บทที่ 757 ร่างของบิดา
บทที่ 757 ร่างของบิดา
ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงได้ประกาศคำตัดสินสุดท้ายออกมาแล้ว
จนกระทั่งนางออกจากโถงพินิจกระบี่มาไกลแล้ว จิตใจของไป๋หลี่เยียนก็ยังคงอยู่ในภวังค์สับสน นางพึมพำพูดประโยคซ้ำ ๆ กับตัวเองไปตลอดทาง “เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปได้อย่างไร?”
หัวใจของเหล่าศิษย์จากเขาวิญญาณนิรันดร์ที่อยู่ข้าง ๆ ล้วนอัดอั้น พวกเขาต่างพากันถอนหายใจ
หลังจากออกมายังโลกภายนอก ทุกคนได้เวียนไปเยี่ยมเยียนกองกำลังมากมายระหว่างทาง ซึ่งทุกที่ต่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งได้รับความเคารพในฐานะแขกผู้มีเกียรติ และได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
สิ่งนี้ได้กระตุ้นความเย่อหยิ่งในใจของพวกเขา ทำให้ศิษย์จากเขาวิญญาณรู้สึกว่านอกจากกองกำลังเพียงหยิบมือในแดนไร้นาม และสรวงสวรรค์สงบเงียบแล้ว กองกำลังอื่น ๆ ในโลกใบนี้ก็ไม่มีที่ใดมีค่าพอที่จะได้รับการกล่าวถึงอีก!
แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่มาถึงนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง พวกเขาจะวิ่งชนกำแพงครั้งแล้วครั้งเล่า ประสบกับความพ่ายแพ้ซ้ำซาก ไม่เพียงศิษย์พี่ฟางจิ้งเลวี่ยกับศิษย์พี่ลู่ผิงจะพ่ายแพ้ลงอย่างน่าสังเวชด้วยน้ำมือของคู่ต่อสู้ แม้กระทั่งองค์หญิงไป๋หลี่ก็ยังต้องสูญเสียเงินจำนวนมากไปเพราะเหตุนี้ ทั้งยังต้องก้มศีรษะและยอมรับความผิดพลาดต่อผู้อาวุโสของอีกฝ่าย …เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับมีเข็มทิ่มแทงหัวใจ ความภาคภูมิใจที่เคยมีพังทลายลงในทันที!
ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาเสียใจและตื่นตระหนกที่สุดคือ มรดกสูงสุดของนิกายพวกเขาได้รั่วไหลออกมาจริง ๆ ซึ่งหากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ส่งต่อกลับไปถึงนิกาย มันย่อมกระตุ้นความโกรธของพวกผู้อาวุโสระดับสูงอย่างแน่นอน และพวกเขาคงไม่สามารถหลีกเลี่ยง ทุกคนย่อมได้รับผลกระทบและถูกลงโทษไปตาม ๆ กัน…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของศิษย์เหล่านี้ก็ล้วนดูมืดมน ราวกับไก่อ่อนที่พ่ายแพ้จนต้องกระสับกระส่าย
และเรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากคนเพียงคนเดียว…เฉินซี!
พวกเขาเชื่อมั่นว่า หากเฉินซีผู้ชั่วร้ายคนนี้ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในโถงพินิจกระบี่เมื่อเจ็ดวันก่อน หรือร่วมการเดิมพันในวันนี้ เหตุการณ์ที่น่าผิดหวังทั้งหมดนี้คงจะไม่เกิดขึ้น!
“เป็นไปได้อย่างไร… มันเป็นไปได้อย่างไร…” ไป๋หลี่เยียนยังคงพึมพำด้วยสีหน้าว่างเปล่าไปตลอดทางจนพวกเขาออกจากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองไป ราวกับว่าจิตใจของนางได้ล่องลอยไปไกลแสนไกล
“องค์หญิง พระองค์เป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ในที่สุดก็มีคนอดไม่ได้ที่จะถามออกไป
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวพลันสะดุ้งตื่นขึ้นจากภวังค์ ท่าทีของหญิงสาวเปลี่ยนกลับมาเป็นเฉียบขาดและเด็ดเดี่ยว “ข้าตัดสินใจแล้ว จนกว่าข้าจะตรวจสอบเจอว่าเฉินซีเข้าใจเต๋ารู้แจ้งนิรันดร์ได้อย่างไร ข้าสาบานว่าจะไม่กลับไปที่นิกายเด็ดขาด!”
…
ในขณะนี้ เฉินซีกำลังมองไปยังชุดเกราะขนนกหมอกใต้พิภพในมืออย่างประหลาดใจ พลางถอนหายใจด้วยความชื่นชม
สมบัติอมตะชิ้นนี้ได้รับการขัดเกลาจากวัตถุดิบอมตะ ‘ไหมขนนกหมอกใต้พิภพ’ และมีข้อจำกัดที่ผู้บ่มเพาะวางไว้อยู่ถึงสามสิบหกประการ ซึ่งมันไม่เพียงจะสามารถแปลงเป็นเสื้อผ้าที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกันเมื่อสวมใส่เท่านั้น มันยังมีความสามารถในการป้องกันที่น่าตกตะลึงอย่างมาก ซึ่งเพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีได้โดยไม่แตกหัก!
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะวัสดุที่ใช้สำหรับสร้างสมบัติอมตะชิ้นนี้ ‘ไหมขนนกหมอกใต้พิภพ’ ที่ผลิตมาจากหนอนไหมหมอกใต้พิภพ แมลงศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล และแม้ว่าหนอนไหมหมอกใต้พิภพจะมีอายุได้เพียงหนึ่งวัน แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง ทันทีที่พวกมันเกิดมา ก็มีพลังพอจะฉีกฟ้าดินออกจากกันแล้ว จึงนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อัศจรรย์และน่าเกรงขามยิ่งนัก!
ในชั่วพริบตา ก่อนที่พวกมันกำลังจะตาย เส้นไหมชนิดหนึ่งจะก่อตัวขึ้นภายในศพของพวกมัน …เส้นไหมนั้นละเอียดบางเบาราวกับลำแสงและยาวน้อยกว่าสามฉื่อ แต่มันเป็นวัสดุอมตะที่หายากมาก ทนต่อลมและไฟ มีความยืดหยุ่นสูง มันจึงถือเป็นสมบัติอมตะ โดยไม่ต้องแม้แต่ปรับแต่ง!
ยิ่งกว่านั้น หากไม่รวบรวมเส้นไหมประเภทนี้ให้ทันเวลา มันจะหายไปภายในเวลาสามอึดใจเท่านั้น ดังนั้นวัสดุอมตะประเภทนี้จึงหายากมากอย่างยิ่ง!
เพียงเท่านี้ เราก็สามารถรู้ได้แล้วว่าไหมขนนกหมอกใต้พิภพนี้มีค่าเพียงใด
“เฉินซี เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?” ผู้อาวุโสเลี่ยเผิงที่อยู่ใกล้ ๆ ลูบเคราของเขาในขณะยิ้ม
“สมบัติล้ำค่า” เฉินซีตอบอย่างจริงจัง
เลี่ยเผิงได้มอบชุดเกราะนี้ให้กับเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นับจากนี้เป็นต้นไป เฉินซีก็จะมีการป้องกันที่ทรงพลังเป็นพิเศษเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง และมันก็ไม่ต่างจากการมีชีวิตที่สองเลย เพราะถึงอย่างไร สิ่งนี้ก็เป็นสมบัติอมตะ!!
“กระบี่เซียนประกายหิมะนี้…” เลี่ยเผิงกล่าวขึ้น
ทว่าก่อนที่ชายชราจะทันได้พูดจบ เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยทัศนคติที่แน่วแน่ของเฉินซี “ท่านอาจารย์ลุง ข้ารับกระบี่เล่มนี้ไว้ไม่ได้ขอรับ!”
เลี่ยเผิงชะงักไป จากนั้นเจ้าตัวก็ถอนหายใจ “เจ้าหนูน้อย เจ้ารู้จักขอบเขต เป็นคนชอบธรรม และมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่งยิ่งนัก ข้าเลี่ยเผิงไม่เคยเห็นใครโดดเด่นได้เท่าเจ้ามาก่อน นับตั้งแต่ข้าทำหน้าที่เป็นผู้คุมกฎของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองมา”
ขณะที่พูด ชายชราก็ตบไหล่ชายหนุ่มเบา ๆ “ในยามนี้ จงฝึกฝนเงียบ ๆ อยู่ภายในนิกายไปก่อนเถิด ไม่ว่าลมและฝนข้างนอกจะแรงแค่ไหน มันก็ไม่อาจพัดเข้ามาในอาณาเขตของเราได้”
เฉินซีตกตะลึงและพยักหน้า
…
สามวันต่อมา
เวินหัวถิงผู้เป็นประมุขนิกายได้กลับมา และเรียกรวมตัวกลุ่มผู้อาวุโสเพื่อไปหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ที่ยอดเขาสัประยุทธ์
ในวันนั้น ศิษย์ทุกคนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองก็ได้ยินถึงข่าวการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพในแดนภวังค์ทมิฬ ที่เป็นเหมือนสัญญาณบอกเหตุถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทั้งสามภพ ทำให้ทั่วทั้งโลกต้องตกตะลึง นิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสิบนิกายกับนิกายอสูรทั้งหก หรือแม้แต่นิกายซ่อนเร้นบางแห่งก็ได้เริ่มดำเนินการหลายอย่าง พวกเขาส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ออกลาดตระเวนไปทั่วโลก เพื่อสืบหาที่อยู่ของผู้เยี่ยมยุทธ์จากต่างพิภพ!
ในตอนค่ำ เฉินซีที่ถูกเรียกตัวได้มุ่งหน้าไปยังยอดเขาสัประยุทธ์
ในห้องโถงใหญ่อันโอ่อ่านั้นมีเพียงเวินหัวถิงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ด้านใน เขาสวมมงกุฎทรงสูงและเสื้อผ้าโบราณ คิ้วของอีกฝ่ายโก่งดั่งยอดเขา แสงศักดิ์สิทธิ์ไหลเวียนอยู่ภายในดวงตาของเจ้าตัวดูราวกับหุบเหว ณ ก้นบึ้งของมหาสมุทร
หลังจากคำนับทักทายอีกฝ่ายแล้ว ชายหนุ่มก็ยืนรออยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ หากแต่ในใจของเขากลับกระสับกระส่ายไม่น้อย
ชายหนุ่มทราบมาว่าทันทีที่ประมุขนิกายกลับมา อีกฝ่ายก็เรียกตัวเขามาในทันที ดังนั้นมันจะต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเฉินหลิงจวินผู้เป็นบิดาของเขาอย่างแน่นอน!
แน่นอนว่าเวินหัวถิงไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระอะไรให้มากมาย เพียงส่งแผ่นหยกให้เฉินซีโดยตรง “บิดาของเจ้าทิ้งสิ่งนี้เอาไว้ ดูเอาเถิด”
โอม!
เฉินซีเปิดใช้งานแผ่นหยก ทันใดนั้นร่างของคนผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้น
พื้นหลังของฉากที่บันทึกอยู่ภายในนั้นเป็นพื้นที่มืดและเงียบสนิท โดยมีร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงใจกลางอย่างภาคภูมิ พร้อมกับแผ่ความรู้สึกกดดันออกมาเบาบาง
นี่คือชายวัยกลางคนที่มีคิ้วรูปทรงเหมือนกระบี่ และมีภาพลักษณ์ดูเข้มแข็งแน่วแน่ เขายืนเอามือไพล่หลัง เปล่งกลิ่นอายที่เป็นอิสระและไม่สั่นคลอนออกมา
ทันทีที่ชายหนุ่มเห็นรูปร่างหน้าตาของชายผู้นี้อย่างชัดเจน เฉินซีพลันนึกถึงเฉินฮ่าวผู้เป็นน้องชายของเขาด้วยความงุนงง รูปร่างหน้าตาของเฉินฮ่าวนั้นแทบจะถอดแบบมาจากพิมพ์เดียวกันกับชายคนนี้เลยทีเดียว และนอกจากลักษณะท่าทางที่แตกต่างกันแล้ว สิ่งอื่นแทบจะทุกอย่างล้วนมีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาดใจ!
ความตื่นเต้นที่ควบคุมไม่ได้พลันผุดเข้ามาในหัวใจของเฉินซีดั่งหินหลอมเหลวที่ปะทุขึ้น ทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น ในขณะที่จ้องไปยังร่างคนผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า ตระหนักทราบว่าคนคนนี้คือผู้เป็นบิดา… เฉินหลิงจวิน!
นับตั้งแต่จำความได้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูปร่างหน้าตาของบิดา อารมณ์ซับซ้อนอันอธิบายไม่ได้ที่ปรากฏขึ้น จึงทำให้สมองของเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะ กระทั่งลืมไปแล้วว่าตอนนี้ตัวเขาอยู่ที่ใดกันแน่
ร่างของคนผู้นี้มีท่าทางเย็นชาและไม่แยแสสิ่งใด ดุจก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายแม้จะผ่านเวลาไปเป็นพันปี แต่ในยามนี้มุมปากของอีกฝ่ายกลับยกโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นความอ่อนโยน ขณะที่ดวงตาไร้อารมณ์ของเจ้าตัวก็แฝงความเศร้าและความสุขไว้จาง ๆ
หลังจากความนิ่งงันผ่านไปชั่วครู่ อีกฝ่ายพลันกล่าวขึ้นมาเพียงประโยคเดียวสั้น ๆ ว่า “รอจนกว่าข้าจะพาแม่ของเจ้ากลับมา”
ของบางอย่างย่อมไม่อาจอธิบายได้ชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ดังนั้นจึงมีแต่จัดการธุระเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น จึงจะรับปากได้อย่างสนิทใจ
ดังนั้นชายผู้นี้จึงพูดเพียงแค่ประโยคเดียว
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง แต่กลับหนักแน่นและแน่วแน่ โดยแฝงความรู้สึกผิดและการปลอบโยนซึ่งมอบให้แก่ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตน
ตอนเป็นเด็ก เฉินซีเองก็เงียบขรึม และถนอมคำพูดดุจทองคำ เช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของบิดาได้เป็นอย่างดี
แกร๊ก!
แผ่นหยกได้แตกออก ในขณะที่ร่างนั้นกะพริบไหวราวกับระลอกคลื่น ก่อนจะแตกสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฉินซีเงยหน้าขึ้นและถามออกมา “ท่านประมุข ท่านบอกศิษย์คนนี้ได้หรือไม่ว่าเขาผู้นี้เป็นคนเช่นไร…?”
แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมหมายถึงเฉินหลิงจวิน
เวินหัวถิงตกใจราวกับไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะเลือกแทนที่คำว่า ‘พ่อ’ ด้วย ‘เขา’ จากนั้นครู่หนึ่งผู้เป็นประมุขก็รวบรวมความคิดและไตร่ตรอง ก่อนจะสรุปออกมาสั้น ๆ ว่า “เป็นคนที่กล้าหาญและแข็งแกร่งมาก”
เฉินซีพูดต่อ “แล้วเขาแข็งแกร่งแค่ไหน?”
เวินหัวถิงส่ายหัว “ไม่อาจวัด อย่างน้อยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
เฉินซีเม้มริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่นยิ่งขึ้น จนนิ้วของเขากลายเป็นสีซีด ในขณะที่เล็บของชายหนุ่มฝังลึกเข้าไปในเนื้อของตนเอง
ยิ่งเข้าใจพ่อของเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธอย่างอธิบายไม่ถูก
ทำไม!
เพราะเหตุใดท่านถึงต้องทิ้งข้า ท่านปู่ และเฉินฮ่าวด้วย?
หากท่านไม่จากไป ท่านปู่จะตายหรือไม่? เฉินฮ่าวกับข้าจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความอัปยศอดสู และความยากลำบากเช่นนี้หรือไม่?
ด้วยฐานการบ่มเพาะที่ทรงพลังเช่นนี้ ท่านจะไม่สามารถช่วยท่านปู่และตระกูลได้แม้แต่เพียงน้อยนิดเชียวหรือ?
ทำไม?
คำถามมากมาย ความขมขื่นที่มากเกิน และความโกรธความเดือดดาลที่มากล้น กำลังอัดแน่นอยู่ภายในใจของเฉินซี ก่อนหน้านี้เมื่อรู้ว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ และอีกฝ่ายไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ชายหนุ่มก็สงสัยมาโดยตลอด
ในฐานะเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของครอบครัว เหตุใดบิดาของเขาถึงเพิกเฉยต่อทุกสิ่งและจากไป ปล่อยให้ตระกูลล่มสลาย ละทิ้งท่านปู่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทิ้งเขาที่ยังเด็ก ทิ้งเฉินฮ่าวที่ยังเป็นทารก ทำให้พวกเขาต้องเผชิญความทุกข์ยาก?
เหตุใดคนผู้นี้จึงได้โหดร้ายนัก?
ทำไม!?
เฉินซีโกรธจนร่างสั่นสะท้าน แม้จะรู้ว่าพ่อของตนจากไปเพื่อช่วยผู้เป็นมารดา ชายหนุ่มก็ยังไม่สามารถให้อภัยเรื่องทั้งหมดนี้ได้!!
บางทีในฐานะสามี การกระทำของเขาอาจเป็นที่ยอมรับได้ แต่ในฐานะพ่อ ในฐานะลูกของท่านปู่แล้ว สิ่งที่เขาทำนั้นน่าผิดหวังเกินไป!
