บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 794 ทาสรับใช้ผู้ไร้มารยาท

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 794 ทาสรับใช้ผู้ไร้มารยาท

บทที่ 794 ทาสรับใช้ผู้ไร้มารยาท

ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี

ภายในห้องสำหรับแขกผู้มีเกียรติในตำหนักอ๋องเวิน

เฉินซีนั่งขัดสมาธิ ขณะที่ร่างกายของชายหนุ่มเปล่งแสงสีทองที่แผ่ออกไปในรัศมีสิบสองจั้งโดยรอบ ถึงแม้มันไม่จะแพรวพราว แต่กลับนุ่มนวลและอ่อนโยน ทำให้อากาศรอบข้างดูเหมือนกำลังโห่ร้องและกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี เพราะถูกอาบไล้ด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์นี้

นี่คือแสงทองแห่งคุณธรรม ซึ่งมีกลิ่นอายที่สอดคล้องกับฟ้าดิน และเป็นที่โปรดปรานของสรรพสิ่งในโลก

ในขณะเดียวกัน วัตถุจำนวนมากที่เต็มไปด้วยแสงสีเลือดและขดตัวด้วยบาปถูกวางอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่ม อีกทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าที่หลากหลาย และวัตถุชั่วร้ายที่สุดแสนจะชั่วร้ายหลายอย่าง เช่น โครงกระดูก แก่นโลหิตของวิญญาณพยาบาท และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย

สิ่งของทั้งหมดนี้ต่างได้รับมาจากหลวงจีนจื่ออวิ๋นและคนอื่น ๆ หลังจากที่เขาตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว และเห็นว่าพวกมันไม่ได้มีประโยชน์มากนัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะขัดเกลาพวกมันทั้งหมดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันเล็ดลอดไปสู่โลกภายนอกและนำพาหายนะมาสู่โลกหล้า

นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังได้รับแสงทองแห่งคุณธรรมจำนวนหนึ่งจากการขัดเกลาพวกมัน ซึ่งมันได้หลอมรวมและควบแน่นกับการบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเขา ดังนั้นสิ่งนี้จึงกลายเป็นผลกำไรที่ได้มาอย่างคาดไม่ถึงแทน

ฟิ้ว!

บาปจากวัตถุชั่วร้ายจำนวนมากได้รับการขจัดและชำระให้บริสุทธิ์ ในขณะที่แดนฮุ่นตุ้นของเฉินซีถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองแห่งคุณธรรม มันเหมือนกับสายฝนสีทองที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งย้อมสวรรค์และโลกด้วยม่านน้ำที่ทั้งบริสุทธิ์และใสกระจ่าง อีกทั้งยังเงางามอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายในแดนฮุ่นตุ้นของเขาเงียบสงบ ราวกับเป็นสรวงสวรรค์ที่สานุศิษย์ของนิกายพุทธล้วนแต่ใฝ่ฝันถึง

ในเวลาเดียวกัน พลังที่อยู่ภายในจิตวิญญาณของเขาก็เริ่มควบแน่นทีละน้อย และชัดเจนมากขึ้น

เมื่อเฉินซีขัดเกลาธงเทพโลหิตผสานเสร็จเรียบร้อย พลังดวงจิตแห่งเต๋าของเขาก็ได้ควบแน่นจนมีขนาดเท่ากับไข่ไก่แล้ว มันเป็นวัตถุแกนกลางที่มีรูปทรงกลมและบริสุทธิ์!

นี่คือแก่นทองคำแห่งคุณธรรมที่เรียกว่าแก่นดวงใจ มันเปล่งประกายแสงสีทองอันแรงกล้าที่สาดส่องอวัยวะภายในทั้งหมดภายในร่างกายของเฉินซี อีกทั้งยังดูเหมือนพวกมันจะถูกเคลือบด้วยชั้นของผลึกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเปล่งประกายแวววาวที่ทั้งบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ณ ตอนนี้ ชายหนุ่มได้รู้แล้วว่า สิ่งที่เรียกว่าแก่นหัวใจถูกควบแน่นจากพลังงานลึกลับที่มาจากดวงจิตแห่งเต๋าของเขา พลังงานประเภทนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก และดูจะไม่มีเคล็ดวิชาใดบ่มเพาะมันได้ อีกทั้งยังทำความเข้าใจได้ยาก

