บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 759 คุยโวโอ้อวด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 759 คุยโวโอ้อวด

บทที่ 759 คุยโวโอ้อวด

ตึง! ตึง!

เสียงฝีเท้าที่ไม่เร็วหรือช้าดังขึ้นจากนอกห้องโถง ให้ความรู้สึกถึงความสงบและจังหวะแห่งมหาเต๋า

ตอนนี้ สายตาของทุกคนภายในห้องโถงต่างหันมองออกไป

“ปิงซื่อเทียนแห่งนิกายวิถีกระแสสวรรค์มาเยี่ยมเยียนสหายเต๋าแห่งนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง” ร่างของอีกฝ่ายยังมาไม่ถึง แต่เสียงของเจ้าตัวกลับเข้ามาในห้องโถงแล้ว

เสียงของเขาเปี่ยมด้วยความมั่นใจและจิตวิญญาณอันสูงส่ง ทำให้รู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดา จนไม่กล้าที่จะคิดดูถูก

สีหน้าของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีในห้องโถงต่างกลายเป็นจริงจังขึ้นมา เพราะเมื่อเปรียบเทียบสถานะกันแล้ว แม้พวกเขาจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภพมนุษย์ แต่เห็นได้ชัดว่าก็ยังด้อยกว่านัก เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนสวรรค์จากภพเซียนอย่างปิงซื่อเทียน

หนึ่งคือเซียนปฐพี อีกหนึ่งคือเซียนสวรรค์ ความแตกต่างระหว่างสวรรค์และปฐพีนี้ราวกับช่องว่างขนาดมหึมาที่อยู่ระหว่างภพเซียนกับภพมนุษย์!

แต่ถึงอย่างไรนี่ก็คือดินแดนของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง มีผู้อาวุโสเก่าแก่จำนวนมากที่เก็บตัวบ่มเพาะเดินทางมายังห้องโถงนี้ ส่วนปิงซื่อเทียนเป็นแขก ดังนั้นพวกเขาทั้งสองฝั่งย่อมมีสถานะและตัวตนไม่ด้อยกว่ากันเท่าไร

เสียงแจ่มชัดยังคงลอยผ่านห้องโถง เมื่อร่างดูดีมีเสน่ห์สาวเท้าเข้ามา คนผู้นี้สวมเพียงชุดเรียบ รูปลักษณ์หล่อเหลา ดวงตาเปี่ยมด้วยวงแหวนแสงสว่างจำนวนมากที่ดูเลือนรางราวกับไม่ใช่ของจริง ปราณเซียนกำลังเอ่อล้นออกมา

ระหว่างที่เข้ามา บรรยากาศพลันอบอวลด้วยกลิ่นหอมสดชื่นราวกับน้ำค้างที่ทำให้หัวใจชื่นบาน ส่งผลให้จิตวิญญาณพลอยรู้สึกดีตามไปด้วย

เขาไม่ได้เปิดเผยพลังที่มีมากมายมหาศาล แต่ทันทีที่เข้ามาภายในห้องโถง ทุกสิ่งที่อยู่ข้างในก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด มีเพียงความรู้สึกนิ่งงัน สงบและเป็นระเบียบ

ราวกับเขามาพร้อมกับกฎเกณฑ์!

คนผู้นี้ย่อมเป็นปิงซื่อเทียน ตัวตนยิ่งใหญ่จากภพเซียนที่เคลื่อนลงมาสู่ภพมนุษย์ ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงร่างจำแลงเซียนสวรรค์ แต่เจ้าตัวก็ถือครองประกาศิตของภพเซียนเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ต่างจากราชทูตแห่งภพเซียนมาเยือน ทำให้ทั้งสถานะและตัวตนของคนผู้นี้สูงส่งยิ่งนัก

ทันทีที่ปิงซื่อเทียนเดินเข้ามาในห้องโถง สายตาของอีกฝ่ายไม่ได้เหลียวซ้ายแลขวา ทว่าตรงไปที่ใจกลางทันที ก่อนประสานมือให้กับเวินหัวถิงที่นั่งตำแหน่งประมุขแล้วกล่าวว่า “ข้าขอโทษด้วยที่สร้างปัญหาให้กับท่าน แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้รับการต้อนรับยิ่งใหญ่จากนิกายอันทรงเกียรตินี้ ช่างรู้สึกปลื้มปริ่มกับความคาดไม่ถึงนี้ยิ่งนัก”

ในขณะเดียวกัน เวินหัวถิงก็ยืนขึ้นเช่นกัน เขาเผยรอยยิ้มอบอุ่นก่อนกล่าวว่า “ราชทูตปิง เชิญนั่งลงก่อน”

ปิงซื่อเทียนเผยรอยยิ้มเช่นกัน ก่อนนั่งลงด้านข้างอีกฝ่าย เขาเผยความรู้สึกที่ ‘อยู่ในระดับเดียวกัน’ ออกมา นอกจากนี้ ยังมีศิษย์รินชาให้จากด้านข้างด้วย

หลังจากนั่งลง เจ้าตัวเพียงเงยหน้าแล้วปรายตามองเฉินซีที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวสุดท้ายใต้ตำแหน่งประมุข การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ไหลรื่นราวกับสายน้ำไหล ไม่มีกลิ่นอายคุกคามแม้แต่นิดเดียว

แต่สายตาของเขากลับตกตะลึงเมื่อเห็นเสวี่ยเหยียนยืนอยู่ด้านหลังเฉินซีด้วยความเคารพ

“ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าทำไมราชทูตปิงถึงมาในครั้งนี้?” เวินหัวถิงเอ่ยถามพลางเน้นคำว่า ‘ราชทูต’ เป็นการบอกปิงซื่อเทียนว่าที่ให้ความเคารพเป็นเพราะเขาคือราชทูตของภพเซียน จึงมีการต้อนรับยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ฉะนั้นหากมาเพราะเรื่องของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ มันก็จะต่างออกไป

แน่นอนว่า ตัวตนระดับปิงซื่อเทียนย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นนี้ เขาพยักหน้าแล้วตอบว่า “ข้าต้องลงมาทำธุระระแวกนี้ จึงแวะมาบอกเรื่องเล็กน้อยกับท่านเสียหน่อย”

เวินหัวถิงกล่าวว่า “เชิญว่ามาได้เลย”

ปิงซื่อเทียนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ระหว่างทางมานิกายทรงเกียรติในครั้งนี้ ข้าได้ผ่านสถานที่ที่พวกปีศาจอาศัยอยู่ ซึ่งข้าได้เผชิญหน้ากับศิษย์บางส่วนจากนิกายของท่านที่เผชิญกับภัยพิบัติอันน่าเวทนาเข้า ดังนั้นข้าจึงยื่นมือเข้าช่วยก่อนพาพวกเขามาด้วย”

ขณะพูด ปิงซื่อเทียนสะบัดแขนเสื้อ ทำให้ปราณเซียนวูบไหวก่อนมีร่างจำนวนหนึ่งจะปรากฏขึ้น เป็นชายสี่หญิงหนึ่ง พวกเขาคือศิษย์พี่ของเฉินซี หลูเซิง ศิษย์พี่สามอี้เฉินจื่อ ศิษย์พี่สี่ต้วนอี้ ศิษย์พี่ห้าอาจิ่ว และศิษย์พี่หกชิงอวี่

ทุกคนภายในห้องโถงตกตะลึงเมื่อเห็นพวกเขาห้าคน ด้วยถึงแม้จะทราบตั้งแต่ต้นว่าปิงซื่อเทียนมาหาเพราะเสวี่ยเหยียน ทำให้ต้องคืนศิษย์จากนิกายให้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะถึงกับเตรียมพร้อมส่งมอบให้

ยิ่งกว่านั้น อีกฝ่ายยังโกหกหน้าตาเฉย ดังนั้นหากพวกเขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ คงอาจจะถูกหลอกไปแล้วจริง ๆ