“บางทีมันอาจมีเหตุผลบางอย่างที่เจ้าไม่รู้ซ่อนอยู่ ยามนี้ถึงจะโกรธไปมันก็ไม่มีประโยชน์ รังแต่จะรบกวนการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเจ้าเปล่า ๆ” จู่ ๆ เสียงที่ก้องกังวานดั่งระฆังก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเฉินซี ปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งจากความโกรธที่ระเบิดออกมา ทำให้สติของชายหนุ่มฟื้นกลับมาอีกครั้ง
ตอนนั้นเอง เขาจึงตระหนักได้ว่าตนกือบจะสูญเสียการควบคุมดวงจิตแห่งเต๋า และปล่อยให้ตัวเองถูกมารในใจควบคุม เพราะแผ่นหยกที่บิดาทิ้งไว้!
“ขอบคุณขอรับท่านประมุข สำหรับคำแนะนำของท่าน” เฉินซีประสานมือคำนับและกล่าวขอบคุณ
เวินหัวถิงยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีสง่างามอย่างผู้อาวุโส “การรู้แจ้งจะนำเจ้าไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับความสับสนจนหลงทางที่จะทำให้เจ้าจมดิ่งลงไปชั่วกัลป์ ทุกอย่างถูกตัดสินด้วยหนึ่งความคิด ทว่าหากเราก้าวไปโดยไม่ล้มมาก่อน แล้วจะรู้แจ้งกระจ่างได้อย่างไร?”
นี่คือคำกล่าวของนักพรตเต๋า มันมีความหมายว่า มนุษย์ไม่ใช่ต้นไม้หรือก้อนหิน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไร้ความรู้สึก แต่หากอารมณ์รุนแรงเกินไป จนทำให้เกิดการกระทำที่หุนหันพลันแล่นก็ถือเป็นความหลงผิด และถ้าความปรารถนาหนักหนามันก็คืออวิชชา ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่จะไปรบกวนดวงจิตแห่งเต๋า มีเพียงการสงบสติอารมณ์ตั้งจิตให้นิ่งเท่านั้นที่จะช่วยให้จิตได้ผ่อนคลาย ปราศจากมลทินจากปัจจัยภายนอก
เฉินซีพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่าน”
เวินหัวถิงระเบิดเสียงหัวเราะ “อย่าได้จริงจังจนเกินไปนักเลย เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า จงทำตัวตามสบายเถิด”
ขณะที่พูด สีหน้าของเจ้าตัวก็พลันกลายเป็นจริงจังขึ้นทันที “เฉินซี ครั้งนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่ ก็เพราะมีอีกเรื่องที่จะบอกเจ้า ศิษย์น้องเยว่ฉือ… ทรยศต่อนิกาย!”
ในตอนท้ายของประโยค แม้จะหักห้ามใจตัวเองไว้แล้ว แต่เวินหัวถิงก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอารมณ์โกรธออกมา
ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง “เขาขอลี้ภัยไปยังนิกายวิถีกระแสสวรรค์หรือขอรับ?”
“คงจะเป็นเช่นนั้น”
เวินหัวถิงถอนหายใจ “อาจารย์ลุงเสวียนคุนตกลงที่จะยืนหยัดเพื่อเจ้าและลงโทษเยว่ฉือ แต่เขามาช้าไปก้าวหนึ่ง เมื่อเยว่ฉือได้ยินข่าว อีกฝ่ายก็ได้หลบหนีไปก่อน”
เฉินซียังคงนิ่งเงียบ เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะแยกแยะเนื้อหาของข่าวที่น่าประหลาดใจนี้ ซึ่งหากข่าวนี้แพร่ออกไปในโลกภายนอก มันย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วโลกแห่งการบ่มเพาะอย่างแน่นอน
ท้ายที่สุดแล้ว เยว่ฉือก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของหนึ่งในสิบนิกายเซียนที่ยิ่งใหญ่ นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ทั้งยังเป็นเจ้ายอดเขาจรัสตะวันออกที่มีอำนาจยิ่ง การทรยศอย่างกะทันหันของบุคคลที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้จะไม่ทำให้เกิดพายุลูกใหญ่ได้อย่างไร?
ทว่าก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบโต้ เวินหัวถิงก็เปิดเผยข่าวที่น่าตกใจยิ่งกว่าออกมา “อีกเรื่องหนึ่ง อีกสามวันนับจากนี้ปิงซื่อเทียนจะมาเยี่ยมนิกายเราด้วยตัวเอง!”