อย่างน้อยที่สุด เฉินซีก็ยังไม่มีความสามารถในการทำความเข้าใจมันด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบัน

แต่หากเฉินซีต้องการขัดเกลาและบ่มเพาะพลังดวงใจ ก็มีวิธีมากมายให้ค้นหา เช่นการสังหารคนบาปผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นวิธีที่ตรงที่สุดและชัดเจนที่สุด

เมื่อมองดูในตอนนี้ ผลประโยชน์ที่เฉินซีได้รับจากพลังดวงใจยังคงน่าอัศจรรย์

พลังงานประเภทนี้สามารถทำให้เขาต่อสู้ได้นานขึ้น และไม่ต้องทนทุกข์เหมือนเมื่อก่อน เพราะถึงแม้จะมีต้นอ่อนเงาทมิฬที่เสริมปราณแท้ให้อย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงอยู่ดี

หากกล่าวว่าปราณแท้และปราณจ้าววิญญาณเป็นแหล่งพลังงานในการต่อสู้ จิตสัมผัสเทพก็คือวิธีการควบคุมความแข็งแกร่งประเภทหนึ่ง และพลังดวงใจนี้ก็เป็นพลังงานประเภทหนึ่งที่เพิ่มความอดทนในการต่อสู้แทน

แม้มันจะดูไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อเกิดการต่อสู้ขึ้นจริง ๆ ภายใต้สถานการณ์ที่การบ่มเพาะและพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเท่ากัน ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะขึ้นอยู่กับพลังดวงใจเพื่อตัดสินผู้ชนะคนสุดท้าย

ดั่งคำกล่าวที่ว่า สงครามที่ยืดเยื้อจะวัดกันที่ ‘เสบียง’ ส่วนการต่อสู้วัดกันที่ ‘พลังใจ’!

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงประโยชน์เดียวของมันที่ชายหนุ่มค้นพบในตอนนี้ บางที มีแต่ต้องขัดเกลาการบ่มเพาะของเขาอย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าการใช้พลังดวงใจมีประโยชน์ที่ลึกล้ำอันใดบ้าง

หลังจากชำระวัตถุเหล่านี้ที่มีพลังงานแห่งบาปทั้งหมดแล้ว เฉินซีก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก ยามนึกถึงการต่อสู้ในตอนกลางวัน

ทั้งการบ่มเพาะและความเข้าใจในเต๋าของเฉินได้บรรลุถึง ‘ขอบเขตขีดสุด’ แล้ว เมื่อเทียบกับในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน อีกทั้งเขายังครอบครองสุดยอดพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว

ทั้งศาสตร์เต๋าและพลังอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดที่เฉินซีทำความเข้าใจนั้น เป็นมรดกสูงสุดของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง ในขณะที่เต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่รังสรรค์ที่เขาเข้าใจนั้นได้รับมาจากจักรพรรดิมดผู้สูงส่งจากยุคบรรพกาล นอกจากนั้น พลังอิทธิฤทธิ์อื่น ๆ ของเขา เช่น เนตรเทวะแห่งความจริงและปีกกำราบผกผันต่างก็เป็นสุดยอดพลังอิทธิฤทธิ์ในภพทั้งสามทั้งสิ้น!

ส่วนศัสตรานั้น เฉินซีมีชุดเกราะขนนกหมอกใต้พิภพซึ่งเป็นสมบัติอมตะเพื่อปกป้องตัวเอง ยันต์ศัสตราที่มีคุณสมบัติในฐานะอาวุธสังหารเทียบเท่ากับสมบัติอมตะที่แท้จริง อีกทั้งเขายังครอบครองระเบียนแดนมรณะ และพู่กันพิพากษามาร

ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ การสังหารหลวงจีนจื่ออวิ๋นและผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีอีกเจ็ดคน ย่อมเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และคงจะน่าแปลกใจ หากชายหนุ่มไม่อาจฆ่าพวกเขาได้

นอกจากนี้ ร่างอวตารของเขายังอยู่ในการปิดด่านบ่มเพาะในโลกแห่งดาราอยู่ในขณะนี้ และมันกำลังทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายาด้วยความช่วยเหลือจากผลึกโลหิตที่ควบแน่นจากวิญญาณอัสนีและควบคู่ไปกับกฎแห่งเวลาที่ไม่เหมือนใครในโลกแห่งดารา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่า ร่างอวตารของเฉินซีจะไม่สามารถบรรลุสู่ขอบเขตสถิตกายาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

ในเวลานั้น ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกสักเท่าใด เมื่อร่างอวตารได้หลอมรวมกับร่างหลักแล้ว?

เฉินซีตั้งตารอการมาถึงของวันนั้นจริง ๆ

“ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของข้า ข้าแทบจะไม่สามารถเอาชนะผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสี่ที่มากด้วยพรสวรรค์ได้ และแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับห้าก็อาจขัดขวางจนข้าไม่อาจหลบหนีได้…” เฉินซีกำลังครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เขาตระหนักดีว่า หากเผชิญหน้ากับตัวตนในขอบเขตเซียนปฐพีซึ่งมีพรสวรรค์อันไร้เทียมทาน ชายหนุ่มอาจทำได้เพียงหลบหนีเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไร มันก็ยังมีความห่างชั้นขนาดใหญ่ระหว่างขอบเขตสถิตกายากับขอบเขตเซียนปฐพีอยู่ และมันก็เหมือนความแตกต่างระหว่างฟ้ากับเหว ดังนั้นไม่ว่าพลังต่อสู้ของเฉินซีจะทรงพลังเพียงใด ชายหนุ่มก็สามารถจัดการกับผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีทั่วไปได้เท่านั้น

“หืม?” ในขณะนี้ เฉินซีดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาจึงเงยหน้ามองออกไปทางด้านนอกหน้าต่าง

ภายใต้ม่านราตรีกาล เสิ่นเหยียนเดินไปที่ห้องของเฉินซีอย่างเงียบ ๆ จากนั้นตรวจสอบสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อพบว่าไม่มีใครเฝ้าอยู่ที่นี่

แต่เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าประตูในขณะนี้ เจ้าตัวกลับดูลังเลเล็กน้อย

ในฐานะข้ารับใช้ของตำหนักแห่งนี้ เขาย่อมได้เห็นการต่อสู้ของเฉินซีกับผู้ครองบาปมหันต์ทั้งแปดในตอนกลางวันเช่นกัน และเสิ่นเหยียนในเวลานั้นก็ตกใจมากเสียจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง

เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่านายน้อยที่พูดกับตนด้วยท่าทางที่อบอุ่นและเป็นมิตร จะมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวและเกือบจะเหมือนเทพสงครามที่ทรงพลังยิ่ง!

อีกฝ่ายมีกลิ่นอายแห่งอำนาจสูงสุดและเปี่ยมล้นด้วยความอหังการ ในขณะที่สังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพี ชายหนุ่มผู้นี้ก็ราวกับกำลังเชือดคอไก่! ท่วงท่าที่สง่างามไร้ใดเปรียบและเคล็ดวิชาที่สั่นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้เด็กหนุ่มลืมหายใจในขณะที่เฝ้าดู ยิ่งกว่านั้นเจ้าตัวก็ยังไม่อาจระงับความตกใจได้เมื่อนึกถึงในตอนนี้

‘นายน้อยคนนี้ไม่ใช่ทั้งสหายหรือญาติมิตรของข้า และเขาก็พูดกับข้าเพียงไม่กี่คำ ข้าจะทำให้เขาไม่พอใจด้วยการรบกวนโดยพลการ จนโดนขับไล่ออกไปหรือไม่?’

‘อนิจจา เสิ่นเหยียนเอ๋ยเสิ่นเหยียน โอกาสของเจ้าอยู่ตรงหน้าแล้ว หรือว่าเจ้าจะยอมปล่อยมันไปเยี่ยงนี้? นี่เจ้าลืมการที่ถูกเหยียบย่ำ ถูกเหยียดหยาม ถูกปฏิเสธ และการข่มเหงรังแกที่ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานมาตลอดหลายปีนี้ไปเสียแล้วหรือ?’

‘ใช่แล้ว! หากข้าต้องการแข็งแกร่ง ข้าก็ต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง! หากยังคงไม่กล้าเช่นนี้ แล้วชีวิตจะมีความหมายอันใด?’

‘ข้าต้องพยายามต่อสู้เพื่อมันอย่างเต็มที่ แม้จะมีความหวังเพียงริบหรี่ที่จะประสบความสำเร็จ แม้ว่ามันจะริบหรี่ แต่อย่างน้อยข้าก็ได้พยายามแล้ว ข้าจะไม่เสียใจและมีสติสัมปชัญญะที่ชัดเจน ทว่าหากข้าไม่กล้าแม้แต่จะต่อสู้เพื่อมันและยอมแพ้ไปเช่นนี้ มันก็เท่ากับการยอมแพ้ต่อชีวิตของข้า!’

‘จงทำให้ดีที่สุด! เสิ่นเหยียน!’

เสิ่นเหยียนพึมพำอยู่ในใจ ในขณะที่ให้กำลังใจตัวเอง ดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าที่มืดมนและมั่นคงของเขาก็ค่อย ๆ กลับมามีชีวิตชีวาและสดใสขึ้น

สำหรับตัวเขา ตัวตนอย่างเฉินซีนั้นเป็นดั่งเทพเจ้าสูงสุด ซึ่งอยู่ห่างไกลเกินเอื้อม แต่การตัดสินใจของเขาในตอนนี้เหมือนกับเป็นการรบกวนเทพเจ้า และความรู้สึกกระสับกระส่ายในใจของเขาก็เห็นได้ชัดเจน

แต่สุดท้ายชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าจะลองดู ดังนั้นเขาจึงหายใจเข้าลึก ๆ และก้าวไปข้างหน้าเพื่อยกมือขึ้นเคาะประตู

เอี๊ยด!

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่มือจะสัมผัสกับประตูที่ปิดแน่น ประตูกลับเปิดออกจากด้านในก่อนหนึ่งก้าว

เสิ่นเหยียนตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นร่างสูงกำลังส่งยิ้มให้จากภายในห้อง ร่างนั้นจ้องมองมาอย่างอบอุ่นและลึกซึ้ง ซึ่งทำให้หัวใจที่กระวนกระวายและวิตกกังวลของเด็กหนุ่มสงบลงโดยไม่รู้ตัว

“ผะ…ผู้อาวุโส…ขะ…ข้า” แต่เมื่อจะกล่าว เสิ่นเหยียนก็กล่าวตะกุกตะกักทันที และรู้สึกสับสนในการแสดงจุดประสงค์ของการมาเยือนของตน ทำให้ใบหน้าที่ดำคล้ำและเล็กของเจ้าตัวแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว

“เจ้าต้องการให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือ?” เฉินซีเอ่ยถาม

เสิ่นเหยียนรีบพยักหน้าเหมือนลูกไก่ที่จิกเมล็ดข้าวบนพื้น

เฉินซียิ้มและตบไหล่ที่อ่อนแอของอีกฝ่าย แล้วกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไป เจ้าไม่ได้รับโอกาสจากการรอคอยหรือใช้กลอุบายใด เจ้ากล้ามาที่นี่เพื่อเผชิญหน้า ดังนั้นแม้ว่าเจ้าจะถูกปฏิเสธ แต่ความสำเร็จของเจ้าในอนาคตจะไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน”

เสิ่นเหยียนเอ่ยถามขณะที่จ้องมองเฉินซีอย่างว่างเปล่า “แล้วผู้อาวุโสยินดีรับข้าเป็นศิษย์หรือไม่ขอรับ?”

ชายหนุ่มพยักหน้า “แน่นอน เจ้าต่อสู้เพื่อโอกาสนี้ ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าได้รับการทดสอบ”

เสิ่นเหยียนตกตะลึง จากนั้นเขาก็รู้สึกประหลาดใจจนอดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น ก่อนที่จะรีบหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อระงับความตื่นเต้นนี้ แล้วจึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโส โปรดชี้แนะ ไม่ว่ามันจะเป็นการทดสอบอันใด ข้าจะทำทุกอย่างให้สำเร็จ!”

เฉินซียิ้มและกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เสียงตำหนิอันทุ้มลึกกลับดังมาจากระยะไกล “ทาสรับใช้ผู้ไร้มารยาท! แทนที่จะหลับนอนตอนกลางคืน เจ้ากลับมารบกวนการพักผ่อนของผู้กล้าเฉินเสียอย่างนั้น เจ้าช่างสมควรตายยิ่งนัก! ยังไม่รีบไสหัวไปอีกหรือ!?”