เทียบกับการตอบสนองของเหล่าผู้อาวุโสจากนิกายเหล่านี้แล้ว เฉินซีกลับตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด หากไม่คิดถึงสภาพแวดล้อม เขาย่อมพุ่งเข้าหาศิษย์พี่ทั้งหลายไปนานแล้ว

แต่แล้วชายหนุ่มก็เป็นต้องสับสน เพราะถึงแม้พวกเขาจะยืนอยู่ตรงกลางห้องโถง ทว่าทุกคนกลับมีสีหน้าเหม่อลอยไร้สติ และถึงขนาดที่ว่าพวกเขาหลงลืมทักทายผู้อาวุโสของนิกาย

“พวกเขาห้าคนได้รับผลจากเคล็ดวิชามายา ข้าช่วยเหลือพวกเขาไว้แล้ว คาดว่าไม่เกินหนึ่งวันก็คงจะได้สติ” ขณะพูด ปิงซื่อเทียนได้ชำเลืองมองเฉินซีโดยไม่รู้ตัว

ซึ่งชายหนุ่มเองก็เงยหน้าขึ้นเพื่อสบตาของปิงซื่อเทียนเช่นกัน พวกเขาจ้องสักพักก่อนละสายตาไป

ตอนนี้ เฉินซีคล้ายสงบยิ่งนัก ไม่มีความผันผวนทางความรู้สึกจากคำโกหกน่าขันที่ปิงซื่อเทียนกล่าวขึ้นมาแม้แต่น้อย นั่นเพราะชายหนุ่มรู้ว่าจะเปิดเผยจุดอ่อนตอนเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ไม่ได้

นี่ยังเป็นเหตุผลที่เหตุใดเขาจึงนั่งทำสมาธิอย่างเงียบงันมาสามวันโดยไม่คิดหรือทำอะไร …ด้วยชายหนุ่มต้องการปลดปล่อยตัวเองเพื่อทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าสงบลงอย่างสมบูรณ์!

“พยุงพวกเขา พาไปพักผ่อนแล้วดูแลให้ดี” เวินหัวถิงสั่ง ทำให้ศิษย์จำนวนมากยืนขึ้นทันที ก่อนจะเข้าไปพยุงทั้งห้าคนออกจากห้องโถงไป

“ข้าต้องขอบคุณราชทูตปิงที่ให้การสนับสนุนอย่างทันท่วงที จนช่วยศิษย์จากนิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้าในช่วงอันตรายเอาไว้ได้ ข้าไม่อาจตอบแทนความเมตตานี้ไหว คงทำได้เพียงเสนองานเลี้ยงเพื่อแสดงความขอบคุณเท่านั้น” เวินหัวถิงยิ้มขณะประสานมือ

“มันง่ายดายดั่งยกนิ้วเท่านั้น ไม่ควรค่าให้กล่าวถึงหรอก” ปิงซื่อเทียนประสานมือเช่นกันก่อนจะลดมือลง

“ในเมื่อเรื่องนี้สิ้นสุดลงแล้ว ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าทำไมราชทูตปิงถึงมาที่นี่ในครั้งนี้?” เห็นได้ชัดว่าเวินหัวถิงไม่ตั้งใจจะสนทนาเรื่องเล็กน้อยกับปิงซื่อเทียน น้ำเสียงของเขาอบอุ่น ทว่าวาจากลับตรงไปตรงมายิ่งนัก

“มีอยู่สองเรื่อง” ปิงซื่อเทียนพึงพอใจยิ่งเช่นกัน เจ้าตัวครุ่นคิดสักพักก่อนยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “เรื่องแรกคือสาวใช้ของข้านามว่าเสวี่ยเหยียน สมาชิกของเผ่าจิ้งจอกเก้าหาง นางเกิดมามีนิสัยชอบเล่นสนุก รักการท่องไปทั่วโลก เมื่อไม่กี่วันก่อน นางออกจากนิกายอีกครั้งแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย ทำให้ข้ากังวลเหลือเกิน ภายหลังข้าจึงพบว่านางมาอยู่ในนิกายทรงเกียรติของท่านจนเกิดปัญหาขึ้นมา”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็อดที่จะหัวเราะด้วยท่วงท่าสบายไม่ได้ “ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากมาด้วยตัวเองเพื่อพาสาวใช้เจ้าปัญหาคนนี้กลับไป”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา กอปรกับท่วงท่าสงบไม่รีบเร่งของปิงซื่อเทียน ทุกคนในห้องโถงต่างลอบประหลาดใจ ปิงซื่อเทียนผู้นี้สมควรถูกเรียกว่าลิ้นอสรพิษโดยแท้ ทุกสิ่งที่เขาพูดออกมากลับกลายเป็นคนละเรื่องละราว ยิ่งกว่านั้น การกระทำกับสีหน้าของอีกฝ่ายยังเป็นธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าฉลาดมากแค่ไหน

