บทที่ 780 เคล็ดวิชาปฏิการะโลกา
บทที่ 780 เคล็ดวิชาปฏิการะโลกา
ข้อจำกัดเทพอสูรเป็นข้อจำกัดธรรมดาที่มีคนกล่าวถึงน้อยมาก แต่ทุกคนล้วนทราบถึงการมีอยู่ของมัน มันธรรมดาเหมือนอากาศในฟ้าดินที่มีคนหายใจเข้าไปทุกวัน แต่น้อยคนนักที่จะกล่าวถึงการมีอยู่ของมันโดยเจตนา
แต่เฉินซีกลับไม่ทราบถึงสิ่งนี้ เพราะเขามาจากโลกใบเล็ก และนับตั้งแต่ที่เริ่มบ่มเพาะมาจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มพึ่งพาเพียงตัวเองในการคลำหาวิถี ซึ่งเขาแทบไม่มีโอกาสได้รับคำแนะนำเป็นการส่วนตัวและคำชี้แนะจากผู้อาวุโสของนิกาย
บางทีเขาอาจมีความสามารถในการทำความเข้าใจและพรสวรรค์ในศาสตร์เต๋า รวมถึงเคล็ดวิชาบ่มเพาะต่าง ๆ ที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่เฉินซีก็มีข้อบกพร่องในตัวเองเช่นกัน นั่นคือเขาไม่มีความรู้พื้นฐานของการบ่มเพาะ
ดังนั้นเขาจึงขอคำชี้แนะจากอาซิ่วอย่างสุภาพ
หลังจากรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อาซิ่วก็เปิดริมฝีปากสีชมพูของนางเล็กน้อย และอธิบายด้วยน้ำเสียงไพเราะ
ไม่จำเป็นต้องกล่าวใด ๆ ก็รู้ว่า อาซิ่วเป็นหญิงสาวที่ดีผู้หนึ่ง นางไม่ได้ถากถางหรือเยาะเย้ยเฉินซี ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบว่า อาซิ่วนั้นทั้งน่ารักและเจริญหูเจริญตายิ่งนัก
ข้อจำกัดเทพอสูรเป็นข้อห้ามในวิถีบ่มเพาะ และเป็นคำสาปของเผ่าเทพอสูร กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ผู้ขัดเกลากายาจะไม่สามารถบ่มเพาะปราณแท้ได้ในเวลาเดียวกัน มิฉะนั้น พวกเขาจะไม่สามารถไปถึงขีดจำกัดของมหาเต๋าได้!
นี่เป็นคำสาปที่น่าสะพรึงกลัว และเกิดขึ้นหลังจากที่หายนะของเทพอสูรได้อุบัติขึ้นในยุคบรรพกาลเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน สรรพชีวิตที่บ่มเพาะทั้งการขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้ ย่อมไม่อาจทำให้การบ่มเพาะของพวกเขาทะลวงไปยังขอบเขตสถิตกายาได้
นี่เป็นกฎเหล็ก เป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนกับ ‘กฎ’ เช่นเดียวกับพระจันทร์ที่มีข้างขึ้นและข้างแรม หรือสายน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตก มันมีอยู่ในทั่วทุกพื้นที่ของภพทั้งสาม
ในฐานะหนึ่งในสรรพชีวิตนับหมื่นแสนล้านของภพทั้งสาม เฉินซีย่อมถูกจำกัดด้วยสิ่งนี้แน่นอน และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้การขัดเกลากายาของเขาไม่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาได้นานถึงขนาดนี้
หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
“ข้อจำกัดเทพอสูรถูกสร้างขึ้นอย่างไรกัน ถึงสามารถส่งผลกระทบต่อวิถีแห่งการบ่มเพาะของสรรพชีวิตมากมายในภพทั้งสามได้เพียงนี้? นี่ไม่ได้หมายความว่า เผ่าเทพอสูรนั่นเป็นดั่งตัวตนที่เสมือนจ้าวผู้ปกครองของภพทั้งสามหรอกหรือ?”
“มิฉะนั้นคำสาปจะสามารถส่งผลกระทบต่อวิถีแห่งการบ่มเพาะของภพทั้งได้อย่างไร?”
“มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เสมือนกับจ้าวแห่งการรังสรรค์ได้สร้างกฎเหล็กใหม่ขึ้นมา!”
แต่หลังจากได้ไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างใจเย็น เฉินซีก็รู้สึกได้ราง ๆ ว่า การปรากฏของข้อจำกัดเทพอสูรนี้ไม่ใช่ตำนานที่ไร้สาระเป็นแน่ เนื่องจากเคล็ดขัดเกลากายาได้ถือกำเนิดขึ้นจากเผ่าเทพอสูร ก่อนที่จะถ่ายทอดกันไปทั่วโลกและชีวิตมากมายในโลกก็ได้เรียนรู้มัน
แต่ ณ ปัจจุบัน เผ่าเทพอสูรนั้นได้ถูกกำจัดจนหมดสิ้นในช่วงหายนะของเทพอสูรในยุคบรรพกาลเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน และหายไปจากภพทั้งสามโดยสิ้นเชิง บางทีคำสาปที่เป็นเหมือนสิ่งต้องห้ามนี้อาจถูกสร้างขึ้นในตอนนั้น…
แน่นอนว่าข้อจำกัดนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ผู้ขัดเกลากายา แต่มันมุ่งเป้าไปที่ผู้บ่มเพาะทั้งการขัดเกลากายาและการบ่มเพาะปราณแท้
แต่สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดสำหรับเฉินซีก็คือ อาซิ่วได้บอกว่า นางมีเคล็ดวิชาที่สามารถทะลวงผ่านข้อจำกัดเทพอสูรได้!
ถ้านี่ไม่ใช่การโอ้อวดของนาง มันก็นับว่าน่าเกรงขามอย่างยิ่ง!
เฉินซีหายใจเข้าลึก ๆ และจ้องมองอาซิ่วอย่างจริงจัง จากนั้นจึงเอ่ยปากถามว่า “เจ้า…แน่ใจจริง ๆ หรือ?”
อาซิ่วพยักหน้าอย่างง่ายดาย “แน่นอน”
สายตาของชายหนุ่มค่อย ๆ แปลกไป เพราะเขาตระหนักได้ว่า ต้นกำเนิดของอาซิ่วไม่เพียงจะลึกลับเท่านั้น แต่ต้นกำเนิดของนางยังดูยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้อีกด้วย
“เหตุใดหญิงสาวผู้ลึกลับและยากหยั่งถึงเช่นนี้ จึงมาอยู่เคียงข้างข้า?”
อาซิ่วยื่นมือที่ขาวราวกับหิมะของนางออกมา แล้วโบกไปมาตรงหน้าเฉินซี
“นี่! เจ้าอย่าได้จ้องหญิงสาวนานขนาดนั้นได้หรือไม่? รู้ไหมว่ามันหยาบคายมาก”
เฉินซีปัดมือที่โบกไปมาตรงหน้าของอาซิ่วด้วยความโกรธและกล่าวว่า “ข้าจะจัดการกับข้อจำกัดเทพอสูรได้อย่างไร?”
จู่ ๆ หญิงสาวก็คลี่ยิ้มจนตาหยี จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ขอร้องข้าสิ”
เฉินซีขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะ”
อาซิ่วยังคงยิ้ม ขณะที่นางกล่าวซ้ำ “หากเจ้าขอร้อง ข้าก็จะบอกเจ้า”
เฉินซี “…”
…
ในที่สุด เฉินซีก็เผยสีหน้าที่ไม่น่าดู เขาสะบัดแขนเสื้อและจากไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ทำให้อาซิ่วไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องไล่ตามเขา นางบุ้ยปากสีชมพู ขณะหยิบแผ่นหยกออกมาด้วยความโกรธและโยนมันให้กับเฉินซี “นี่! นี่! รับไปซะ! เจ้าช่างเป็นท่อนไม้ที่น่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ โง่เขลาและดื้อรั้นเสียจริง ๆ”
ทันทีที่กล่าวจบ นางก็จากไปอย่างสง่างาม โดยเอามือไพล่หลังเอาไว้ ปล่อยให้ปอยผมสีดำสนิทพลิ้วไหวไปกับสายลม
เฉินซีถือแผ่นหยกขณะที่นั่งอยู่ในห้องของเขา จากนั้นชายหนุ่มก็พึมพำ “โอ้ พอข้าใช้ไม้อ่อนนางกลับปฏิเสธ แต่พอใช้ไม้แข็งนางกลับทำตามแต่โดยดี ดูเหมือนว่าข้าจะใช้วิธีนี้จัดการกับสาวน้อยคนนี้ได้…”
หลังจากนั้น เขาก็ส่ายศีรษะและจ้องมองไปยังแผ่นหยกในมือของเขา
นี่คือเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เรียกว่า ‘เคล็ดวิชาปฏิการะโลกา’ และเป้าหมายสุดท้ายของมันคือการแบ่งร่างอวตารออกจากร่างหลัก!
เนื้อหาของเคล็ดวิชานั้นคลุมเครือ ลึกล้ำ และเต็มไปด้วยคำอธิบายที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น วิธี ‘เปลี่ยนเลือดเป็นตัวอ่อน’ ‘แยกวิญญาณออกเป็นสองส่วน’ ‘เสริมพลังปราณแท้และหล่อหลอมจิตวิญญาณ’ และอื่น ๆ อีกมากมาย
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่เคล็ดวิชาปฏิการะโลการะบุไว้ มันคือการใช้วัตถุวิญญาณของฟ้าดินเพื่อควบแน่นตัวอ่อนวิญญาณ จากนั้นก็ใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อแยกแก่นวิญญาณออกเป็นสองส่วน และให้มันเติบโตภายในตัวอ่อนวิญญาณ
ถ้าเขาสามารถทำได้สำเร็จ ชายหนุ่มก็จะสามารถสร้างร่างอวตารได้!
ยิ่งทำความเข้าใจมากเท่าไร เขาก็ยิ่งตกใจและงุนงงมากเท่านั้น เพราะเท่าที่เขาเข้าใจ นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ไม่ธรรมดาต่อการจัดการกับข้อจำกัดเทพอสูร!
ตัวอย่างเช่น ร่างอวตารที่ควบแน่นจากเคล็ดวิชาบ่มเพาะนี้จะไม่เพียงมีสติปัญญา การบ่มเพาะหรือความสามารถในการเข้าใจของร่างหลักเท่านั้น แม้แต่ตัวร่างหลักที่เข้าใจความลึกล้ำของมหาเต๋าก็อาจจะถูกร่างอวตารครอบงำได้!
แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ตราบใดที่ร่างหลักต้องการ ร่างอวตารก็จะหลอมรวมเข้ากับร่างหลักได้อีกครั้ง!
สิ่งนี้เสมือนกับหยดน้ำ หลังจากที่พวกมันถูกแยกออกจากกัน จะกลายเป็นหยดน้ำสองหยด และตราบใดที่พวกมันสัมผัสกัน พวกมันก็จะควบแน่นกลับเป็นหนึ่งเดียวได้!
ยิ่งกว่านั้น หลังจากผ่านการควบแน่นในครั้งนี้ มันจะมีประสบการณ์ของการบ่มเพาะและภูมิปัญญาทั้งหมดที่ร่างหลักครอบครองอยู่ ดังนั้นแม้ว่าร่างอวตารจะบ่มเพาะมาตั้งแต่ต้น และเชี่ยวชาญในวิถีแห่งการขัดเกลากายา มันก็จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้ในระยะเวลาอันสั้น
อีกทั้งเฉินซียังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากสามารถทำให้ร่างอวตารนี้บ่มเพาะอยู่ในโลกแห่งดาราได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยเวลาที่แตกต่างกันถึงสิบเท่าระหว่างโลกภายนอกกับโลกแห่งดารา แล้วเหตุใดเขาถึงต้องกังวลว่าการขัดเกลากายาของเขาจะไม่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น?
ยามนั้น เฉินซีจะสามารถรวมร่างหลักของเขาเข้ากับร่างอวตารได้ และด้วยวิธีนี้ ปัญหาการบรรลุขอบเขตสถิตกายาในการขัดเกลากายาจะถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนั้น เฉินซียังมีความรู้สึกอันแรงกล้าว่า หากเขาสามารถบ่มเพาะเคล็ดวิชาปฏิการะโลกาได้สำเร็จ ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากสิ่งนี้ก็จะมากมายมหาศาล!
“เฮ้ออ!”
เฉินซีถอนหายใจเสียงยาว ก่อนจะหันหลังกลับและเข้าสู่โลกแห่งดารา
ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ดวงดาวนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้า ชายหนุ่มพลันเริ่มอนุมานความลึกล้ำทั้งหมดของเคล็ดวิชาปฏิการะโลกาในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยเฉินซีต้องการหลักประกันว่าตัวเขาจะไม่พลาดอะไรก่อนที่จะเริ่มบ่มเพาะ!
ครืน!
เฉินซีโคจรเคล็ดวิชาปฏิการะโลกาด้วยพลังทั้งหมด ทำให้เลือดในร่างกายสั่นสะเทือนและเดือดเหมือนหินหลอมเหลว ยิ่งไปกว่านั้น แก่นโลหิตของเขาก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและย้อมท้องนภาจนกลายเป็นสีแดง! สิ่งนี้แสดงถึงพลังงานของเลือดในร่างกาย ซึ่งเป็นแก่นแท้ของการบ่มเพาะกายาของเฉินซี
ในขณะนี้ สิ่งที่ชายหนุ่มต้องทำก็คือ ‘เปลี่ยนเลือดเป็นตัวอ่อน’ และต้องใช้แก่นโลหิตเพื่อหล่อเลี้ยงตัวอ่อนวิญญาณ
ว่าแล้ว แก่นโลหิตของเฉินซีพลันพวยพุ่ง มันเปลี่ยนเป็นเส้นโลหิตจำนวนมากมายภายใต้การควบคุมของเขา ก่อนที่จะรวมตัวกันเพื่อควบแน่นเป็นตัวอ่อนที่เปล่งแสงสีเลือดออกมา ทำให้มันดูเหมือนรังไข่มหึมา
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
กลุ่มผนึกที่ลึกล้ำอย่างยิ่งถูกสร้างขึ้นโดยมือของเฉินซี จากนั้นพวกมันก็พุ่งเข้าสู่ตัวอ่อนราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ในไม่ช้า ตัวอ่อนก็ส่องแสงวาววับ ในขณะที่อักขระยันต์ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวที่เจิดจ้าของมัน และเริ่มเต้นเป็นจังหวะเบา ๆ ราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตกำลังหายใจอยู่ภายในนั้น
กระบวนการนี้ดำเนินต่อไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน ตัวอ่อนที่เหมือนรังไหมตัวนี้ก็มีสีแดงเข้มเต็มตัว และเปี่ยมไปด้วยอักขระยันต์ที่เปล่งประกายเจิดจ้า มันควบแน่นเป็นรูปเป็นร่างและลอยอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังมีการเชื่อมต่อที่ไม่เหมือนใครระหว่างตัวมันกับจิตวิญญาณของเฉินซี
ชายหนุ่มปราศจากความลังเล เขามีสีหน้าที่สงบและเคร่งขรึม ทันใดนั้น ร่างที่ทรงพลังก็กระโดดออกมาจากตัวอ่อน ร่างกายของมันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งสวรรค์ และเอ่อล้นไปด้วยแสงของสมบัติที่เปล่งประกาย มันคือแก่นวิญญาณของเฉินซี!
วูบ!
สติสัมปชัญญะทั้งหมดภายในห้วงสำนึกของเฉินซีได้หล่อหลอมเป็นกระบี่ ซึ่งดูเหมือนกับเต๋ากระบี่ที่สามารถฟันฝ่าความโกลาหลในฟ้าดิน มันบินออกจากร่างของเขา ก่อนที่จะฟันไปยังแก่นวิญญาณที่ลอยอยู่กลางอากาศ
นี่เป็นขั้นตอนที่สองของเคล็ดวิชาปฏิการะโลกา… ‘แยกวิญญาณออกเป็นสองส่วน’!
มันเป็นขั้นตอนที่จะแยกแก่นวิญญาณของเขาออกเป็นสองส่วน และถ้าทำสำเร็จ แม้ว่าจิตวิญญาณของเขาจะอ่อนแอลงเล็กน้อยเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย และใช้เวลาไม่นานก่อนจะสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิม
แต่ถ้าแก่นวิญญาณส่วนหนึ่งของเขาถูกทำลาย เฉินซีอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส และอาจสูญเสียความทรงจำบางส่วนหรือเสียสติโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มอาจถูกธาตุไฟเข้าแทรกได้!
ทว่าเฉินซีหาได้กังวลไม่ เพราะเขาได้เฝ้าทำความเข้าใจรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีอยู่ทุกวันคืนมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้จิตวิญญาณของชายหนุ่มมั่นคงและแข็งแกร่งเหนือกว่าบรรดาผู้บ่มเพาะในรุ่นเดียวกัน ซึ่งในตอนนี้ มันเทียบได้กับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีแล้ว!
แม้ว่าแก่นวิญญาณของเฉินซีจะถูกแยกออกเป็นสองส่วน ตราบใดที่ไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเผชิญกับอันตรายใด ๆ
“แยกส่วนแก่นวิญญาณ!” ในช่วงเวลาถัดมา เฉินซีพลันคำรามลั่น และราวกับสายฟ้าได้ฉีกม่านหมอกที่ขวางกั้นอนาคตของเขาออกจากกัน
ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาถูกแยกออกเป็นสองส่วนทันที และความเจ็บปวดที่เกิดจากการถูกตัดแก่นวิญญาณของเขา ก็เหมือนกับกระบี่นับไม่ถ้วนทิ่มแทงหัวใจ แม้เฉินซีจะมีความอดทนเป็นพิเศษ แต่ตัวเขาก็ยังสั่นสะท้าน เพราะมันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
ขวับ!
แก่นวิญญาณของชายหนุ่มถูกแยกออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งบินเข้าไปในตัวอ่อน ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งกลับเข้าไปในร่างกายของเขา และทันทีที่แก่นวิญญาณแยกออกจากกัน ชายหนุ่มพลันรู้สึกวิงเวียนและอ่อนเพลียอย่างมาก
แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งหัวใจของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกได้ว่า เมื่อแก่นวิญญาณครึ่งหนึ่งของตนพุ่งเข้าไปในตัวอ่อน มันดูเหมือนมัจฉาได้น้ำ ทำให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจแล่นผ่านเข้ามาในหัวใจของเขา
ทว่าเฉินซีไม่กล้าผ่อนคลาย เพราะเขายังขาดขั้นตอนที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ‘เสริมสร้างปราณแท้และหล่อหลอมจิตวิญญาณ!’
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เสียงตุบอย่างเป็นจังหวะที่หนักแน่นดังก้องออกมาจากภายในตัวอ่อนมหึมา ซึ่งปกคลุมด้วยอักขระยันต์ที่เจิดจ้าและแวววาว อีกทั้งยังเหมือนกับเสียงการเต้นหัวใจของยักษ์ดังก้องไปทั่วโลก
ใบหน้าของเฉินซีดูเคร่งเครียด ในขณะที่เขาฝืนทนกับความอ่อนแอของจิตวิญญาณอย่างสุดกำลัง และมือของชายหนุ่มก็โบกไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผนึกพุ่งออกมามากมาย โดยไม่กล้าที่จะหย่อนหยานแม้แต่น้อย
กระบวนการทั้งหมดนี้ดำเนินไปตลอดทั้งเดือน!
ใบหน้าของเฉินซีในเวลานี้ซีดเซียว ในขณะที่แสงเจิดจ้าซึ่งเล็ดลอดออกมาจากตัวอ่อนมหึมานั้น กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มันทั้งพร่างพราวและเจิดจ้าราวกับหินตะวัน อีกทั้งยังเปล่งพลังที่พลุ่งพล่านและน่าตกใจออกมา
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เสียงที่เป็นจังหวะนั้นดูคล้ายกับเสียงกลองที่หนักแน่นในสนามรบ และตัวอ่อนดูจะกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตในชั่วพริบตา
แกร๊ก!
เสียงแผ่วเบาแว่วผ่านมา ราวกับชั่วยามแห่งความโกลาหลถูกแยกออกจากกันเป็นครั้งแรก ในขณะนี้ เฉินซีพลันสั่นสะท้านไปทั้งตัว และหยุดทุกการเคลื่อนไหวที่เขาทำ ดวงตาของชายหนุ่มปะทุสายฟ้าอันเย็นเยียบ กำลังกวาดมองออกไปอย่างรวดเร็ว!!