บทที่ 776 แบ่งสมบัติ
บทที่ 776 แบ่งสมบัติ
ทุกคนมีความสุขมากหลังได้ยินดังนั้น เนื่องด้วยวิญญาณอัสนีที่ก่อตัวขึ้นจากวิญญาณโลหิตนั้น ซุกซ่อนอยู่ในแดนจำกัดอัสนี จึงส่งผลให้ญาณเทวะอมตะไม่สามารถตรวจจับถึงมันได้ ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงตกอยู่ในภาวะระแวดระวังตลอดเวลา
พวกเขากระทั่งยอมเสี่ยง และเลือกใครสักคนเป็น ‘เหยื่อ’ เพื่อล่อมันออกมา
ทว่าการปรากฏตัวของเฉินซีกลับไม่ต่างจากสวรรค์ประทานพร ชายหนุ่มทำให้ปัญหาตรงหน้าถูกปัดเป่าอย่างง่ายดาย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร?
ซุนตงฮวาถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เฉินซี พลังอิทธิฤทธิ์ที่เจ้าพูดถึง ใช่เนตรกระจ่างลึกล้ำหรือไม่?”
เฉินซีส่ายหน้าแทนคำตอบ
“หรือว่าจะเป็นเนตรเชื่อมสวรรค์?” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกคนหนึ่งถามต่อ
ชายหนุ่มยังคงส่ายหน้า
“ในเมื่อไม่ใช่ทั้งเนตรกระจ่างลึกล้ำ และเนตรเชื่อมสวรรค์ ถ้าเช่นนั้นก็…” ผู้เยี่ยมยุทธ์ของเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ เริ่มครุ่นคิดทั้งคิ้วขมวด ก่อนจะเผยความตกตะลึงออกมาบนใบหน้า “คงไม่ใช่เนตรเทวะแห่งความจริงหรอกกระมัง?”
เฉินซีพยักหน้า “ผู้อาวุโส ช่างตาถึง ศิษย์บ่มเพาะวิชาเนตรเทวะแห่งความจริงขอรับ”
จริงอยู่ที่พวกเขาพอจะมองออก แต่กระนั้นก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี เมื่ออีกฝ่ายยืนยันในสิ่งที่คาดเดา จากนั้นทุกคนก็เริ่มพินิจมองชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับเพิ่งเคยพบกับเฉินซีเป็นครั้งแรก
ตามที่พวกเขารู้ เนตรเทวะแห่งความจริงเป็นดั่งพลังอิทธิฤทธิ์ต้องห้ามที่ถูกลบล้างไปในสายธารแห่งกาลเวลา และกลายเป็นตำนานมานับชั่วอายุได้
แต่ตอนนี้มันกลับปรากฏขึ้นอีกครั้งบนโลก และอยู่ในความครอบครองของชายหนุ่มผู้หนึ่ง …หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มันคงจะได้เกิดความโกลาหลกันน่าดู!
โดยเฉพาะแสงแห่งการทำลายล้าง ซึ่งอยู่ภายในเนตรเทวะแห่งความจริง ว่ากันว่ามันสามารถปิดผนึกมหาเต๋าและสกัดกั้นกระบวนท่าโจมตีทั้งหมดได้ อีกทั้งมันยังเป็นหนึ่งในสามสิบอันดับแรกของเทียบพลังอิทธิฤทธิ์ทองคำในสามภพด้วย ดังนั้นพลังของมันจะต้องน่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ!
ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเคราสีดำนามว่าอวี้เฟิง ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับหกที่ภายนอกดูเป็นคนสงบนิ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นจนหายใจไม่ทัน เขาหัวเราะลั่น “ดี! ดี! ดี!”
ไม่แน่ใจนักว่าคำเยินยอเมื่อครู่นี้เขามีให้เฉินซีหรือเนตรเทวะแห่งความจริงกันแน่
บรรดากลุ่มคนเครายาวคนอื่น ๆ ก็ยิ้มเช่นกัน พวกเขามีท่าทีอบอุ่นเป็นกันเอง สายตาอ่อนโยนจับจ้องไปยังเฉินซีราวกับว่าอีกฝ่ายมีศักดิ์อาวุโสไม่ต่างจากพวกเขามากนัก
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มสับสนเล็กน้อย
ทว่าในเวลาไม่นาน เขาก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดจากอวี้เฟิง หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้าก่อนจะพูด “ศิษย์จะไม่เชื่อฟังคำชี้แนะจากผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน?”
อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะ พวกเขารู้สึกชื่นชมเฉินซีมากขึ้นไปอีก เจ้าหนุ่มคนนี้มีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่เทียบเท่ากับขอบเขตเซียนปฐพีระดับสาม ทั้งที่ตอนนี้ยังบรรลุถึงเพียงขอบเขตสถิตกายา และนอกจากความโดดเด่นที่เกินใครแล้ว เขายังมีนิสัยสุภาพเรียบร้อย หากไม่บอกว่าเป็นศิษย์ของวิปลาสหลิ่วละก็ พวกเขาก็มีแผนจะจับตัวเฉินซีไปเลี้ยงดูเป็นศิษย์ให้จงได้!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดลงมาครั้งใหญ่ เฉินซีถือยันต์ศัสตราไว้ในมือขณะที่ปล่อยให้ปลายของมันพัดไปบนอากาศ ฉีกกระชากสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่า! …ด้วยการโจมตีนี้ พายุแห่งสายฟ้าที่เคยโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง มันก็เหลือแต่สายฟ้าผ่าเส้นบางให้เห็น ซึ่งเป็นส่วนที่ชายหนุ่มปล่อยให้มันซัดลงสู่ร่างกายของเขาอย่างจงใจ
สิบจั้ง สามสิบจั้ง หนึ่งร้อยจั้ง… ยิ่งเข้าไปในแดนจำกัดอัสนีลึกมากเท่าไร คลื่นสายฟ้าเหล่านี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น แม้แต่รัศมีทำลายล้างก็ยังขยายตัวเป็นวงกว้างเช่นกัน ทว่าเฉินซียังคงเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างความระคายให้เขาได้
เฉินซีได้พูดคุยกับอวี้เฟิงและคนอื่น ๆ แล้วว่าเขาจะรับบทเป็น ‘เหยื่อ’ เพราะด้วยวิธีนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอันตรายใด ๆ ที่มาแผ้วพาน เนื่องจากวิญญาณอัสนีไม่สามารถลอบโจมตีชายหนุ่มได้แน่นอน ด้วยการช่วยเหลือของเนตรเทวะแห่งความจริง และหากมันปรากฏตัวขึ้นมาแม้เพียงแวบเดียวก็ตาม เฉินซีก็จะมองเห็นมันได้ในทันที!!
นอกจากนี้ เฉินซีจำต้องเล่นกลเหมือนกับครั้งก่อนหน้าเพื่อที่จะล่อวิญญาณอัสนีให้ออกมา เขาสาวเท้าไปเบื้องหน้าพร้อมกับบ่มเพาะร่างกายโดยใช้สายฟ้า เพื่อเป็นการหลอกล่อให้อีกฝ่ายเกิดความสับสนไปด้วยในตัว
ในอีกด้านหนึ่ง อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ ช่วยกันคุ้มกันชายหนุ่มด้วยญาณเทวะอมตะ หากยามใดมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น พวกเขาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อจัดการกับวิญญาณอัสนีให้สิ้นซาก
และพวกเขาหาได้กังวลว่าวิญญาณอัสนีจะหนีไปได้ เพราะด้วยความช่วยเหลือจากเนตรเทวะแห่งความจริง ต่อให้อีกฝ่ายหลบหนี มันก็ยังต้องทิ้งร่องรอยให้ตามเจอจนได้!
“เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้บ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ได้ถึงระดับหมื่นกระบี่รวมหนึ่งแล้ว เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์เต๋าแห่งกระบี่!” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสูดหายใจเฮือกใหญ่เพราะความตกตะลึง
“นั่นสินะ ยิ่งเราได้ทำความคุ้นเคยกับเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งมีเรื่องน่าตกใจให้ได้เห็นมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เราออกไปจากที่นี่ เห็นทีจะต้องจับเข่าคุยกับหัวถิงแล้ว อย่างไรการให้เจ้าหนุ่มนี่ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้านิกายก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลว”
“พูดอีกก็ถูกอีก!”
อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ คอยสอดส่องไปรอบ ๆ ตัวอย่างระมัดระวัง พลางลอบสังเกตเฉินซีไปด้วย
…ตอนที่ได้เห็นปราณกระบี่ที่แผ่กระจายเป็นวงกว้างเพื่อเปิดทางในแดนจำกัดอัสนีอย่างง่ายดายของเฉินซี พวกเขาก็ยังเผลอชื่นชมอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้นเอง เฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว
ท่าทางที่ผิดปกตินี้ทำให้อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ จริงจังมากขึ้น และพร้อมตั้งรับสำหรับการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยความตื่นตัว
นั่นคือวิญญาณอัสนี! …ตอนนั้นเอง เฉินซีพลันกวัดแกว่งกระบี่ในมือเพื่อตัดผ่าสายฟ้าออกจากกัน พร้อมกับมองประเมินสายฟ้าเส้นเล็กที่อยู่ห่างออกไปหกลี้จากมุมสายตา
หากมองด้วยตาเปล่า สายฟ้าฟาดเส้นนั้นมีความยาวเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น มันบางละเอียดประหนึ่งเส้นใยแมงมุมที่ก่อตัวขึ้นจากสายฟ้าอันทรงพลัง ท่ามกลางสนามพลังสายฟ้าโหมกระหน่ำ มันเป็นเพียงสายฟ้าที่หน้าตาดูธรรมดาเท่านั้น และด้วยลักษณะเช่นนี้เอง จึงไม่แปลกที่จะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น!
ทว่าภายใต้การสอดส่องของเนตรเทวะแห่งความจริง สายฟ้าเส้นนี้กลับมีรูปลักษณ์แตกต่างออกไป มันคือร่าง ๆ หนึ่งที่ขดตัวเป็นอสนีบาตสีแดงก่ำซึ่งมีขนาดมหึมาด้วยความสูงสามสิบจั้ง รูปร่างของมันบิดเบี้ยว นัยน์ตาแดงฉาน ห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นที่ดุดันไร้ความปรานี และบัดนี้ มันกำลังจ้องมองยังเฉินซีด้วยแววตาเยือกเย็น!
ฟิ้ว!
เมื่อเห็นว่าเขาหยุดเคลื่อนไหว ร่างขนาดใหญ่นี้ก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ ท่ามกลางทะเลสายฟ้า ในที่สุดมันก็หยุดเคลื่อนไหวเมื่ออยู่ใกล้อีกฝ่ายราวสิบจั้ง และสังเกตพื้นที่โดยรอบเงียบ ๆ
เฉินซีแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาแกว่งกวัดกระบี่ออกไปตัดสายฟ้ารอบตัวอย่างไม่ได้สนใจอะไร ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตกใจไม่น้อยที่วิญญาณอัสนีตนนี้มีความระมัดระวังตัวอย่างมาก เพราะนั่นหมายความว่ามันมีสติปัญญาที่สูงพอควร!
เปรี๊ยะ!
หลังจากที่รอคอยด้วยความอดทนมาตลอดหนึ่งเค่อ ในที่สุดวิญญาณอัสนีก็เป็นฝ่ายสิ้นความอดทน มันเปลี่ยนร่างเป็นสายฟ้าฟาดที่ส่องสว่างวาบ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปโจมตีใส่เฉินซีด้วยความเร็วที่ไวกว่าการกะพริบตา ประหนึ่งตัดข้ามมิติ!
ไม่มีแม้แต่เสียงเตือนล่วงหน้า!
พลังโจมตีดังกล่าวผสานด้วยเสียงกึกก้องกัมปนาทของสายฟ้ารอบข้าง จึงแนบเนียนจนไม่อาจมองเห็น ไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดา แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็ยากจะสังเกตเห็นมัน!
เมื่อไม่กี่วันก่อน วิญญาณอัสนีได้ใช้วิธีการอันแยบยลนี้ในการลอบโจมตีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี และหากไม่ได้อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ มาช่วยเหลือได้ทันเวลา มันก็คงจะลงมือสำเร็จไปแล้ว!
ทว่าภาพการโจมตีทั้งหมดนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยเนตรเทวะแห่งความจริง ทันทีที่วิญญาณอัสนีเปิดการโจมตี ยันต์ศัสตราก็โบกสะบัดที่เบื้องหลังของเฉินซีประหนึ่งมังกรวาดหาง ไม่นานรัศมีของปราณกระบี่รังสรรค์ก็แผ่กระจายออกมาราวกับชายหนุ่มมีตาหลัง
ตู้ม!!
ปราณกระบี่ปะทะกับสายฟ้าอันทรงพลัง ก่อให้เกิดประกายแสงลุกโชน ผ่านไปเพียงครู่เดียว คลื่นกระแทกนี้ก็กระจายแรงสั่นสะเทือนออกไป จนส่งผลให้คลื่นพายุสายฟ้าภายในรัศมีหกลี้ถูกบดขยี้สิ้น!
“เอ๊ะ” วิญญาณอัสนีส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ และเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย มันก็ตัดสินใจหนีไปทันที!
“เจ้าตัวประหลาด อย่าคิดหนี! ตายเสียเถอะ!” ตอนนี้เอง เสียงตะโกนหนึ่งได้ก้องกังวานไปทั่วทั้งฟ้าดิน ร่างอันแข็งแกร่งที่มากไปด้วยปราณเซียน ต่างพากันระเบิดพลังออกมา!
ภาพตรงหน้าที่ปกคลุมด้วยปราณเซียนคล้ายกับมีดวงอาทิตย์จำนวนมากปรากฏขึ้นพร้อมกับแสงสว่างไสวและงดงาม จนทำให้หมู่เมฆโดยรอบเลือนหายไป
ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสองสามคนได้เข้าโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มีโดยพร้อมเพรียง ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวจนแม้แต่เฉินซียังรู้สึกหวาดผวา ชายหนุ่มจึงรีบถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็ว
“โฮกกก!” เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวระคนเจ็บปวดดังก้องไปทั่วแผ่นฟ้า
ครู่ถัดมา ร่างที่สูงสามสิบจั้งก็ชโลมไปด้วยเลือด มันเดินโซซัดโซเซออกมาจากวงแสงโกลาหล ก่อนจะเปลี่ยนร่างให้กลายเป็นสายฟ้าอีกครั้ง หมายจะหลบหนี
ฟึ่บ!
ตอนนี้เอง เฉินซีจึงได้โอกาสลงมือ ร่างสูงใหญ่ของเขาเปล่งแสงสว่างวาบ ในขณะเดียวกัน ยันต์ศัสตราในมือชายหนุ่มก็เป็นเสมือนสายรุ้งที่นำพาพลังแห่งการรังสรรค์ และพลังแห่งการทำลายล้างที่รุนแรงเกินสิ่งใดเทียบฟาดฟันลงมา!
“รนหาที่ตายซะแล้ว!” วิญญาณอัสนีคำรามด้วยโทสะ มันหลบปราณกระบี่ของเฉินซีได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะโจมตีสวนกลับไปด้วยพลังอันรุนแรง
ทว่าท่าทางของชายหนุ่มกลับยังคงสงบนิ่ง เขาเพียงตวัดกระบี่สามครั้ง ทำให้พลังแห่งการรังสรรค์ถือกำเนิดขึ้น ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์หมุนเปลี่ยนขึ้นลงเป็นวัฏจักร ราวกับจ้าวแห่งการรังสรรค์กำลังสรรค์สร้างและอนุมานถึงความลึกลับของทุกสรรพสิ่งบนโลก ในขณะที่ปราณกระบี่นั้นกำลังปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
วิญญาณอัสนีได้ไร้หนทางขัดขืน ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่สามารถทะลุผ่านม่านแสงที่ก่อตัวขึ้นจากปราณกระบี่ไปได้ ประหนึ่งพุ่งชนกำแพงที่ไร้หนทางออก
“เจ้าตัวประหลาด! ตายซะ!” อวี้เฟิงส่งเสียงคำราม เคราและเส้นผมยาวสยายของเขาพัดพลิ้วดั่งเทพเซียน เขาฉวยโอกาสนี้โจมตีวิญญาณอัสนีอีกครั้ง สร้างแรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วบริเวณ ทำให้วิญญาณอัสนีตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรอง ได้แต่กระเสือกกระสนที่จะหลบหนีอย่างสุดกำลัง
โชคไม่ดีที่ทิศทางอื่น ๆ ล้วนถูกปิดกั้นไว้โดยผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีที่เหลือ พวกเขาต่างโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกันอีกครั้ง ทำให้ปราณเซียนอันน่าสะพรึงกลัวมากมายไหลหลากดั่งกระแสน้ำคลั่งบดขยี้ไปยังเป้าหมายเดียว!
เปรี้ยง! วิญญาณอัสนีระเบิดตัว เพื่อคืนร่างกลับไปสูงสามสิบจั้งดังเดิม ทว่าร่างสะบักสะบอมนี้ไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป มันทรุดกายลงเยี่ยงสุนัขตาย ขณะที่ทั่วทั้งกายก็เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ที่ปล่อยควันฉุย เห็นได้ชัดว่าเจ็บหนัก!
เฉินซีเก็บยันต์ศัสตราเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก ความแข็งแกร่งของวิญญาณอัสนีนั้นเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้า หากไม่ได้อวี้เฟิงและคนอื่น ๆ ร่วมมือกันโจมตีในครั้งนี้ ตัวเขาเพียงลำพังคงไม่อาจทำอะไรได้
ผัวะ!
ร่างวัยกลางคนของอวี้เฟิงพลันพุ่งตรงมายังวิญญาณอัสนี จากนั้นเจ้าตัวก็ใช้นิ้วควานเข้าไปในร่างกายของอีกฝ่ายโดยตรงประหนึ่งสอดตะขอเกี่ยว ก่อนที่ไม่นานนักจะถอนมือออกมาพร้อมกับผลึกแก้วสีเทาขุ่นมัวที่มีหน้าตาคล้ายเนินเขาลูกเล็ก
ผลึกแก้วนี้อัดแน่นไปด้วยปราณโลหิต มันมีความสูงมากกว่ายี่สิบสามจั้ง และมีความกว้างราวสี่จั้ง นับเป็นผลึกต้นกำเนิดโกลาหลที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ!
เฉินซีอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันเมื่อได้เห็น หากเขาใช้ทั้งผลึกไปกับการขัดเกลายันต์ศัสตรา ผลลัพธ์จะออกมาเยี่ยมยอดเพียงไหนกัน?
“ฮ่า ๆ ด้วยผลึกต้นกำเนิดโกลาหลนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการขัดเกลาสมบัติวิเศษโกลาหลอีก” อวี้เฟิงระเบิดเสียงหัวเราะด้วยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา พวกเขาต้องมีชีวิตอย่างขมขื่นมาตลอดระหว่างที่กำลังตามหาผลึกต้นกำเนิดโกลาหล และเมื่อตอนนี้พวกเขาได้รับมันมาครอบครองแล้ว …คลื่นแห่งความยินดีย่อมถาโถมออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง!
“เฉินซีมีส่วนช่วยในภารกิจครั้งนี้อย่างมาก ศิษย์พี่อวี้ เหตุใดพวกเราจึงไม่แบ่งผลึกต้นกำเนิดโกลาหลให้เจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ด้วยเล่า” ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีพูดขึ้นด้วยความยินดี ก่อนจะรีบปิดปากด้วยรู้สึกว่าตนอาจจะพูดอะไรผิดไป
ขณะเดียวกัน รอยยิ้มบนใบหน้าของคนอื่น ๆ ก็หุบลงโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน ความกังวลปรากฏขึ้นมาแทนที่ หากเป็นเวลาปกติ พวกเขาคงยินดีจะแบ่งปันอีกครึ่งหนึ่งให้กับเฉินซี ทว่าในตอนนี้นั้น หากสูญเสียผลึกต้นกำเนิดโกลาหลไปแม้แต่เสี้ยวเล็ก ๆ เสี้ยวเดียว พวกเขาก็จะไม่สามารถขัดเกลาสมบัติวิเศษโกลาหลได้เลย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ย่อมหมายความว่าพวกเขาต้องรอเวลาไปอีกหลายปีเพื่อรวบรวมมัน…
“ให้รางวัลเขา! เขาสมควรได้รับรางวัล!” อวี้เฟิงกลับมามีสีหน้าปกติ ขณะที่เจ้าตัวพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่านะศิษย์หลานเฉินซี พวกข้าต้องการผลึกต้นกำเนิดโกลาหลนี้โดยด่วน ดังนั้นแล้วพวกข้าแต่ละคนจะมอบรางวัลให้เจ้าเป็นสมบัติกึ่งอมตะดีหรือไม่?”
สมบัติกึ่งอมตะทั้งหมดห้าชิ้น!
แน่นอนว่านี่เป็นรางวัลที่ไม่ว่าผู้บ่มเพาะคนใดก็ต้องอิจฉา ดังนั้นเฉินซีจึงค่อนข้างรู้สึกหนักอึ้งในใจ เขารู้ได้เลยว่าการกระทำของอวี้เฟิงนั้นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ
…นอกจากอีกฝ่ายจะไม่หลอกลวงหรือขับไล่ยามหมดประโยชน์แล้ว เขายังหยิบยื่นของรางวัลที่ล้ำค่าให้แก่เฉินซีโดยไม่นึกตระหนี่อีกด้วย!
ทว่าสุดท้ายชายหนุ่มก็ยังคงส่ายหน้า
อวี้เฟิงและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีต่างพากันคิ้วขมวด หรือแม้แต่สมบัติกึ่งอมตะทั้งห้าชิ้นก็ยังไม่เพียงพอจะสนองความต้องการของเจ้าหนุ่มนี่กัน?