“โอ้? มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?” เวินหัวถิงถามด้วยความประหลาดใจ

ปิงซื่อเทียนลอบสบถออกมา ‘จิ้งจอกเฒ่าหน้าโง่! ข้าพูดไปมากขนาดนี้ ยังจะมาทำนิ่งได้อีกหรือ?’

แต่ถึงแม้จะคิดเช่นนี้ ทว่าเจ้าตัวก็ยังหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ไม่ใกล้ไม่ไกลเลย สหายเต๋าเวินเชิญดูก่อน นั่นคือสาวใช้ของข้า” ขณะพูด เขาพลันชี้ไปที่เสวี่ยเหยียนจากไกล ๆ

“โห!” เวินหัวถิงกล่าว จากนั้นถอนหายใจออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หากราชทูตปิงไม่พูดละก็ ข้าคงนึกว่านางเป็นสาวใช้ของศิษย์หลานข้าเฉินซีเสียอีก”

คำพูดของประมุขนิกายเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยเล็กน้อย แต่ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างรับรู้ถึงมันได้ ทว่าก็ไม่มีใครเปิดเผยออกมา

เพราะถึงอย่างไร ตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกคนต่างให้ความร่วมมือกันสวมบทบาท และกล่าวทุกสิ่งที่ไม่มีมูลความจริง เหลวไหล รวมถึงถูกผิดผสมปนเปกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการพูดจาของแต่ละคน

สหายเฒ่าที่ใช้ชีวิตมานานนับไม่ถ้วนเหล่านี้ ต่างเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในด้านนี้จนบรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์แบบ ดังนั้นหากผู้ใดที่ไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามาเห็นเข้า จะต้องคิดว่าทุกคนที่นี่มีความสัมพันธ์ฉันมิตรอย่างแน่นอน

มุมปากของปิงซื่อเทียนกระตุกโดยไม่รู้ตัว เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “มีผู้คนมากมายในโลกใบนี้ที่คิดสร้างปัญหา ข้าเพิ่งเผชิญหน้ากับหนึ่งในพวกเขามา ทำให้ข้าปวดหัวยิ่งนัก” คำพูดของอีกฝ่ายมีเงื่อนงำบางอย่าง เห็นได้ชัดว่ากำลังบ่งชี้ไปถึงบางสิ่ง

“ฮ่า ๆ! ถึงกับสามารถทำให้ราชทูตปิงปวดหัวได้เนี่ย หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ย่อมเป็นเรื่องราวถูกกล่าวถึงในโลกบ่มเพาะพอตัว” เวินหัวถิงแผดเสียงหัวเราะออกมา เขาผลักทุกอย่างกลับไปที่ปิงซื่อเทียน

หายากนักที่ประมุขนิกายจะสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจนไม่หลงเหลือข้อบกพร่องแม้แต่น้อยเช่นนี้ ทำให้แม้แต่เฉินซียังรู้สึกนับถือ ก่อนจะถอนหายใจออกมา

…มันคงไม่ใช่โชคช่วยแต่อย่างใดที่ใครสักคนจะกลายเป็นประมุขนิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้

ปิงซื่อเทียนยิ้มขณะกล่าวเรื่องที่สอง “บางทีสหายเต๋าเวินคงได้ยินมาแล้วว่า ข้าจะกลายเป็นคู่บำเพ็ญกับศิษย์พี่ชิงภายในหนึ่งร้อยปี นิกายจะจัดพิธีให้ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ในครั้งนี้เพื่อเชิญสหายเต๋าทุกคนในที่แห่งนี้ไปเข้าร่วมพิธีดังกล่าว”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา บรรยากาศภายในห้องโถงพลันเปลี่ยนไปในทันที

ไม่มีใครคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา หากพวกเขาตกลงไปเข้าร่วมพิธี เช่นนั้นจะไม่เท่ากับเป็นเมินเฉยต่อเฉินซีหรือ?

แม้กระทั่งเวินหัวถิงยังนิ่งเงียบ ผ่านไปพักใหญ่จึงยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไร ยังเหลือเวลาอีกหลายสิบปี ถึงตอนนั้น หากไม่มีอะไรผิดพลาด เช่นนั้นข้าจะเข้าร่วมพิธีเพื่อแสดงความยินดีต่อราชทูตปิงอย่างแน่นอน”

เขาเน้นย้ำตรงประโยคที่ว่า ‘หากไม่มีอะไรผิดพลาด’ เพื่อสื่อสารกับปิงซื่อเทียนและเฉินซี

ปิงซื่อเทียนหัวเราะออกมา “หลายสิบปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ข้าเกรงแต่ว่าเวลาจะล่วงเลยไป ดังนั้นจึงมาเชิญทุกท่านด้วยตัวเอง ทุกท่าน โปรดอย่าปฏิเสธคำเชิญของข้าเลย”

จากนั้นเขาก็นิ่งไปสักพัก ก่อนจะกล่าวอย่างมั่นใจว่า “แต่ข้าขอคุยโวโอ้อวดอย่างหน้าไม่อายไว้หน่อยว่า มันจะต้องกลายเป็นเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่พันปีของแดนภวังค์ทมิฬแน่นอน! …ถึงตอนนั้น สหายเต๋าจากทั่วทุกมุมโลกจะมารวมตัวกัน หากพลาดขึ้นมาคงน่าเสียดายแย่”

ทันทีที่กล่าวจบ เฉินซีผู้นั่งอยู่ด้านล่างก็พลันกล่าวทันทีว่า “ขอข้าเสริมความหน้าไม่อายอีกหน่อยแล้วกัน อย่าว่าแต่หลายสิบปีเลย ต่อให้หลายร้อยหรือหลายพันปี ซิ่วอี้จะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น”

ทุกคนในห้องโถงตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะถึงกับกล่าวตามตรงเช่นนี้

ว่ากันตามตรงแล้ว สถานะของเฉินซีในตอนนี้ด้อยกว่าทุกคนในวันนี้ เขาย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะพูด แต่ทุกคนต่างเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาท

…ทุกคนที่นี่ต่างรับรู้ถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างเฉินซี ปิงซื่อเทียน และชิงซิ่วอี้ ซึ่งถึงจะไม่รู้แน่ชัด ทว่าพวกเขาก็สามารถแยกแยะได้จากวิธีที่เฉินซีกับปิงซื่อเทียนพูดถึงชิงซิ่วอี้

คนหนึ่งเรียกนางว่าศิษย์พี่ชิง

ส่วนอีกคนเรียกนางว่าซิ่วอี้

คนหนึ่งพูดด้วยการให้ความเคารพ อีกคนพูดด้วยความสนิทสนม …ความใกล้ชิดของความสัมพันธ์ต่างแฝงอยู่ในวิธีการพูดเหล่านี้

แน่นอนว่ามันอาจจะมีวิธีอื่นอีก แต่นอกเหนือจากนั้นมันย่อมเป็นสิ่งที่ทุกคนในที่แห่งนี้ไม่สามารถคาดเดาได้

ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัดใจนี้ ปิงซื่อเทียนพลันเงยหน้าขึ้นมองเฉินซีตรง ๆ เป็นครั้งแรก สีหน้าของเขาสงบ แต่ถึงอย่างนั้นกลับเผยศักดิ์ศรีสูงสุดของเซียนสวรรค์ออกมาราวกับกำลังก้มมองมดตัวหนึ่ง!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท