บทที่ 790 ระเบียนแดนมรณะสำแดงเดช
บทที่ 790 ระเบียนแดนมรณะสำแดงเดช
โซ่วิญญาณอสูรเป็นดั่งแส้ที่ฉีกกระชากท้องฟ้าขณะที่มันฟาดลงมา เสียงโจมตีของมันดังกึกก้องสะท้านสั่น ประหนึ่งภูเขาที่ทอดตัวพาดผ่านท้องฟ้าด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
ทุกคนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว การโจมตีในครั้งนี้น่าสะพรึงยิ่ง มันสามารถทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีบาดเจ็บจนถึงขั้นเนื้อแตกเป็นริ้ว ก่อนจะถูกสังหาร
ตู้ม!
แผ่นหลังของเฉินซีคล้ายมีดวงตาซ่อนไว้ จุดชีพจรทั่วทั้งร่างเปิดออกคล้ายเม่นกางหนาม ส่งปราณกระบี่ระเบิดออกมาอย่างรุนแรง พุ่งตรงเข้าไปทำลายการโจมตีให้ดับสลาย ในขณะที่ปราณกระบี่จำนวนมากที่เหลืออยู่ก็โคจรเข้าใส่เป่ยหวง
ใบหน้าของเป่ยหวงในเวลานี้เขียวคล้ำ เขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ดังนั้นจึงได้ล่าถอยด้วยความเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ สิ่งที่ไฮว่หมิงต้องเผชิญก่อนหน้านี้ยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจ แล้วเขาจะไปเอาความกล้าที่ไหนมาต้านทานปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวนี้กัน?
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้ เฉินซี… ชายหนุ่มผู้นี้ช่างมีชีวิตอยู่เพื่อเย้ยหยันโชคชะตาโดยแท้ ทั้ง ๆ ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่ก็ยังสามารถปัดป้องและเผยการโจมตีตอบโต้ที่รุนแรงได้ …ช่างแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!
“ฮึ่ม! เป็นการต่อสู้ที่ไร้ความหวังจริง ๆ! ขอข้าดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะสู้ได้สักแค่ไหน!” สายตาของหลวงจีนจื่ออวิ๋นเยือกเย็นขณะที่สั่งให้ธงเทพโลหิตผสานปกคลุมท้องฟ้าด้วยสีเลือด จากนั้นตัวคนจึงผลักธงเบญจธาตุไปยังเฉินซีที่อยู่ตรงกลางโดยพร้อมเพรียงกัน
ผืนฟ้าและแผ่นดินชโลมไปด้วยสีแดงฉานราวกับโลหิต สายลมเย็นยะเยือกพัดกระหน่ำ วิญญาณพยาบาทครวญคร่ำ โลหิตแดงฉานคาวคลุ้งเจิ่งนองตลอดทั้งบริเวณ แม้แต่รัศมีแห่งบาปก็กระจายแผ่ไปทั่ว ทำให้พื้นที่โดยรอบกลายเป็นนรกแห่งเลือด ราวกับว่าโลกใบนี้ได้ถูกพันธนาการไว้ แผ่แรงกดดันมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาจนทำให้มันแทบจะระเบิด!
จริงอยู่ที่คนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้รับรู้ถึงมัน ทว่าแรงกดดันนี้ก็ทำให้เฉินซีรู้สึกเหมือนกับตนกำลังถูกภูเขาลูกมหึมากดทับ พลังของมันน่ากลัวเสียจนส่งผลให้โลหิต ผิวหนัง และกระดูกของเขาแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ
หลวงจีนจื่ออวิ๋นเหยียดยิ้มทันที ประหนึ่งว่าชัยชนะกำลังอยู่ในมือของเขาแล้ว เจ้าตัวตวัดแส้ห้างม้าสีขาวไปมา ไม่นานก็บังเกิดสายฟ้าสีแดงโลหิตฟาดลงมาจากท้องฟ้า เข้าโจมตีไปยังร่างของเฉินซีด้วยพลังที่รุนแรงพอจะทำให้ชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
“ลุงยง เจ้าสามารถฝ่าเข้าไปในธงเทพโลหิตผสานได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้น เฉินซีได้ตกอยู่ในอันตรายแน่!” ไป๋หลี่เยียนกระซิบเสียงเบา ใบหน้าของนางดูวิตกอย่างมาก
“ทูลฯ องค์หญิง มันไม่ง่ายเลยพ่ะย่ะค่ะ เว้นแต่เราจะใช้สมบัติวิเศษอย่างระฆังราชันนิรันดร์ เพราะแม้ว่าธงเทพโลหิตผสานผืนนี้จะเป็นของลอกเลียนแบบ แต่พลังของมันก็ไม่ได้แตกต่างกับสมบัติวิเศษระดับวิญญาณทมิฬเลย ถึงอย่างนั้น ตอนที่พวกเราออกเดินทางมา พวกเราไม่ได้นำอาวุธเซียนชิ้นนั้นมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ข้ารับใช้ชราที่อยู่ใกล้ ๆ ส่ายหน้า
“น้องชาย เจ้ายังเด็กและไร้เดียงสา ทว่ากลับกล้าอวดดีคิดผดุงความยุติธรรมในนามแห่งสวรรค์ ข้าล่ะทนเห็นไม่ได้จริง ๆ ดังนั้นข้าจะทำลายการบ่มเพาะของเจ้าและมอบบทเรียนที่เจ้าไม่มีวันลืม!” หลวงจีนจื่ออวิ๋นยิ้มพรายด้วยสีหน้าอ่อนโยน ผิดกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ทันใดนั้น สายฟ้าสีแดงพลันฟาดลงมายังร่างของเฉินซีอีกครั้ง
ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน “ตาเฒ่าเอ๊ย เจ้าคิดว่าเจ้าเก่งกล้าปานนั้นจริง ๆ หรือ?”
สิ้นคำพูด พลังอันสูงส่งพลันเปล่งประกายออกมาจากร่างกายของชายหนุ่มในฉับพลัน มันเป็นแสงที่ลึกล้ำ มั่นคง และยิ่งใหญ่ แตกต่างจากรัศมีโดยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง!
ไม่นานนัก วังวนแห่งพลังมหาศาลได้โคจรหมุนวนและส่งเสียงกึกก้องอยู่รอบกายอันผ่าเผยของเฉินซี
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อเห็นว่าเลือด บาป หรือแม้แต่วิญญาณพยายามที่คืบคลานออกมาจากธงเทพโลหิตผสานล้วนแต่ถูกกลืนกินเข้าไปในวังวนนั้น ก่อนที่พวกมันจะเข้าผสานกับร่างของเฉินซี
อีกาจำนวนมากส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ท่ามกลางกระแสวังวนนั้น พวกมันวิ่งชนสวรรค์ทั้งเก้าและท่องหายไปในจักรวาล ไม่เพียงเท่านั้น มันยังปรากฏหนังสือโบราณที่เรืองแสงริบหรี่ภายในวังวนเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ อีกด้วย
นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ ซึ่งเกิดจากการผสานระเบียนแดนมรณะเข้ากับก่ออัสนีผสานดารา
ระเบียนแดนมรณะเป็นตำราลึกลับที่สืบทอดมาจากยมโลก มันถูกส่งต่อมาผ่านจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามนับแต่ยุคบรรพกาล นับเป็นคัมภีร์เซียนที่มีศักดิ์สูงที่สุดในยมโลก ทั้งยังเป็นสมบัติล้ำค่าที่อยู่เหนือพลังธรรมชาติทั้งปวง
เมื่อนานมาแล้วจี้อวี๋เคยกล่าวไว้ว่า จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามเป็นมหาบุรุษอย่างแท้จริง เขาท่องไปในสามภพอย่างอิสรเสรีมาตลอดหลายยุคหลายสมัย สร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกภพทุกแดน อีกทั้งคนผู้นี้ยังสามารถควบคุมวิถีแห่งสังสารวัฏทั้งหกได้ และเขายังเคยประมือกับปรมาจารย์แห่งเคหาบ่มเพาะเป็นเวลาตลอดสิบปีโดยไม่เคยพ่ายแพ้!
คนคนนี้มีปณิธานสูงส่งที่จะโค่นล้มสวรรค์ ล้างเผ่าพันธุ์อสูร และสร้างการปกครอง รวมถึงกฎในสามภพขึ้นมาใหม่ ด้วยหวังว่าจะสามารถมอบยุคแห่งสันติสุขและความเฟื่องฟูให้กับทุกสรรพสิ่งบนโลก
ทว่าความตั้งใจนี้กลับสร้างความเกลียดชังให้แก่เซียนสวรรค์และเผ่าอสูรในสามภพอย่างมาก จึงลงเอยด้วยการที่อีกฝ่ายถูกกำจัดทิ้งในที่สุด จักรพรรดิยมโลกองค์ที่สาม… ต้องจบชีวิตลงพร้อมกับความเคียดแค้นในใจ!
ระเบียนแดนมรณะก็เหมือนกับพู่กันพิพากษามาร พวกมันเป็นสมบัติวิเศษที่จักรพรรดิยมโลกใช้เมื่อครั้งเดินทางไปทั่วทั้งสามภพ ทั้งยังเป็นศัสตราวุธที่มีไว้เพื่อสังหารเผ่ามารและอสูร ซึ่งตัวระเบียนแดนมรณะเองนั้นสามารถสร้างโลกอีกใบขึ้นภายในตัวมันได้ และยังสร้างเส้นทางที่เรียงรายไปด้วยดอกปารมิตา โดยใช้ทะเลทุกข์เป็นสะพานเชื่อมไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งเป็นวิถีแห่งสังสารวัฏทั้งหกของยมโลก
นอกจากนี้ ทั้งระเบียบแดนมรณะและพู่กันพิพากษามารต่างก็มีหน้าที่ค้ำจุนกันและกัน พู่กันพิพากษามารนั้นคอยควบคุมดูแลการเกิดดับ ในขณะที่ระเบียนแดนมรณะมีหน้าที่นำพาวิญญาณไปสู่อีกฟากฝั่งหนึ่ง
วิญญาณใดก็ตามที่ถูกสังหารด้วยพู่กันพิพากษามาร ต้องชำระบาปของตนให้บริสุทธิ์ด้วยระเบียนแดนมรณะ ก่อนที่จะถูกพิพากษาตัดสิน และนำตัวไปยังวงล้อแห่งสังสารวัฏหกวิถี
ตอนที่เฉินซีกำลังรับมือกับพลังของธงเทพโลหิตผสานด้วยความยากลำบากก่อนหน้านี้ ระเบียนแดนมรณะพลันเกิดความผันผวนขึ้น ทำให้เขาตระหนักได้ว่าสิ่งนี้นั่นเองที่สามารถช่วยให้ชายหนุ่มต้านทานสมบัติล้ำค่าแห่งความชั่วร้ายชิ้นนี้ได้
ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้สร้างกระบวนท่าก่ออัสนีผสานดาราเพื่อกลืนกินพลังงานที่อยู่ภายในธงเทพโลหิตผสาน ส่งผลให้แรงกดทับบนร่างกายเบาบางลงไปมาก
ยิ่งกว่านั้น ชายหนุ่มยังสังเกตเห็นว่าแสงทองแห่งคุณธรรมได้แผ่ขยายจนประจักษ์ชัดภายในแดนฮุ่นตุ้น ให้ความรู้สึกราวกับว่ามีดอกไม้สีทองโปรยปรายลงมาจากผืนฟ้า ทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่การบ่มเพาะของดวงจิตแห่งเต๋าก็ทวีขึ้นไปตาม ๆ กัน!
จนชายหนุ่มสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังลึกลับที่อยู่ภายในดวงจิตแห่งเต๋าได้อย่างชัดเจน!
นี่เป็นผลพลอยได้ที่เฉินซีเองก็คาดไม่ถึง เนื่องจากธงเทพโลหิตผสานนั้นได้รับการขัดเกลาโดยหลวงจีนจื่ออวิ๋นเป็นเวลากว่าสามพันปี ดังนั้นบาป เลือด และวิญญาณพยาบาทที่สถิตอยู่ภายในนั้นจึงน่ากลัวและมากมายดั่งมหาสมุทร หลังจากที่มันถูกระเบียนแดนมรณะกลืนกิน พลังแห่งบาปก็สูญสลายไป ส่วนวิญญาณพยาบาทนั้นจะถูกนำพากลับสู่สังสารวัฏ ทำให้แสงสีทองแห่งคุณธรรมถูกส่งต่อให้เฉินซีไปโดยปริยาย
“หึ! ข้าประเมินเจ้าต่ำไปอย่างนั้นหรือ?” หลวงจีนเฒ่าเอ่ยอย่างเหยียดหยัน สายฟ้าสีแดงของเขาล้วนแต่ถูกกลืนกินและหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเฉินซี ทำให้กลิ่นอายพลังบนตัวของชายหนุ่มเรืองรองขึ้นอย่างมาก
“บังอาจนัก! เจ้าคนทราม! เจ้ากล้ากลืนกินพลังของธงเทพโลหิตผสานของข้าได้อย่างไร!” ทันทีที่หลวงจีนจื่ออวิ๋นสังเกตเห็นความผิดปกติ สีหน้าของเจ้าตัวก็หม่นลงแทบจะในทันที ยามนี้ เขารู้สึกโกรธจัดอย่างยิ่ง!
ตอนนี้เอง ไม่ว่าใครก็ล้วนรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเฉินซีเป็นเหมือนหุบเหวไร้สิ้นสุดที่ดูดกลืนพลังจากธงเทพโลหิตผสานอย่างบ้าคลั่ง …ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
ไม่มีใครในกลุ่มพวกเขากล้าเชื่อว่าพลังซึ่งสอดประสานเข้ากับบาป วิญญาณพยาบาท วิญญาณชั่วร้าย และเลือดจะถูกดูดกลืนเข้าไปได้! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องได้เห็นกับตา แค่จินตนาการถึงมัน พวกเขายังไม่กล้าเลยสักครั้ง!
“ลุงยง นั่นคือความลึกล้ำของปฏิการะแห่งวันป่าธยานะหรือ?” องค์หญิงไป๋หลี่จับจ้องไปยังเบื้องหน้าด้วยท่าทางอ้ำอึ้ง
“กระหม่อมเกรงว่าไม่น่าจะใช่ ปฏิการะแห่งเต๋ารู้แจ้งนั้นมีรัศมีแห่งความเมตตา ตามคำกล่าวที่ว่า ‘เมื่อวางดาบฆ่าคนได้ ย่อมสามารถบรรลุเป็นพุทธะ*[1]’ ซึ่งมันแตกต่างกับรัศมีอันเรืองรองของเขาในเวลานี้โดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่า… นี่จะเป็นกลิ่นอายของยมโลก ทว่ามันดูคลุมเครือนัก กระหม่อมเองก็ไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ” ข้ารับใช้ชราขมวดคิดพลางส่ายหัว
“สหายเต๋าทั้งหลาย จงมาร่วมฆ่าเจ้าเด็กสารเลวผู้นี้เถอะ!” ใบหน้าของหลวงจีนจื่ออวิ๋นเต็มไปด้วยความคั่งแค้น เขาตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว และไม่คิดลังเลใด ๆ อีก
ธงเทพโลหิตผสานเป็นที่พึ่งเดียวของเขาที่เพียรพยายามขัดเกลามาหลายพันปี ซึ่งกว่าจะสำเร็จได้เช่นนี้นั้นก็ลำบากยากเข็ญไม่น้อย ดังนั้นหากมันได้รับความเสียหาย มันก็ไม่ต่างกับว่าชีวิตของเขาได้ตายลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง!
อีกทั้ง ในฐานะที่เป็นผู้ครองบาปมหันต์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ ความรุนแรงของทัณฑ์สวรรค์ที่เขาเผชิญนั้นน่ากลัวกว่าคนธรรมดาถึงสิบเท่าหรือร้อยเท่าได้ ด้วยเหตุนี้ หากธงเทพโลหิตผสานถูกทำลาย แล้วตัวเขาจะต้านทานทัณฑ์สวรรค์ครั้งต่อไปได้อย่างไรกัน?
ทันทีที่พูดจบ หลวงจีนเฒ่าก็เริ่มเคลื่อนไหวเป็นคนแรก เขาสั่งให้ธงเทพโลหิตผสานสร้างแม่น้ำเลือดสายใหญ่ทั้งห้าสายเพื่อโจมตีเฉินซี
ปั้ง!
ร่างของเฉินซีสั่นไหว ที่มุมปากของชายหนุ่มซึมไปด้วยเลือดที่กระอักจากในอก ความประหวั่นเกิดขึ้นภายในใจ ธงเทพโลหิตผสานของหลวงจีนเฒ่าไม่ธรรมดาจริง ๆ พลังทั้งหมดที่อีกฝ่ายใช้ในยามนี้ แม้แต่ตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บในระดับหนึ่ง!
พลังโจมตีของอีกฝ่ายรุนแรงมาก ประหนึ่งร่างกายถูกคลื่นน้ำกลางมหาสมุทรถาโถมใส่ จนแม้แต่วังวนสายฟ้าที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่งรอบ ๆ ตัวของเขาก็ไม่สามารถกลืนกินพวกมันได้ทั้งหมด
แม้ว่าธงเหล่านี้จะเป็นเพียงของลอกเลียนแบบ ไม่ใช่สมบัติวิเศษที่แท้จริงซึ่งถูกกำจัดไปในยมโลกเมื่อนานมาแล้ว แต่มันก็ยังคงแฝงพลังของสมบัติวิเศษระดับวิญญาณทมิฬเอาไว้อย่างสมบูรณ์ กระนั้น การบ่มเพาะของเฉินซีที่ผสานกับระเบียนแดนมรณะและก่ออัสนีผสานดารา ก็มากพอที่จะทำให้เขาสามารถต้านทานพลังดังกล่าวได้ ซึ่งนับเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เฉินซีเป็นผู้เกิดมาเพื่อท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไฮว่หมิง เป่ยหวง ฉือหยา และหวงเจียวก็เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกัน พวกเขาหยิบสมบัติวิเศษจำนวนมากที่เปี่ยมกลิ่นอายโลหิต ก่อนจะประสานการโจมตีเข้าใส่เฉินซี
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนร้องออกมาด้วยความตกใจ หากผู้ครองบาปมหันต์ทั้งห้านี้เคลื่อนไหวด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มี กอปรกับธงเทพโลหิตผสานแล้ว พลังของพวกเขาย่อมมากพอที่จะทำลายล้างโลกทั้งใบ แล้วอย่างนี้ เฉินซีจะรับมือกับพวกเขาได้อย่างไร?
“ฆ่ามัน!” หลวงจีนจื่ออวิ๋นคำรามพร้อมกับสั่งการธงเทพโลหิตผสานด้วยพลังทั้งหมด ควบคุมให้มันพุ่งลงมาพร้อมกับเสียงกัมปนาทที่สะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ คล้ายว่าพลังของมันนั้นจะรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน ซึ่งก็คงเป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการที่จะพันธนาการเฉินซีไว้ก่อนจะบดขยี้อีกฝ่ายให้เป็นชิ้น ๆ
“ตายซะ!”
“อย่าอยู่เลย!”
ไฮว่หมิงและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีคนอื่น ๆ ต่างก็ตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด พวกเขาพยายามพุ่งเข้าไปโจมตีเฉินซีอย่างไม่ลดละ และเป้าหมายก็มีเพียงความต้องการที่จะปลิดชีวิตอีกฝ่ายเท่านั้น!
ท่ามกลางภาวะวิกฤตนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็ส่งเสียงเยือกเย็น ร่างกายที่เมื่อก่อนหน้านี้ไม่สามารถขยับได้พลันกระโจนขึ้นพร้อมกับรัศมีที่เจิดจ้าและพร่างพราย ไม่นานนัก เสียงแห่งเต๋าก็ได้ดังกึกก้อง ก่อนจะก่อตัวเป็นอักขระยันต์มากมายที่โอบล้อมชายหนุ่มไว้อย่างไม่มีสิ้นสุด
เมื่อมองจากที่ห่างไกล ราวกับร่างกายของชายหนุ่มจะเปลี่ยนสภาพเป็นเต๋าแห่งยันต์อักขระ ทำให้เขาดูคล้ายกับจักรพรรดิแห่งยันต์อักขระที่ท่องไปทั่วแดนดินพร้อมด้วยพลังอำนาจที่เหลือล้น
อำนาจพันธนาการที่เกิดขึ้นจากธงเทพโลหิตผสานหาได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย!
“พวกเจ้าเอาแต่พล่ามคำว่าฆ่า ๆๆ ไม่หยุด เห็นทีว่าข้าคงต้องลงมือแล้วสินะ” เขาพูดด้วยเสียงไร้อารมณ์ จากนั้นก็เดินถือยันต์ศัสตราเข้ามา ชายหนุ่มในตอนนี้ประหนึ่งเทพเซียนที่หลุดพ้นจากกรงขังแห่งมนุษยภูมิ และอยู่เหนือขอบเขตของเบญจธาตุ ชายหนุ่มตวัดยันต์ศัสตราเพื่อสร้างความผันผวนอันไร้ขอบเขตให้ปะทุออกมา และสกัดกั้นการโจมตีจากอีกฝ่ายโดยเร็ว
“บัดซบ! เจ้าเด็กนี่มันจะเกินไปแล้ว! พันธนาการของข้าใช้ไม่ได้ผล!” หลวงจีนจื่ออวิ๋นรู้สึกตกใจ เพราะเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนที่สามารถรอดพ้นจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของธงเทพโลหิตผสานไปได้ มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ
ชิ้ง!
ยังไม่ทันที่เสียงใดจะเดินทางมาถึง เฉินซีพลันตวัดปราณกระบี่รังสรรค์ออกมาผ่านการเอื้อมมือ พลังของมันทวีความลึกลับขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะกลายเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาปลดปล่อยออกมา
ฉับ!
สมบัติวิเศษในมือของไฮว่หมิงขาดสะบั้นในทันที ขณะเดียวกันนั้น ปราณกระบี่ไม่ได้สูญเสียแรงผลักดันแม้แต่น้อย มันยังคงปะทะเข้ากับร่างของไฮว่หมิงด้วยแรงเต็มกำลัง ทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงร้องโหยหวนที่น่าเวทนาสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน ก่อนจะเงียบเสียงลงพร้อมกับวิญญาณที่ถูกปลิดจากร่างซึ่งขาดสะบั้น
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ไฮว่หมิงผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามกลับถูกสังหาร!
ทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงตะลึงงัน ปราณกระบี่ที่เปล่งประกายนี้ทรงพลังเกินไป! ก่อนหน้านี้มันสามารถผ่าดวงดาวให้เป็นเสี่ยง ๆ ได้ ดังนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีก็หาใช่สิ่งที่คณามือไม่!
เหตุการณ์เบื้องหน้าทำให้หัวใจของผู้คนที่ได้พบเห็นหนาวสะท้าน พวกเขาถึงกับเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง
[1] เมื่อวางดาบฆ่าคนได้ ย่อมสามารถบรรลุเป็นพุทธะ (放下屠刀立地成佛) เป็นวลีในใช้เกลี้ยกล่อมให้คนชั่วกลับตัวเป็นคนดี สื่อถึงการกลับเนื้อกลับตัว ที่ขอเพียงคิดได้ก็จะสามารถเป็นคนดีได้ทันที