บทที่ 75 กลุ่มหมอก
Ink Stone_Fantasy
แน่นอนว่า เหล่าเฝิงไม่ได้นั่งเก้าอี้ไม้ลำพังในทุกวันเยี่ยมนักโทษ
เมื่อช่วงเวลานี้มาถึง เหล่าเฝิงมักจะอยู่ตัวคนเดียว อย่างมากก็มีโจวเสี่ยวคุนมาอยู่เป็นเพื่อนเขาบางครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนเคย
ข้างกายเหล่าเฝิงเต็มไปด้วยสหายในคุก…พี่น้องในคุกมากมาย
“อ๊า โธ่เอ๊ย ไม่ได้กินข้าวมาหรือไง แรงๆ หน่อยสิ!”
ตอนนี้เหล่าเฝิง…แน่นอนว่าคือเหล่าเฝิงในเวอร์ชั่นไท่อินจื่อ เขากำลังหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับเครื่องบรรณาการจากสหายและพี่น้องในคุก
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะ บรรณาการในที่นี้หมายถึงการนวดจริงจัง
“หยุดทำไมล่ะ”
แต่ตอนนี้มือที่อยู่บนไหล่ของไท่อินจื่อกลับหยุดลงกะทันหัน ทำให้ไท่อินจื่อรู้สึกไม่พอใจ เขาลืมตาขึ้น ตอนที่กำลังจะสั่งสอนอย่างเดือดดาล จู่ๆ เขากลับหล่นลงมาจากเก้าอี้
สาเหตุที่ตัวเขาหล่นลงมาก็คือ…
ไท่อินจื่อรีบลุกขึ้นมาจากพื้น ดูไม่มีความน่าเกรงขามของหัวหน้าแก๊งอยู่เลย ใบหน้าเขาดูอ่อนน้อมถ่อมตน “ข้าไม่รู้ว่าคุณโยวเย่จะมาที่นี่ ขอโทษขอรับ อภัยให้ข้าด้วย อภัยให้ข้าด้วย!”
สำหรับภูตแก่อายุห้าร้อยปีอย่างไท่อินจื่อแล้ว คำพูดเช่นนี้นับว่าไม่เป็นปัญหา
อีกทั้งคุณสาวใช้ที่เคยติดต่อกับคนโบราณก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาเช่นกัน
ครั้นแล้วคุณสาวใช้ก็หัวเราะคิกคัก พูดว่า “ไท่อินจื่อ ฉันศึกษาวัฒนธรรมตะวันตกมา ดูเหมือนคนแบบนายในตอนนี้น่าจะเรียกว่า ‘ทรราช’? ไท่อินจื่อ ใช้ชีวิตไกลหูไกลตาดีอยู่ไหม”
“คือ…คือว่า…” ไท่อินจื่อจ้องไปทางสหายร่วมคุกที่ตัวนิ่งค้าง
เวลายังคงเดินไป เพียงแค่คนอื่นๆ ต่างอยู่ในสภาวะตัวแข็งทื่อชั่วคราว
ไท่อินจื่อเหงื่อชุ่มไปทั่วศีรษะ เขาเอ่ยปากอธิบายว่า “คุณโยวเย่ อย่าเข้าใจผิดนะขอรับ! อย่าให้การกระทำเหล่านี้หลอกได้นะขอรับ พวกเขามาเกาะติดข้าอยู่ที่นี่เองขอรับ! ความจริงแล้ว…ข้าซื่อสัตย์ต่อนายท่านมาก! ฟ้าดินเป็นพยาน!”
โยวเย่พูดอย่างเฉยเมยว่า “ในเมื่อซื่อสัตย์ขนาดนี้ งั้นอีกสักเดี๋ยวนายก็แก้ปัญหาดีๆ ล่ะ จำไว้ว่าอย่าพูดมั่วซั่วให้สิ้นเปลืองทรัพยากรของนายท่านล่ะ”
“ขอรับๆๆ…” ไท่อินจื่อรีบพยักหน้ารับ แล้วก็ชะงักไป เขาเงยหน้าขึ้นพูดว่า “หืม? สิ้นเปลืองทรัพยากร? ข้าน้อยโง่เขลา คุณโยวเย่โปรดอธิบาย…”
คุณสาวใช้เหล่ตามองแล้วพูดเสียงเบาว่า “ไท่อินจื่อ นายไม่รู้หรือว่า ตอนนี้นายท่านไม่สบายใจเรื่องของนาย”
ไท่อินจื่อพูดอย่างตกใจว่า “คุณโยวเย่ นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
คุณสาวใช้พูดอย่างเฉยเมยว่า “ไท่อินจื่อ นายต้องถาม ‘ลูกสมุนมือดี’ ของนายแล้วล่ะ”
“ลูกสมุน?” ไท่อินจื่อตะลึง ถามอย่างระมัดระวังว่า “คนไหนหรือ”
“นายมีลูกสมุนเยอะมากงั้นเหรอ” โยวเย่ย้อนถาม
ไท่อินจื่อส่ายหน้าอย่างแรง พูดว่า “เปล่าขอรับ! รอบตัวข้าสะอาดหมดจด จะมีลูกสมุนได้อย่างไร! จะต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ!”
โยวเย่พูดอย่างเฉยเมยว่า “ฟังนะ เจ้าอ้วนจางให้คนข้างนอกจับตัวถาวซย่ามั่นมาเยี่ยมนักโทษ เพื่อให้ ‘ช่าง’ อย่างนายมีความสุข”
“อ้อ อย่างนี้เอง…” ไท่อินจื่อพยักหน้า ทำท่าลูบเคราที่ไม่มีอยู่จริง พลางพยักหน้าพูดว่า “อืม ที่จริงเจ้าอ้วนจางคนนี้ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ ไม่เลวๆ”
สักพัก ไท่อินจื่อถึงนึกบางอย่างได้ แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “ซวยแล้ว!”
…
มืดแล้ว บนถนนตั้งกระโจมเอาไว้ ทีมค้นหากลุ่มหนึ่งเริ่มการค้นหาตามริมสองฝั่งของถนน เพราะท้องฟ้ามืดสลัว แม้แต่เฮลิคอปเตอร์ก็เริ่มทำงาน
เวลานี้ มีรถสองคันขับมาแต่ไกล คันหนึ่งเป็นรถตำรวจ อีกคันเป็นรถที่เรือนจำใช้คุมนักโทษ
ทันทีที่ลงจากรถ เซอร์หลินก็กัดขนมปังพลางรีบเดินมามองดู “ผมบอกให้คุณพาเจ้าอ้วนจางมาไม่ใช่เหรอ ทำไมพามาตั้งหลายคน”
นายตำรวจประจำคุกก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ลากหลินเฟิงมาข้างๆ แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “เซอร์หลิน คุณต้องเตรียมใจ…”
“อะไรนะ”
“เซอร์หลิน ผมคิดว่าครั้งนี้เราปล่อยไก่เต็มๆ เลยครับ…”
“พูดให้เคลียร์สิ!” หลินเฟิงยังสงบนิ่ง…แม้ว่าเขาจะพอเดาคำตอบได้เลือนรางแล้วก็ตาม
นายตำรวจถอนหายใจพูดว่า “นั่นคือเจ้าอ้วนจาง ชายแก่ที่อยู่ข้างๆ นั่นคือเฝิงกุ้ยชุน แล้วก็นักโทษที่สวมแว่นคนนั้นชื่อโจวเสี่ยวคุน ข้างๆ เขานั่นคือโจวเสี่ยวเผิง เป็นน้องชายแท้ๆ ของโจวเสี่ยวคุน เซอร์หลิน ฟังผมนะ เรื่องมันเป็นอย่างนี้…”
เซอร์หลินที่กำลังเคี้ยวขนมปังอยู่ก็หยุดเคี้ยวทันที หลังจากตำรวจนายนี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังจนจบ หลินเฟิงก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาย้อนถามอย่างตะลึง “เพียงเพื่อไหว้ครู?”
“อื้ม ใช่แล้ว เพียงเพื่อไหว้…เซอร์หลิน เซอร์หลินคุณเป็นอะไรไป เซอร์หลิน อย่าทำให้ผมตกใจสิ!”
นายตำรวจรีบพยุงหลินเฟิงเอาไว้…ดูเหมือนว่าหลินเฟิงจะขาอ่อนไปชั่วขณะ ท่าทางเขาดูโซเซ
“เดี๋ยวก่อน พวกคุณบอกว่า ซย่ามั่นเป็น…ลูกสาวของคุณลุงคนนี้?”
คิดไม่ถึงว่าเสียงโจวจื่อเหาจะดังขึ้นมาทันที
ไม่รู้ว่าเขาฟังอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เกรงว่าเขาคงได้ยินที่หลินเฟิงคุยกับลูกน้องทั้งหมดแล้ว “เป็นไปได้ยังไง…พ่อของซย่ามั่นไม่ใช่…ไม่สิ ที่แท้ซย่ามั่นก็ถูกรับมาเลี้ยง”
นายตำรวจเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ยักไหล่พูดว่า “คุณโจว ผมให้คนไปตรวจสอบทะเบียนบ้านแล้ว ก่อนที่จะเข้าคุก เฝิงกุ้ยชุนมีลูกสาวชื่อเฝิงซย่ามั่น ถ้าเทียบอายุดูก็ตรงกับอายุของว่าที่ภรรยาคุณพอดีเลยครับ ส่วนหลักฐานยังไม่แน่ชัด พวกผมต้องไปตรวจสอบข้อมูลของมูลนิธิในปีนั้นดู แต่ถ้าให้ง่ายหน่อย บางทีคุณน่าจะลองถามพ่อแม่ปัจจุบันของถาวซย่ามั่นดูนะครับ นี่เป็นขั้นตอนที่เร็วที่สุดแล้ว”
โจวจื่อเหาเงียบไปครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ต้องหรอก…นี่น่าจะเป็นเรื่องจริง”
เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ถาวซย่ามั่นไม่เคยเปิดเผย แม้แต่ผู้ใหญ่ตระกูลถาวทั้งสองท่านก็ไม่เคยพูดถึงมาก่อน เหมือนว่านั่นเป็นเรื่องต้องห้าม
แต่โจวจื่อเหามีเรื่องที่ยังคิดไม่ตกอยู่เรื่องหนึ่ง
เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ พลางขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้ากลุ่มนักโทษที่ถูกผู้คุมคุมตัวไว้ เขามอง ‘เฝิงกุ้ยชุน’ ตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า
อีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน
แต่โจวจื่อเหาเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนไม่รู้จักตนเลยนั้น โจวจื่อเหาจึงเรียกชื่อดูว่า “ช่าง…โจว?”
“ไอ้เด็กนี่พูดอะไร”
“คุณไม่รู้จักผมเหรอ” โจวจื่อเหาถามเสียงทุ้มต่ำ
“ทำไมฉันต้องรู้จักแกด้วย”
โจวจื่อเหาขมวดคิ้ว ถามผู้คุมนักโทษที่อยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงเกรงใจว่า “พี่ชาย ขอถามหน่อยครับ คุณลุงคนนี้อยู่ในคุกตลอด ไม่เคยออกมาเลยหรือครับ”
ผู้คุมเห็นว่าโจวจื่อเหาเป็นพวกเดียวกับทีมหลิน และไม่รู้ประวัติของเขา คิดว่าเขาเป็นตำรวจ จึงตอบไปว่า “เหล่าเฝิงคนนี้มีโทษฆ่าคน ติดคุกมาสิบกว่าปีแล้ว ออกไปไหนไม่ได้แน่นอน”
“โทษ…ฆ่าคน?” สีหน้าโจวจื่อเหาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
จนถึงตอนนี้ เขาถึงได้เข้าใจว่า ทำไมซย่ามั่นถึงไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย
โจวจื่อเหาเงียบไปชั่วครู่ สูดหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วมองไปที่ ‘เหล่าเฝิง’ อีกครั้ง เขาถามอย่างลังเลว่า “คุณลุง ข้างนอกนี้ผมเจอช่างตัดเสื้อแก่ๆ คนหนึ่งแซ่โจว ไม่ทราบว่าคุณรู้จักไหมครับ”
“ช่างตัดเสื้อแก่ๆ แซ่โจวอะไรกัน…อ้อ อ๊า นึกออกแล้ว” ‘เหล่าเฝิง’ ตบกบาลตัวเอง พูดด้วยท่าทางจริงจัง “นั่นเป็นน้องชายฉันเอง!”
“น้องชาย?”
“ฉันมีน้องชายฝาแฝดอีกคนน่ะ” ‘เหล่าเฝิง’ ทำท่าครุ่นคิด “ตอนเด็กๆ บ้านฉันจน เลี้ยงลูกสองคนไม่ไหว ก็เลยยกลูกคนหนึ่งไปให้คนอื่นเลี้ยง พอโตแล้วถึงกลับมา”
“อย่างนี้นี่เอง มิน่าล่ะ…มิน่าล่ะ” โจวจื่อเหาพยักหน้า
มิน่าช่างโจวคนนั้นถึงดูคร่ำครึและประหลาด มิน่าสายตาที่เขามองตนถึงดูแปลกๆ แถมยังไม่ยอมเปิดเผยตัวตนอีกด้วย แม้กระทั่งตอนที่ไปบ้านของเขาก็ยังใส่ผ้าปิดปากไว้
คิดๆ แล้วก็เพราะไม่อยากให้ซย่ามั่นจำได้…ที่แท้เขาก็คืออาแท้ๆ ของซย่ามั่น
โจวจื่อเหาถอนหายใจ แล้วไม่ได้ถามอะไรต่อ
เขามองดูชายแก่ที่ถูกผู้คุมคุมอยู่ไกลๆ…นี่คือพ่อแท้ๆ ของซย่ามั่น สำหรับโจวจื่อเหาแล้ว มันออกจะประหลาดสักหน่อย
“แล้วคุณโจว ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” หลินเฟิงเดินเข้ามา
โจวจื่อเหาส่ายหน้า ถอนหายใจพูดว่า “เจ้าหน้าที่หลิน ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือหาว่าที่ภรรยาผมให้เจอ เรื่องอื่นค่อยว่ากันเถอะครับ”
“คุณวางใจเถอะ ผมส่งคนออกไปแล้ว จะต้องเจอตัวคุณถาวแน่นอน”
โจวจื่อเหาได้แต่พยักหน้ารับ
เวลานี้ ตรงรถคุมนักโทษกลับดูวุ่นวาย
…
“โอ๊ยยย! ลูกพี่ อย่าตีผม อย่าตีผม…เจ็บๆ!”
“แม่แกสิ!”
เวลานี้เจ้าอ้วนจางกำลังบิดหูข้างที่ไม่ได้ถูกกัดของเฉียงจื่อ เขาโกรธจนหน้าสั่น แล้วเริ่มด่าว่า “ฉันให้แกไปหาคน ก็คือให้ไปเชิญเขามา! แล้วแกทำบ้าอะไรลงไป! ลักพาตัว? ฉัน ฉันๆๆ อยากให้ไอ้ปัญญาอ่อนอย่างแกตายไปซะตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย! ฉัน ฉันๆ จะตีไอ้โง่อย่างแกให้ตายไปเลย! เอาให้ความจำแกเลอะเลือน! ให้แกความจำเสื่อมไปเลย!”
เจ้าอ้วนจางทุบกำปั้นลงไปที่ไหล่เฉียงจื่อไม่หยุด หลินเฟิงที่เดินเข้ามาเห็นก็ขมวดคิ้ว ตะโกนสั่งเสียงเข้มว่า “โวยวายพอหรือยัง! ยังก่อเรื่องกันไม่พออีกหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้!”
“คือว่า…คุณตำรวจครับ ผมแค่อยากสั่งสอนไอ้บ้านี่เท่านั้น! ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สบายใจเป็นแน่!” เจ้าอ้วนจางรีบพูด “คุณตำรวจดูสิ มันทำให้ทุกคนยุ่งยากไปหมดเลย”
หลินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือแก! เอาล่ะๆ ไปกันได้แล้ว! ถ้าไม่ใช่การลักพาตัวก็ไม่ผิดกฎหมาย ทำผิดอะไรไว้ก็ลงโทษตามนั้น พวกแกหนีไม่รอดแม้แต่คนเดียว!”
“ครับๆๆ คุณตำรวจคุณพูดถูกแล้ว คุณให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นแหละ!”
แล้วผู้คุมก็พูดขึ้นว่า “หัวหน้าหลิน นักโทษพวกนี้ออกมานานแล้ว เราไม่ได้ทำขั้นตอนพาคนออกมา คุณก็เห็นว่า…”
หลินเฟิงพยักหน้าพูดว่า “อืม ผมรู้แล้ว คุณพานักโทษกลับคุกก่อนเถอะ ผมจะให้คนไปดูแลความปลอดภัยให้คุณเอง”
“ขอบคุณครับหัวหน้าหลิน!”
…
…
บนเนินเขาข้างถนน ปรากฏเงาคนหนึ่ง…คุณสาวใช้ของสมาคมนี่เอง
คุณสาวใช้เดินไปข้างหน้าสองก้าว ก็ไปอยู่ข้างๆ นายท่านแล้ว…ส่วนลั่วชิวมายืนอยู่ตรงนี้ก่อนแล้ว เขามองดูแสงไฟบนถนนด้านล่าง
โยวเย่เงยหน้าขึ้นมองเฮลิคอปเตอร์ที่วนไปมาอยู่ใกล้ๆ แวบหนึ่ง แล้วพูดเสียงเบาว่า “นายท่าน ถ้ามีทีมค้นหาละก็ ไม่ช้าก็เร็วถาวซย่ามั่นจะต้องได้ยินเสียงนะคะ”
ลั่วชิวพยักหน้า เขาพูดขึ้นมาทันทีว่า “รอมาสิบกว่าปีแล้ว…ให้เวลาคุณลุงอยู่กับลูกสาวหน่อยเถอะ”
เจ้าของสมาคมโน้มตัวไปข้างหน้า ก่อนโบกมือออกไปหนึ่งที
ทันใดนั้นก็เกิดกลุ่มหมอกขึ้นบริเวณใกล้ๆ นี้