บทที่ 779 เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโส
บทที่ 779 เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโส
ณ หอสยบวิญญาณ
ศิษย์มากมายต่างหลั่งไหลเข้าออกไม่มีสิ้นสุด พวกเขาทุกคนมาเพื่อฝึกฝนในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต และทันทีที่เฉินซีปรากฏตัวขึ้น ฟางเริ่นก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะเคลื่อนไหวเพื่อทักทายอีกฝ่าย เพราะเมื่อศิษย์คนอื่นจำได้ พวกเขาต่างพุ่งเข้ามา
“ศิษย์พี่เฉินซี!”
“เป็นศิษย์พี่เฉินซีจริงด้วย! ข้าได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เข้าไปฝึกฝนในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต แต่โชคไม่ดี ข้าไม่สามารถพบท่านได้ ไม่นึกเลยว่าจะถึงกับได้พบตัวเป็น ๆ ในวันนี้ พวกข้าช่างโชคดีนัก!”
“ศิษย์พี่เฉินซี ข้าได้ยินมาว่าท่านลงไปลึกกว่าชั้นที่ห้าสิบห้าอีกหรือ? ท่านนี่มันช่างไร้เทียมทานเกินไปแล้ว!”
“ว้าว! ศิษย์พี่เฉินซีหล่อเหลานัก ถูกใจข้าเลย…”
การปรากฏตัวของเฉินซีได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากทุกคน เขาถูกรายล้อมราวกับดวงจันทร์เจิดจ้าที่ถูกห้อมล้อมด้วยดวงดาวมากมาย แม้กระทั่งศิษย์หญิงงามบางคนถึงขั้นส่งสายตาเย้ายวนมาให้ โดยไม่ปกปิดเสน่หาของพวกนางแม้แต่นิดเดียว
เฉินซีตกตะลึง เขาเพิ่งหนีรอดจากความตายจนกลับมาจากถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตได้ ถึงอย่างนั้นในอึดใจต่อมา ตัวเขากลับได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ …สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่อึดใจต่อมา เขาก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นประสานมือพร้อมกับยิ้มทักทายทุกคนอย่างอบอุ่น ทำให้ทุกคนเปล่งคำชื่นชมสรรเสริญออกมา
“ศิษย์พี่เฉินซี” เสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งมาจากนอกฝูงชน
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าฟางเริ่นกำลังโบกมือให้เขาไปมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นจากนอกฝูงชน
ชายหนุ่มคล้ายคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้ฟางเริ่น “ศิษย์น้อง มาตรงนี้ เจ้าไม่อยากเลี้ยงสัตว์วิญญาณหรือ? ข้ารวบรวมวิญญาณโลหิตบางส่วนขณะฝึกในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตรอบนี้มา มันอาจจะช่วยเจ้าได้นะ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ถูกเอ่ยออกมา ทุกคนต่างเงียบขณะสายตาชำเลืองมองฟางเริ่นพร้อมกัน …พวกเขาทุกคนอดครุ่นคิดด้วยความอิจฉาไม่ได้ เหตุใดสหายผู้นี้ที่อยู่ขอบเขตเคหาทองคำถึงได้รับความสนใจจากศิษย์พี่เฉินซีได้?
แต่ถึงแม้พวกเขาจะครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่ยังคงเปิดทางให้อย่างมีสติ
ในเวลาเดียวกัน ฟางเริ่นไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะทักทายเขาต่อหน้าคนจำนวนมาก ทั้งยังถึงขั้นอยากมอบวิญญาณโลหิตบางส่วนให้ …นี่ทำให้เขาสับสน
แล้วเขาพลันนึกถึงท่าทีเยาะเย้ยและการปฏิเสธที่ได้รับในตลอดเวลามานี้โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย พอมาเทียบกับท่าทีอบอุ่นและอ่อนโยนที่เฉินซีมอบให้แล้ว เจ้าตัวก็ตื้นตันเสียจนอยากร้องไห้ออกมา
ฟางเริ่นสูดหายใจเข้า ฝืนระงับความปั่นป่วนในใจก่อนกุมกล่องไม้ที่ถือไว้ในมือแน่นขึ้น และเดินไปข้างหน้า
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร เฉินซีกลับตบบ่าพลางยิ้มออกมา “เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าทำให้ไข่แมลงนั่นกลับมามีชีวิตได้หรือยัง?”
ขณะถาม ชายหนุ่มพลันสะบัดมืออย่างเรียบง่าย ทำให้ถุงเก็บของปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะส่งให้เขา “นี่คือวิญญาณโลหิตที่ข้ารวบรวมมาได้ ความแข็งแกร่งของพวกมันอยู่ที่ราวขอบเขตสถิตกายา ข้าชำระล้างปราณชั่วร้ายที่อยู่ภายในพวกมันให้แล้ว ดังนั้นเจ้าวางใจได้แล้วใช้พวกมันเพื่อเลี้ยงดูสัตว์วิญญาณได้เลย”
ขวับ!
สายตาร้อนผ่าวของคนอื่นต่างจับจ้องไปยังถุงเก็บของ เพราะวิญญาณโลหิตที่เทียบเท่าขอบเขตสถิตกายาถูกเก็บไว้ข้างในนั้น และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ วิญญาณโลหิตเหล่านี้ถูกชำระล้างโดยเฉินซี ดังนั้นพวกมันจึงมีค่ามหาศาลอย่างแน่นอน มีค่ายิ่งกว่าเงินตราด้วยซ้ำ!
เจ้าหนูฟางเริ่นคนนี้มีความสามารถยิ่งนัก เขาถึงกับสร้างความสัมพันธ์กับศิษย์พี่เฉินซีได้ แล้วเช่นนี้อีกฝ่ายจะต้องกังวลว่าจะไม่อาจประสบความสำเร็จจนทะยานขึ้นสู่ท้องนภาในอนาคตอีกหรือ?
เพียงแค่ความสัมพันธ์นี้กับเฉินซี อาจจะไม่มีใครในนิกายที่จะกล้ามีปัญหากับเขาอีกแล้ว
ดวงตาของฟางเริ่นแดงก่ำ เขาไม่อาจหักห้ามการหลั่งน้ำตาได้ ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ขอบคุณศิษย์พี่เฉินซี ขอบคุณศิษย์พี่เฉินซี…”
เฉินซีตกตะลึง เพราะไม่คาดคิดว่าความพยายามอันน้อยนิดของเขา จะทำให้สหายตัวน้อยคนนี้ตื่นเต้นขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าไม่เหลืออะไรให้ทำที่นี่แล้ว ชายหนุ่มจึงตั้งใจจะจากไปเพื่อเยี่ยมเยียนเวินหัวถิง เขาอยากถามประมุขนิกายว่าตัวตนน่าสะพรึงใดกันที่ถูกกำราบไว้ภายในแอ่งอสนีบาตบนชั้นที่หกสิบของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต
“ศิษย์พี่เฉินซี รอเดี๋ยว” เสียงของฟางเริ่นดังไล่หลังมา
“มีอะไรอีกหรือ?” เฉินซีหยุดนิ่ง
ชายหนุ่มวิ่งมาหาเฉินซีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะส่งกล่องไม้ที่ถือไว้มั่นในมือมาตลอดให้อีกฝ่าย “ศิษย์พี่เฉินซี ภายในกล่องใบนี้คือไข่แมลงนั่นที่ข้าอยากเลี้ยงดู ได้โปรด ท่านต้องรับมันไว้”
เฉินซีส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้”
ฟางเริ่นวิตกยิ่ง เขาเปิดกล่องไม้ดัง ‘ปัง’ ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์พี่เฉินซี นี่คือหนอนไหมจักรพรรดิสมบัติที่มีชื่อเสียงในยุคบรรพกาล มันสามารถค้นหาวัตถุดิบและสมบัติวิญญาณจำนวนมากได้ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการค้นหาสมบัติโดยกำเนิด”
ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างตัวแข็งทื่อขณะเผยสีหน้าตกตะลึง ไม่คาดคิดเลยว่าฟางเริ่นผู้นี้จะสามารถค้นพบสัตว์วิญญาณล้ำค่าเช่นนั้นได้!!
เฉินซีตกตะลึงเช่นกัน จากนั้นโบกมือแล้วกล่าวว่า “นี่คือผลจากหยาดเหงื่อของเจ้า มันมีค่าเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้”
“ศิษย์พี่เฉินซีไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ หนอนไหมจักรพรรดิสมบัตินี้ฟักออกมาเป็นฝาแฝด ตัวหนึ่งสีดำ ตัวหนึ่งสีขาว รวมทั้งสิ้นสองตัว ข้าเพียงต้องการหนึ่งตัวเท่านั้น” ขณะพูด ฟางเริ่นพลันดันกล่องไม้ไปที่มือของเฉินซี ก่อนหันหลังแล้วจากไป และไม่ว่าเฉินซีจะเรียกเท่าไร อีกฝ่ายก็ไม่หันหลังกลับมา เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้กับเฉินซีอย่างเด็ดเดี่ยว
เฉินซีชั่งน้ำหนักกล่องไม้ในมือพลางครุ่นคิดไปมา จากนั้นเสียงหัวเราะพลันดังมาจากไกล ๆ
“ฮ่า ๆ ศิษย์หลานเฉินซี ในที่สุดเจ้าก็ออกมา” ผู้อาวุโสของหอสยบวิญญาณ เซี่ยหมางหัวเราะเสียงดังขณะเดินเข้ามา
“ท่านอาจารย์ลุงเซี่ยหมาง ท่านต้องการอะไรจากข้าหรือ?” เฉินซีวางกล่องไม้ก่อนประสานมือ
เซี่ยหมางหัวเราะอีกหนึ่งครั้ง “แน่นอน เป็นเรื่องดีด้วย เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ!”
เฉินซีประหลาดใจ “เรื่องดีแบบไหนหรือ?”
ทว่าเซี่ยหมางไม่ตอบ เขากลับเร่งพาเฉินซีออกจากหอสยบวิญญาณ ก่อนมุ่งหน้าสู่ยอดเขาสัประยุทธ์
ณ ยอดเขาสัประยุทธ์
ภายในห้องโถงอันโอ่อ่า ประมุขนิกายเวินหัวถิง ผู้อาวุโสเลี่ยเผิง และผู้อาวุโสคนอื่นล้วนมารวมตัวอยู่ที่นี่ และมีกระทั่งผู้อาวุโสบางส่วนที่มักเก็บตัวรวมอยู่ด้วย
ยกตัวอย่างเช่นอวี้เฟิง ซุนตงฮวาและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่นล้วนอยู่ที่นี่
นอกจากพวกเขา ศิษย์ชั้นยอดจากยอดเขาจรัสเทวะอย่างเสิ่นหลางหยา ฉางเล่อ หวังจ้งฮ่วน หลงเจิ้นเป่ย ลั่วเชี่ยนหรง อันเวย และคนอื่นต่างรวมตัวอยู่ที่นี่เช่นกัน
การรวมตัวเช่นนี้นับว่าเป็นการรวมตัวที่ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อเฉินซีมาถึงพร้อมกับเซี่ยหมาง เขาก็ตระหนักในทันทีว่าต้องมีการประกาศเรื่องใหญ่แน่!
ฟิ้ว!
และเมื่อเฉินซีเข้ามาในห้องโถง สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่เขาพร้อมกัน สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความนับถือ ความชื่นชม และอื่น ๆ อีกมากมาย
ขณะที่เซี่ยหมางถอนตัวออกมาอย่างเงียบงันเมื่อเห็นเช่นนี้
เฉินซีสับสนยิ่ง แต่เขายังคงเดินไปข้างหน้าเพื่อทักทายผู้อาวุโสของนิกายทุกคนที่อยู่ที่นี่
“เฉินซี ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะมีบางอย่างจะบอกเจ้า” เวินหัวถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น มันดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถงราวกับเสียงระฆังยามเช้า
“โปรดถ่ายทอดคำสั่งมาด้วย ท่านประมุขนิกาย” เฉินซีประสานมือ
“หลังจากที่ข้ากับผู้อาวุโสได้สนทนากันแล้ว พวกเราตัดสินใจกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าเจ้าจะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง …นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะได้รับตำแหน่งเป็นปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันตกเพื่อคอยดูแลเรื่องราวต่าง ๆ ในยอดยอดเขาจรัสตะวันตก” เวินหัวถิงยิ้มขณะกล่าว
เฮือก!
เฉินซีรู้สึกจิตใจสับสน เขาไม่กล้าเชื่อเรื่องนี้แม้แต่น้อย
หลายปีก่อนที่เขาเพิ่งย่างเข้าสู่ยอดเขาจรัสตะวันตก วิปลาสหลิ่วได้ปูทางให้ชายหนุ่มได้สืบทอดตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันตกภายในร้อยปี แต่เงื่อนไขเบื้องต้นคือต้องเริ่มจากก้าวเข้าสู่ศิษย์ชั้นสูงเสียก่อน ตามด้วยศิษย์ชั้นยอด ก่อนกลายเป็นผู้อาวุโส จึงจะสามารถควบคุมยอดยอดเขาจรัสตะวันตกได้
เพียงแค่ห้าปีกว่า ๆ ที่ผ่านมานี้ เขาได้บรรลุความปรารถนาตามคำสั่งเสียของวิปลาสหลิ่วแล้ว …จึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่อยากเชื่อ
“ว่าไง? สหายตัวน้อย เจ้าไม่อยากเชื่อหรือ?” อวี้เฟิงหัวเราะออกมา “ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ ย่อมสามารถต่อกรกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามได้แล้ว แล้วมันจะมีกี่คนในโลกที่สามารถทำเรื่องนั้นสำเร็จได้ล่ะ?”
“ใช่แล้ว เจ้าสมควรได้รับตำแหน่งปรมาจารย์สูงสุดแห่งยอดเขาจรัสตะวันตก ถามทุกคนที่นี่ดูสิว่ามีใครคัดค้านหรือไม่” เลี่ยเผิงลูบเครา เขายิ้มแล้วกล่าวออกมาเช่นกัน
เฉินซีหัวเราะขมขื่นก่อนจะยักไหล่ “ข้าแค่รู้สึกว่ามันปุบปับเกินไป”
ทุกคนแผดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นเมื่อได้ยินเช่นนี้
หลังจากแผดเสียงหัวเราะกันแล้ว เวินหัวถิงพลันกล่าวช้า ๆ ว่า “แต่ตามกฎของนิกายแล้ว เจ้ายังต้องผ่านการทดสอบบางอย่างสำหรับตำแหน่งผู้อาวุโสอยู่”
เฉินซีพยักหน้า เขาเคยได้ยินมาว่าตราบที่ศิษย์ของนิกายได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโส คนผู้นั้นต้องผ่านการทดสอบสองอย่างก่อน อย่างแรกคือ ‘ส่งต่อคบเพลิง’ โดยต้องท่องไปทั่วโลก ก่อนจะกลับมาพร้อมกับศิษย์ผู้หนึ่ง
การทดสอบที่สองคือ ‘ผดุงความยุติธรรมแทนสวรรค์’ บททดสอบก็คือสังหารวายร้ายโหดเหี้ยมเพื่อสร้างภาพลักษณ์อันน่าประทับใจและสง่างามขึ้นมา พร้อมกับกระจายอำนาจของนิกายในเวลาเดียวกัน
…
ตอนที่เฉินซีกลับมายังยอดเขาจรัสตะวันตก หั่วโม่เลย ศิษย์พี่ทั้งหลายของเขา เหมิงเหวย โม่ย่า อาซิ่ว และเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านั้นจากเผ่านรกขุมที่เก้า ต่างก็ได้ทราบว่าเฉินซีได้กลายเป็นผู้อาวุโสที่คอยดูแลเรื่องราวต่าง ๆ ของยอดเขาจรัสตะวันตกไปแล้ว!
ในคืนนั้น พวกเขาจึงเฉลิมฉลองให้แก่เฉินซีที่ริมสระชำระกระบี่ ทำให้กลิ่นหอมของสุราโชยออกมาขณะจานอาหารมากมายหลั่งไหลเข้ามา ทุกคนต่างรวมตัวกันเพื่อฉลองให้กับเฉินซี
เมื่อทุกคนแยกย้ายออกจากงานเลี้ยง เฉินซีก็กลับมาถึงห้องแล้ว อาซิ่วกำลังอุ้มไป๋คุยไว้ในอ้อมแขนขณะวิ่งมาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวในชุดเขียวคนนี้ดื่มสุราชั้นดี ทำให้ใบหน้าเล็กของนางแดงก่ำ ดูอ่อนโยนน่ารักราวกับมะเขือเทศสุก
“นี่ ข้าได้ยินว่าเจ้าจะออกจากนิกายในอีกไม่กี่วันเพื่อรับศิษย์จากโลกภายนอกหรือ?” อาซิ่วกะพริบตาอันแจ่มชัดของนางขณะเอ่ยถาม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง
“อย่าคาดหวังว่าข้าจะพาเจ้าไปด้วยเชียวล่ะ” เฉินซีหยุดความคิดของหญิงสาวผู้นี้ด้วยการส่งสายตา เขาปฏิเสธตามตรงว่า “ข้าออกไปในครั้งนี้เพราะได้รับภารกิจ ข้าไม่สามารถใช้การสนับสนุนของคนอื่นเพื่อทำให้ลุล่วงได้”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากอันเรียวเล็กของตน “แต่ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้า ข้าก็ไปด้วยได้หรือไม่?”
ท่าทีของเฉินซีหนักแน่น “ไม่ได้เด็ดขาด!” เขารู้ว่าไม่สามารถประนีประนอมกับเรื่องนี้ได้ หาไม่แล้ว นางจะฉวยโอกาสจนหาทางใช้ประโยชน์ได้
“น่าเบื่อ!” อาซิ่วจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้างก่อนกลอกตามองแรงมาที่ชายหนุ่ม จากนั้นหันหลังอย่างกรุ่นโกรธ ตั้งใจว่าจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน” เฉินซีพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะหยิบกล่องไม้ออกจากกระเป๋า เดินเข้่าหาอีกฝ่ายส่งมันให้ “ข้ามอบภารกิจให้เจ้าแล้วกัน ดูแลสัตว์วิญญาณข้างในนี้ให้ดี”
อาซิ่วยื่นมือออกไปเปิดดู ดวงตาอดไม่ได้ที่จะทอประกายเมื่อเห็นหนอนตัวเล็กสีดำสนิทที่มีขนาดเท่านิ้ว นางกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ลูกหนอนไหมหรือ? ข้าเคยเลี้ยงตัวหนึ่งมาก่อน น่าเสียดาย ข้าบังเอิญขยี้มันจนตายตอนที่หลับอยู่…”
ขยี้มันจนตายหรือ?
มุมปากของเฉินซีอดไม่ได้ที่จะกระตุกอย่างรุนแรง เขาพลันรู้สึกเสียใจที่ส่งหนอนไหมจักรพรรดิสมบัติให้กับอีกฝ่ายขึ้นมา
อาซิ่วรู้สึกยินดีขณะเก็บกล่องไม้ จากนั้นจึงกล่าวในทันทีว่า “หากเจ้าอยากทะลวงขีดจำกัด ทลายข้อจำกัดเทพอสูร ทำให้การบ่มเพาะขัดเกลากายาพัฒนาสู่ขอบเขตสถิตกายา ข้าสามารถส่งต่อเคล็ดวิชาบางอย่างให้เจ้าได้นะ”
เฉินซีลอบตกตะลึง ถามตามตรงว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
เขาตกตะลึงจริง ๆ เพราะอาซิ่วถึงกับมองเห็นคอขวดในการบ่มเพาะของเขา ยิ่งกว่านั้น นางคล้ายกับมีวิธีจัดการกับมัน ดังนั้นชายหนุ่มจะไม่ตกตะลึงได้อย่างไร?
อาซิ่วกะพริบตา ถามด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนว่า “การรู้เรื่องนี้มันยากมากหรือ?”
เฉินซี “…”