พร้อมกับเสียงนี้ เวินเทียนซั่วพลันเดินเข้ามา รูปร่างของอีกฝ่ายสูงกำยำ ไหล่กว้าง ก้าวย่างอย่างมั่นคง และมีท่าทางที่น่าเกรงขาม

นายน้อยเวินก็ติดตามอยู่เคียงข้างเวินเทียนซั่วผู้เป็นบิดาเช่นกัน เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น ขณะกวาดมองผ่านเสิ่นเหยียนที่อยู่เคียงข้างเฉินซี และความเย็นชาอันรุนแรงก็วาบขึ้นในดวงตาของเขา

เสิ่นเหยียนดูราวกับถูกสาดด้วยถังน้ำเย็น ความตื่นเต้นและความยินดีที่มีก่อนหน้านี้ ได้สลายหายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย และถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจและความเย็นชา

สำหรับเสิ่นเหยียนซึ่งเป็นข้าทาสของตำหนักแล้ว เวินเทียนซั่วและเวินหัวเป็นบุคคลที่ไม่สามารถขัดขืนได้ กระทั่งมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายต่อตัวเขา เรื่องที่ตนแอบมาหาเฉินซีในตอนกลางคืนได้ถูกเปิดโปงและถูกจับได้คาหนังคาเขาในตอนนี้ ผลที่ตามมาอาจจะเป็นเรื่องที่เหนือความคาดคิดยิ่ง!

“นี่เจ้ายังยืนโง่งมอยู่ทำไม? รีบไสหัวไปซะ เร็วเข้า!” เวินหัวตำหนิเสิ่นเหยียนด้วยเสียงทุ้มต่ำ เพราะเขาไม่กล้าแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อหน้าเฉินซีมากเกินไป

ร่างกายของเสิ่นเหยียนแข็งทื่อ ในขณะที่เขาแสดงสีหน้าดิ้นรนและไม่แน่นอน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเฉินซี ก่อนที่จะมองไปทางท่านอ๋องและอ๋องน้อยที่จ้องมองกลับมาด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตร ก่อนที่โทสะจะพลันบังเกิดขึ้นในใจอย่างไม่มีเหตุผล และยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับไปไหน

เสิ่นเหยียนรู้ว่านี่เป็นโอกาสเดียวของเขา และถ้าจากไปเช่นนี้ ศพของเขาอาจจะถูกจัดการอย่างเงียบ ๆ ก่อนเช้าวันพรุ่งนี้ด้วยซ้ำ

อย่างไรเสียเสิ่นเหยียนก็เป็นเพียงทาสรับใช้ ดังนั้นเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร เมื่อตกเป็นเป้าหมายของทั้งท่านอ๋องและอ๋องน้อย?

“เจ้าทาสต่ำต้อย! เจ้านี่ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควรจริง ๆ เช่นนี้แล้วมันจะมีเหตุผลใดที่ข้าควรจะเก็บเจ้าไว้อีก!?” เวินหัวโกรธมาก จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าเสิ่นเหยียน

“หยุดมือ!” เฉินซีกล่าวในขณะที่ขมวดคิ้วแน่น

ทันใดนั้น มือที่ยกขึ้นของเวินหัวพลันแข็งค้างอยู่กลางอากาศ ซึ่งทำให้เจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เปลือกตาของเวินเทียนซั่วเองก็กระตุกอย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเขาก็โบกมือเป็นสัญญาณว่าเวินหัวควรถอยกลับมา ก่อนที่ผู้เป็นอ๋องจะกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้กล้าเฉินนั่นโอบอ้อมอารีมีเมตตา ท่านคงไม่สามารถทนเห็นคนถูกฆ่าตายได้ ดังนั้นข้าจะไว้ชีวิตเขา”

“ท่านอ๋อง ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าตั้งใจจะรับเสิ่นเหยียนเป็นศิษย์ของข้า และหากอ๋องน้อยลงมือกับเขา ชีวิตของอ๋องน้อยย่อมตกอยู่ในความเสี่ยงไปด้วย ดังนั้นข้าจึงเตือนเขา” เฉินซีตอบอย่างเฉยเมย

คำพูดของชายหนุ่มเผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่เย็นชาและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทำให้หัวใจของเวินเทียนซั่วและเวินหัวสูบฉีดเต้นแรง ในขณะที่ใบหน้าของคนทั้งคู่กลายเป็นซีดเผือด

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท