บทที่ 773 แดนข้อจำกัดแรงโน้มถ่วง
บทที่ 773 แดนข้อจำกัดแรงโน้มถ่วง
ณ ชั้นที่ห้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
ครืนนน!
ทันทีที่เขาเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ แรงกดดันพลันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเสียงดังก้องกังวาน
หากชั้นที่ห้าสิบแปดมีแรงกดดันที่กดทับร่างกายอยู่เจ็ดหมื่นห้าพันจิน เช่นนั้นตอนนี้มันก็มีแรงกดดันอยู่ที่เจ็ดแสนห้าหมื่นจิน หรืออาจมากถึงเจ็ดล้านห้าแสนจิน!
แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนี้ปะทะกับเฉินซี ดูราวกับภูเขาที่สูงถึงสองลี้ได้กระแทกใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า!
แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสองทั่วไป ก็อาจจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันของที่นี่ได้… เฉินซีรีบพลิกฝ่ามือ ทำให้ยันต์ศัสตราปรากฏขึ้นจากอากาศ จากนั้นปราณกระบี่ที่ลึกล้ำพลันส่งเสียงหวีดหวิว ขณะที่เขาฟาดฟันแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งอยู่เบื้องหน้าโดยตรง
โชคดีที่การต้านทานแรงกดดันด้วยกำลังนั้นค่อนข้างง่าย เฉินซีจึงก้าวเดินไปข้างหน้า พร้อมกับใช้ยันต์ศัสตราเพื่อฟันแรงกดดันที่ไร้รูปร่างออกจากกัน
แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นข้อจำกัดโบราณ ซึ่งก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติภายในถ้ำกระบี่ มันเหมือนกับมวลคลื่นที่กระแทกเข้าหาชายหนุ่มซ้ำ ๆ ทำให้เฉินซีดูราวกำลังเดินอยู่ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปส่วนใหญ่ ล้วนมุ่งเน้นที่การบ่มเพาะปราณแท้ ทำให้ร่างกายของพวกเขาค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องพึ่งพาสมบัติวิเศษต่าง ๆ เพื่อป้องกันตัว และต้านทานแรงกดดันที่พุ่งเข้าหาพวกเขา
หากวิญญาณโลหิตที่น่าสะพรึงกลัวได้โจมตีพวกเขาอย่างฉับพลันภายใต้ภาวะเช่นนี้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง ด้วยไม่เพียงจะต้องต้านทานแรงกดดันเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องต่อสู้อีกด้วย และความยากของสิ่งนี้ก็ชัดเจนยิ่ง
ซึ่งอาจถึงขั้นที่ปราณเซียนในร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีบางคนก็ยังเหือดแห้งจากแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ก่อนที่จะเห็นวิญญาณโลหิตเสียด้วยซ้ำ และหากพวกเขาไม่มีโอสถวิญญาณเพื่อเติมเต็มปราณแท้ พวกเขาคงได้แต่ออกจากที่นี่ไปด้วยความสลดใจ
ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้พึ่งพาการขัดเกลากายาเพื่อเดินมาถึงจุดนี้ โดยไม่ต้องอาศัยสมบัติวิเศษใด ๆ แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
ครืน!
ปราณรังสรรค์กระบี่มากมายได้แผ่พุ่งออกมาทั้งแนวนอนและแนวตั้ง พวกมันได้สร้างรอยแยกมากมายบนพื้นที่โดยรอบ จากนั้นพวกมันก็ระเบิดแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
เฉินซียังคงก้าวไปข้างหน้าเป็นเวลานาน ในขณะที่แรงกดดันนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ตัวเขาจะใช้เคล็ดร่างแปลงสวรรค์ เปลี่ยนร่างตนเองให้กลายเป็นยักษ์ที่สูงกว่าสี่สิบจั้ง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจขึ้น จากนั้นจึงกำยันต์ศัสตราแน่นและก้าวเดินไปข้างหน้า
อันที่จริง เขาสามารถอาศัยการบ่มเพาะปราณแท้ เพื่อเดินรุดขึ้นไปได้อย่างปลอดภัย เพราะถึงอย่างไร ต้นอ่อนเงาทมิฬภายในร่างกายของเขาก็เติมเต็มปราณแท้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นปัญหาเรื่องความเหนื่อยล้าหรือปราณแท้ไม่พอจึงไม่เกิดขึ้นเลย
แต่เหตุผลที่เฉินซีใช้การขัดเกลากายา ไม่ใช่เพราะแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นกะทันหัน แต่เป็นเพราะเขาต้องการใช้แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนี้กระตุ้นการขัดเกลากายาอย่างดุเดือด!
ณ ปัจจุบัน การขัดเกลากายาของเขาล้าหลังเกินไป และมันอยู่แค่ขอบเขตจุติขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งหลังจากได้บ่มเพาะคัมภีร์กำเนิดเต๋าแห่งนรกขุมที่เก้า มันก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบวิธีการขัดเกลากายาดั้งเดิมและเก่าแก่ที่สุด ซึ่งตัวเขาก็เห็นความหวังที่จะก้าวหน้าบ้างแล้ว
แต่จวบจนถึงวันนี้ เฉินซียังไม่สามารถทำขั้นตอนสุดท้ายได้สำเร็จ!
มันเหมือนกับมีโซ่ตรวนที่ไร้รูปร่างและพันธนาการที่มองไม่เห็น ซึ่งทำให้การขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้นั้นยากที่จะบรรลุขอบเขตสถิตกายา และเฉินซีสามารถเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายได้ยาก เหมือนกับข้อจำกัดที่กำหนดโดยเต๋าแห่งสวรรค์ และก็เหมือนกับข้อจำกัดในวิถีแห่งการบ่มเพาะ ซึ่งดูจะมิอาจเอาชนะได้!
ตั้งแต่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ เฉินซีได้พบว่า ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู พวกเขาต่างก็เป็นผู้บ่มเพาะปราณแท้อย่างเดียว ผู้ขัดเกลากายาอย่างเดียว หรือครอบครองทั้งการบ่มเพาะปราณแท้และการขัดเกลากายาเช่นเดียวกัน แต่การบ่มเพาะของทั้งสองสายจะไม่เท่ากัน หรือไม่สามารถบรรลุขอบเขตสถิตกายาได้อย่างแน่นอน!!
เมื่อก่อนชายหนุ่มไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องแปลก แต่เมื่อการขัดเกลากายาของเขาไม่สามารถก้าวหน้าได้หลังจากที่ผ่านมานาน ในขณะที่ช่องว่างระหว่างมันกับการบ่มเพาะปราณแท้ได้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มจึงเริ่มใส่ใจกับปัญหานี้อย่างระมัดระวัง
“การบรรลุขอบเขตสถิตกายาของทั้งการขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้เป็นไปไม่ได้จริง ๆ หรือ?”
เฉินซีไม่เชื่อว่าข้อจำกัดและโซ่ตรวนดังกล่าวจะมีอยู่บนวิถีแห่งการบ่มเพาะ และเขาต้องการพยายามอย่างเต็มที่ จนกว่าตัวเขาจะล้มเหลว!
เพราะหากการขัดเกลากายาของเขาหยุดลง ณ จุดนี้ มันคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย และถือเป็นการสูญเสียที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้!
ท้ายที่สุดแล้ว พลังอิทธิฤทธิ์ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด เช่น ฝ่ามือมหาดารา ก่ออัสนีผสานดารา ปีกนภาดารกะ เนตรเทวะแห่งความจริง และอื่น ๆ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทุกครั้งที่เขาบรรลุไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้น และอานุภาพของพวกมันจะสูงล้ำเสียจนพลังอำนาจเมื่อกาลก่อนเทียบไม่ติด
เมื่อมาติดชะงักอยู่ที่จุดนี้ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?
นั่นเท่ากับสูญเสียพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวไปมากมาย!
ครืน!
ปราณกระบี่ส่งเสียงคำรามไปบนท้องฟ้า ในขณะที่มันฉีกแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกจากกัน และเฉินซีได้ชักนำแรงกดดันที่เหลืออยู่ให้เข้าสู่ร่างกายของเขา เป็นการขัดเกลาและควบคุมมันอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้เกิดคลื่นเสียงกัมปนาทดังก้องออกมา
แรงกดดันของที่นี่น่ากลัวมากเสียจนผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปยังรู้สึกว่าการขยับนิ้วยังยาก แม้แต่เฉินซีก็กระจายแรงกดดันได้เพียงบางส่วน ก่อนที่จะใช้มันเพื่อขัดเกลาร่างกาย
มิฉะนั้น หากแรงกดดันนี้พุ่งเข้าใส่โดยตรง ร่างกายของชายหนุ่มอาจแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และแม้ว่าเขาจะสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยเลือดเพียงหยดเดียว ตัวเขาก็จะถูกบดขยี้อีกครั้ง ซึ่งหากวัฏจักรนี้เกิดขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด ปราณจ้าววิญญาณของเฉินซีก็จะหมดลง และเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
“วิเศษ พลังในร่างกายข้ากำลังถูกขัดเกลาและควบแน่นมากขึ้นทุกขณะ หากดำเนินต่อไปเช่นนี้ เมื่อตัวข้าถึงขีดจำกัด บางทีข้าอาจจะทะลวงสู่ขอบเขตสถิตกายาได้!” เฉินซีก้าวเดินเป็นเวลานาน และสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของเขาอย่างชัดเจน และหลังจากประสบกับแรงกดดันที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะเล็กน้อย แต่มันก็ถือเป็นการพัฒนาที่ยากจะเกิดขึ้นได้!
แต่แรงกดดันในชั้นที่ห้าสิบเก้านั้นผิดปกติเกินไป ยิ่งลึกเข้าไปเท่าใด มันก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุด เฉินซีก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้เคล็ดอวตารเทพและเคล็ดก่ออัสนีผสานดารา
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน และภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เฉินซีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดและพักผ่อน แต่สิ่งนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากปราณจ้าววิญญาณของเขากำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว และชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพักเพื่อฟื้นฟูพลัง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหยุดพักเป็นครั้งคราว ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป
สามวันต่อมา
หลังจากผ่านไปนาน เฉินซีก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคอยหยุดและพักทุก ๆ ยี่สิบห้าลี้ ซึ่งจนถึงบัดนี้ เขายังคงอยู่ที่ชั้นห้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต! จึงเห็นได้ชัดว่าแรงกดดันที่นี่น่ากลัวปานใด!
ปัง!
เมื่อชายหนุ่มก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง เขาก็หลุดพ้นจากแรงกดดันนี้ ทำให้ร่างกายของเฉินซีผ่อนคลาย ราวกับภูเขาที่หนักถึงเจ็ดสิบห้าล้านจินถูกยกออกจากตัว และความรู้สึกที่ร่างกายเบาหวิวก็มาถึงอย่างกะทันหัน จนเจ้าตัวถึงกับโซเซไปมา
“ในที่สุดข้าก็หลุดพ้นจากสถานที่ผีสิงนั่นได้แล้ว!” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ และถอนหายใจ ตั้งแต่เข้าสู่ชั้นที่ห้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตมาจนถึงตอนนี้ เขาได้เดินมาเกือบสี่วันแล้ว และปราณจ้าววิญญาณในร่างก็เหือดแห้งไปนับครั้งไม่ถ้วน ความยากลำบากในการเดินอยู่ที่นี่ เกือบจะเกินความอดทนของเขาแล้ว!
แต่หลังจากนั้น หัวใจของชายหนุ่มพลันกระตุกวูบ “เหตุใดแรงกดดันที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งจึงหายไป ท้ายที่สุดแล้ว สถานที่นี้ยังอยู่ในชั้นที่ห้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต…”
กระทั่งตัวเขาก็นึกขึ้นได้ว่า ระหว่างทางที่ผ่านมา เขาไม่เคยพบวิญญาณโลหิตแม้แต่ตนเดียว!
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น?”
“ผู้ใดกัน! หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่ถูกจำกัดและไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามา?” ในขณะนี้ เสียงทุ้มต่ำพลันดังก้องอยู่ข้างหูของเฉินซี
“มีคนอยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาจึงกวาดสายตามองโดยใช้เนตรเทวะแห่งความจริง ..ที่แห่งนี้ยังคงเป็นชั้นที่ห้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต ดังนั้นจิตสัมผัสเทพของชายหนุ่มจึงถูกจำกัดให้แผ่ออกไปได้เพียงสิบสองฉื่อมานานแล้ว ทำให้มันด้อยกว่าการมองด้วยตาเปล่าด้วยซ้ำไป
หืม? ด้วยการช่วยเหลือของเนตรเทวะแห่งความจริง เฉินซีก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่า มีชายชราในชุดสีเทากำลังนั่งสมาธิอยู่หน้าช่องเขาที่อยู่ห่างออกไปสิบห้าลี้
ชายชราที่สวมชุดสีเทาคนนี้มีสีหน้าเย็นชา กำลังหลับตาอยู่ แต่ซูบผอมเป็นอย่างมาก และร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยปราณเซียน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีของนิกาย
แต่เฉินซีไม่เคยเห็นชายชราในชุดสีเทาคนนี้มาก่อน และอีกฝ่ายน่าจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสเหล่านั้นที่ปลีกวิเวกจากโลกภายนอก
และชายหนุ่มก็รู้เช่นกันว่า นอกจากผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่ดำรงตำแหน่งในนิกายแล้ว ยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีกลุ่มใหญ่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ที่เลือกจะเข้าสู่การปิดด่านบ่มเพาะอยู่รอบ ๆ นิกาย ปลีกวิเวกจากผู้คน โดยคนเหล่านี้ต่างก็เป็นตัวตนที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชีวิตมาอย่างยาวนาน และถือเป็นกองหนุนซ่อนเร้นที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง!
เช่นเดียวกับวิปลาสหลิ่วผู้เป็นปรมาจารย์แห่งยอดเขาจรัสตะวันตกและเป็นผู้ละทิ้งสวรรค์ ความแข็งแกร่งของเขาเองก็ได้บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์เมื่อนานมาแล้ว อีกทั้งตัวเฉินซีเองก็สงสัยมานานแล้วว่า อาจมีผู้ละทิ้งสวรรค์อยู่ในนิกายมากกว่านี้ แค่ว่าพวกเขาไม่เป็นที่รู้จักเท่านั้น
“เอ๊ะ! เด็กน้อย ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ที่ขอบเขตสถิตกายาขั้นสมบูรณ์เท่านั้น แต่เจ้ากลับสามารถมาถึงชั้นที่ต่ำกว่าชั้นที่ห้าสิบห้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตได้ และกระทั่งผ่านพ้นแรงกดดันของแดนข้อจำกัดแรงโน้มถ่วงจนมาถึงที่นี่ได้ หรือว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่สองแล้ว?”
ชายชราที่สวมชุดสีเทาดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ดวงตาที่หลับสนิทพลันเบิกอย่างกะทันหัน การจ้องมองอย่างเย็นชาของเขาเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมา ก่อนที่จะพินิจเฉินซีตั้งแต่ศีรษะลงล่าง แล้วอดไม่ได้ที่จะตกใจ ทำให้ใบหน้าที่ซูบตอบและเฉยเมยเปลี่ยนไป
“เจ้าเป็นศิษย์ชั้นยอดจากยอดเขาจรัสเทวะหรือ? ใครคืออาจารย์ของเจ้า?”
เฉินซีตระหนักได้ในฉับพลันว่า พื้นที่ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้คือแดนข้อจำกัดแรงโน้มถ่วง และเป็นแดนข้อจำกัดโบราณจริง ๆ
อีกทั้งชายหนุ่มยังพบว่า เนื่องจากชายชราชุดเทาได้นั่งบ่มเพาะอยู่ที่หน้าช่องเขา ย่อมหมายความว่าชายชราได้ก้าวข้ามแดนข้อจำกัดแรงโน้มถ่วงมาแล้ว และความแข็งแกร่งของเขาก็คงจะเหนือกว่าขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่สองเป็นอย่างน้อย!
ในทางกลับกัน หากเฉินซีระเบิดพลังในร่างกายทั้งหมด เขาก็แทบไม่อาจต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับที่สามได้อย่างทัดเทียมกัน ยิ่งกว่านั้น นั่นเป็นเพียงกรณีของผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปเท่านั้น ถึงอย่างไร ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็เป็นตัวตนที่น่าเกรงขาม อีกทั้งยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีฝีมือร้ายกาจบางคนที่ไม่อาจหยั่งถึงพลังต่อสู้ แม้จะอยู่ในระดับการบ่มเพาะที่ต่ำก็ตาม …ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถประเมินพลังของชายชราชุดเทาต่ำเกินไปได้!
“ศิษย์มีนามว่าเฉินซี และอาจารย์ของศิษย์คือวิปลาสหลิ่ว” เฉินซีกล่าว
“ศิษย์ของเจี้ยนเหิงหรือ?” ชายชราชุดเทารู้สึกประหลาดใจ “นึกไม่ถึงว่าสหายที่วิกลจริตเช่นเขา จะมีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้ เจ้าเข้าร่วมนิกายมานานแค่ไหน เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?”
“ศิษย์เพิ่งเข้าร่วมนิกายได้ไม่ถึงห้าปี” เฉินซีกล่าว
เขาได้บ่มเพาะเป็นเวลากว่าสี่สิบปีในโลกแห่งดารา และมันก็เท่ากับสี่ปีในโลกภายนอก ดังนั้นหากรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน มันก็ราว ๆ ห้าปี!
“ประเสริฐ!” ชายชราในชุดสีเทาถอนหายใจ
“นึกไม่ถึงเลย หลังจากข้าไม่ได้ปรากฏตัวในโลกเพียงไม่กี่ร้อยปี ศิษย์ที่โดดเด่นเช่นเจ้ากลับปรากฏตัวขึ้นภายในนิกายจริง ๆ” ทันใดนั้น สีหน้าของชายชราก็เคร่งขรึม จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า “เฉินซี เจ้าควรรีบจากไปโดยเร็ว ชั้นที่อยู่ต่ำกว่าชั้นที่ห้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตนั้นอันตรายเกินไป และแม้แต่ข้าที่มี ‘สมบัติ’ ก็ยังยากจะข้ามผ่าน แม้ว่าความแข็งแกร่งของเจ้าจะท้าทายสวรรค์ แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ และมันจะรังแต่ทำร้ายตัวเจ้าเอง หากเจ้าเข้าไปโดยผลีผลาม”
“ไม่เพียงพอหรือ?” เฉินซีขมวดคิ้วและรู้สึกไม่เชื่ออีกฝ่าย แต่ที่เขาสงสัยมากที่สุดคือ ‘สมบัติ’ ที่ชายชราชุดเทากล่าวถึงนั้นคือสิ่งใด?
“เจ้าหนู หรือเจ้าสงสัยในคำพูดของข้า เป็นเพราะเจ้าคิดว่าตนเองพอจะมีฝีมืออยู่บ้าง?” ชายชราชุดเทากล่าวด้วยความไม่พอใจ “จำไว้ว่าสวรรค์นั้นอิจฉาคนที่โดดเด่น และเป็นเรื่องง่ายที่จะล้มตาย เพราะไม่รู้จักยอมใคร แม้พรสวรรค์ของเจ้าจะน่าทึ่ง และความแข็งแกร่งของเจ้าจะท้าทายสวรรค์ แต่การระมัดระวังและสงบเสงี่ยมเจียมตัวย่อมดีกว่าเสมอ …อย่าได้จองหองและหยิ่งยโสเหมือนศิษย์คนอื่น ๆ”
เฉินซีตกตะลึง จากนั้นเขาพลันป้องมือคำนับแล้วกล่าว “ผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง แต่ข้าแค่อยากรู้ว่า มีอันตรายอันใดอยู่ภายใต้ชั้นที่ห้าสิบเก้าของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตหรือขอรับ”