปหลอกลวงคนอื่น คนผู้นั้นก็ย่อมเชื่ออย่างสนิทใจแน่นอน”

“ฮ่า ๆ น่าสนใจ ช่างน่าสนใจจริง ๆ”

การสนทนาของคนเหล่านี้ไม่ได้ปกปิดแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าพวกเขาจงใจกล่าวให้เฉินซีกับเลี่ยเผิงได้ยิน เพราะน้ำเสียงและสีหน้าของคนพวกนั้นต่างเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

ใบหน้าของเลี่ยเผิงมืดมนในทันที หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ทว่าในสถานการณ์นี้ ชายชราทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่เฉินซี

“ตกลง ข้าตกลง ทว่าข้าสงสัยนักว่าสหายเฉินซีจะมีความคิดเห็นเพิ่มเติมเช่นไร?” ไป๋หลี่เยียนจ้องไปที่เฉินซีครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตกลงด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ในตอนท้าย

“มันง่ายมาก หากพระองค์เป็นฝ่ายแพ้ ก็ขอโทษอาจารย์ลุงเลี่ยเผิงของกระหม่อม และถ้ากระหม่อมเป็นฝ่ายแพ้ พระองค์ก็แจ้งความประสงค์มาได้เลย” เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมยและนิ่งสงบ

เลี่ยเผิงรู้สึกทึ่งและรู้สึกยินดีอย่างยิ่งในใจ เห็นได้ชัดว่าเฉินซีจะต้องทุกข์ทรมานกับการสูญเสียครั้งใหญ่ในการเดิมพันครั้งนี้ แต่มันก็เกิดขึ้น …ซึ่งสะท้อนความจริงใจของเฉินซีที่มีต่อตัวเขาได้มากขึ้น!

เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว …สาเหตุที่เฉินซีเต็มใจเสนอเงื่อนไขดังกล่าว แท้ที่จริงก็เพียงเพื่อให้ไป๋หลี่เยียนกล่าวขอโทษ แล้วเขาจะไม่พอใจได้อย่างไร?

‘เด็กคนนี้คู่ควรกับความโปรดปรานของข้าจริง ๆ!’

ในใจของชายชราได้ตัดสินใจแล้วว่า เขาจะแจกจ่ายทรัพยากรไปยังยอดเขาจรัสตะวันตกและเฉินซีมากขึ้นในอนาคต และตราบใดที่ไม่เกินขอบเขตอำนาจของตน ชายชราจะตอบสนองกับคำขอของชายหนุ่มทุกอย่าง!!

“ตกลง ข้าตกลง” องค์หญิงไป๋หลี่พยักหน้า จากนั้นนางก็ยิ้มอย่างสบาย ๆ “ตอนนี้ข้าว่าเรากล่าวไปมากแล้ว ดังนั้นเจ้าควรแสดงเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ได้แล้วกระมัง?”

ขณะที่กล่าวจบ นางจงใจเน้นคำสามคำสุดท้าย กระทั่งเผยแววเยาะเย้ยเบา ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งนี้มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะถึงแม้นางจะเฉลียวฉลาดเพียงใด แต่คนเราก็คงไม่อาจฝืนเก็บความในใจได้นานเพียงนั้น

“เหตุใดต้องเร่งรีบด้วยเล่า? กระหม่อมยังมีเงื่อนไขอื่นอยู่” ในขณะนี้ เฉินซีดูจะสงบมากขึ้นและไม่รีบร้อนแทน

“ว่ามาเถิด” ไป๋หลี่เยียนขมวดคิ้ว

“หาคนมาสู้กับกระหม่อม และไม่ต้องกังวล กระหม่อมจะใช้เต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ระหว่างการต่อสู้เท่านั้น” เฉินซีกล่าว

“ฮึ่ม! ก็แค่ประลองหาสำคัญไม่ แต่ข้าแค่กังวลว่า เจ้าจะกลับคำพูดและใช้ศาสตร์เต๋าของเจ้าเอง” ก่อนที่ไป๋หลี่เยียนจะทันตอบกลับ ศิษย์คนหนึ่งพลันไม่อาจอดกลั้น และแค่นเสียงขึ้นมา

เฉินซีชำเลืองมองศิษย์คนนี้ “ข้าขอถามเจ้า เจ้าคุ้นเคยกับเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์หรือไม่?”

คนผู้นั้นยืดอกและกล่าวด้วยความดูถูกเหยียดหยามว่า “ช่างเป็นเรื่องตลกเสียจริง! ในฐานะศิษย์ของเขาวิญญาณนิรันดร์ แน่นอนว่าข้าย่อมคุ้นเคยกับเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์”

เฉินซีส่ายศีรษะ “ถ้าอย่างนั้น เหตุใดเจ้าถึงต้องกังวลว่าจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่า ข้ากำลังใช้เต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ที่แท้จริงหรือไม่? สหายเต๋าเอ๋ย เจ้าต้องไตร่ตรองก่อนที่จะกล่าว บางครั้ง…จงอย่าคิดว่าใครจะกระทำเรื่องต่ำช้าอยู่เสมอ เพราะนั่นจะทำให้เจ้าอับอายขายหน้าแทน”

ใบหน้าของศิษย์คนนั้นแดงก่ำทันที เขากัดฟันแน่นและกล่าวว่า “เจ้าหาว่าข้าโง่เขลาหรือ?”

เฉินซียักไหล่ “นั่นคือเจ้า ไม่ใช่ข้า”

“พอได้แล้ว!” ไป๋หลี่เยียนจ้องมองศิษย์คนนั้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทำให้ศิษย์คนนั้นหุบปากทันทีและไม่กล้ากล่าวอะไรอีก มีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยขุ่นเคืองซึ่งจ้องมองไปยังเฉินซีเท่านั้น

“ข้าสงสัยว่า ศิษย์พี่คนใดที่เต็มใจจะประลองกับสหายนักพรตเต๋าเฉินซี” ในช่วงเวลาต่อมา ไป๋หลี่เยียนก็กวาดสายตามองทุกคนจากด้านข้างของนาง

“กระหม่อมจะประลองเองพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของนางยังดังก้องอยู่ในอากาศไม่ทันจางหาย ทว่ากลับมีบุคคลที่ไม่มีใครคาดคิดก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว…ลู่ผิง!

อุปนิสัยของลู่ผิงนั้นมั่นคงและนิ่งสงบในระดับที่น่าสะพรึงกลัว หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว เขาไม่ควรตกลงในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ในเวลาไม่นาน ทุกคนก็พลันเข้าใจ

เพราะมีเพียงลู่ผิงและอีกสองสามคนเท่านั้นที่เข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ ในขณะที่ลู่ผิงได้พ่ายแพ้ให้กับเฉินซีเมื่อศึกประลองครั้งล่าสุด ดังนั้นการที่เขาตั้งใจจะกระโดดออกไปประลองกับเฉินซีอย่างกะทันหันนี้ จึงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้

ทว่าเลี่ยเผิงไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาสะบัดแขนเสื้อทันทีเมื่อเห็นลู่ผิงเดินออกมา ก่อนจะเปิดใช้งานสังเวียนพินิจกระบี่

“สหายเต๋าเฉินซี โปรดชี้แนะด้วย” ลู่ผิงป้องมือคำนับและกล่าวอย่างใจเย็น

“โปรดชี้แนะด้วย” เฉินซีป้องมือคำนับเช่นกัน

ในพริบตาต่อมา คนทั้งคู่ก็กระโดดขึ้นไปบนสังเวียนพินิจกระบี่ และยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล เป็นสัญญาณว่าการต่อสู้ครั้งใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท