บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน – บทที่ 801 ขัดเกลาค่ายกลใหญ่

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 801 ขัดเกลาค่ายกลใหญ่

บทที่ 801 ขัดเกลาค่ายกลใหญ่

การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไปราวกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้

หลังจากใช้เคล็ดระเบิดสังหารเทวะ ไม่ว่าจะเป็นแก่นแท้ ปราณแท้ หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณในร่างกายของเฉินซี ก็จะถูกควบแน่นอย่างดุเดือด ซึ่งพวกมันดูจะเดือดพล่าน คำรามลั่น และเผาผลาญอย่างรวดเร็ว

นี่คือเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งยอมสละแก่นแท้ของผู้ใช้เพื่อแลกกับความแข็งแกร่ง เดิมที การบ่มเพาะและความเข้าใจในเต๋ารู้แจ้งของเฉินซีนั้น เพียงพอที่จะใช้พลังการต่อสู้ได้ถึงสิบเท่าแล้ว และเขาก็อยู่ในจุดสูงสุดของผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา

แต่ความแข็งแกร่งของเฉินซีในเวลานี้ได้ทวีคูณเป็นสองเท่า เมื่อรวมกับพลังการต่อสู้สิบเท่า จึงทำให้ชายหนุ่มสามารถใช้พลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวได้ถึงยี่สิบเท่า!

ยี่สิบเท่า!

พลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวนี้คือสิ่งอันใด? นับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน จะมีสักกี่คนที่บรรลุสิ่งนี้ได้?

บางทีแม้แต่หยาจื้อซึ่งเป็นสัตว์ร้ายในยุคบรรพกาล ผู้สร้างเคล็ดระเบิดสังหารเทวะก็ยังต้องบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่มันจะครอบครองพลังการต่อสู้ขอบเขตสถิตกายาที่ท้าทายสวรรค์เช่นเฉินซี!

ภายใต้สถานการณ์นี้ เฉินซีจึงสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีระดับสามได้อย่างง่ายดาย ราวกับเขากำลังหั่นผักผลไม้ ซึ่งการกระทำนี้ไม่ได้แตกต่างอะไรจากการเชือดคอไก่

ฝนโลหิตโปรยปรายลงมา ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนได้สั่นสะท้านไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า

ผมสีขาวของเฉินซีพลิ้วไหวราวกับน้ำตก ในขณะที่เขาถือยันต์ศัสตราและเคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ซึ่งทุกครั้งที่ฟันกระบี่ออกไป จะเกิดพลังทำลายที่บดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และไม่มีใครสามารถต้านทานพลังทำลายของชายหนุ่มได้เลย

นอกจากนี้ ยันต์ศัสตราสีดำสนิทและไร้ความแวววาวในมือของเขาก็สั่นสะท้าน ราวกับมันกำลังโห่ร้องหลังจากที่ลิ้มรสเลือดของศัตรู ยันต์เทวะห้าสายภายในตัวกระบี่ต่างหมุนเวียนและปลดปล่อยอักขระยันต์ออกมามากมาย ในขณะที่กระแสปราณต้นกำเนิดโกลาหลก็ถาโถมลงมาดุจแม่น้ำสีเงิน มันมีพลังในการอนุมานและการรังสรรค์ อีกทั้งยังทำลายกระบี่อมตะครั้งแล้วครั้งเล่า และสะบั้นศีรษะแล้วศีรษะเล่า!

ผู้อาวุโสจิ้งคงและคนอื่น ๆ ล้วนประหลาดใจและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ทำใจให้สงบได้ยาก

เนื่องจากไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่าเฉินซีจะน่ากลัวได้ถึงขนาดนี้ เขาเป็นเหมือนเทพอสูรที่ตื่นขึ้นหลังจากผ่านการจำศีลมาหลายยุคสมัย และไม่มีใครสามารถหยุดฝีเท้าของชายหนุ่มได้เลย!

พวกเขาในเวลานี้ถูกครอบงำด้วยความกลัว ร่างกายของทุกคนสั่นสะท้านอย่างยากจะควบคุม แม้แต่วิญญาณก็แทบหลุดออกจากร่าง ไม่ต้องกล่าวถึงการสร้างค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารอีกครั้ง แม้แต่ขวัญกำลังใจที่จะลุกขึ้นสู้ก็พังทลายลง!

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!?”

“ทุกการโจมตีจะสังหารผู้คน หรือว่าไอ้เด็กบัดซบนี่จะถูกทวยเทพเข้าสิง!?”

“เร็วเข้า! เจ้าเด็กคนนี้น่ากลัวเกินไป และมันไม่ใช่คนที่เราจะไปต่อกรด้วยได้ รีบไปแจ้งศิษย์พี่อวิ๋นจูให้ลงมือเร็วเข้า!”

ในขณะนี้ มีคนเหลืออยู่เพียงสามคนรวมทั้งผู้อาวุโสจิ้งคงด้วย พวกเขาเหมือนแมลงวันหัวขาดที่ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและเดือดดาล ขณะวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งราวกับสุนัขจรจัดที่ตื่นตระหนก

ถึงขนาดที่ว่าพวกเขาไม่สามารถรอให้ผู้อาวุโสอวิ๋นจูมาช่วยเหลือ และตั้งใจละทิ้งค่ายกลใหญ่นี้ในทันทีเพื่อรีบหลบหนีไป

“อย่าได้คิดหนี!” เฉินซียื่นมือออกไปและคว้าจับ ในขณะที่เปิดใช้งานเคหาดาราที่อยู่ในจี้หยก ทำให้มันกลายเป็นหลุมดำที่ดูดจิ้งคงและคนอื่น ๆ เข้าไปทันที โดยในเวลาเดียวกัน ร่างของเฉินซีก็เข้าไปในเคหาดาราพร้อมกับพวกเขาและหายวับไป

ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารนี้ถูกสร้างขึ้นจากม้วนภาพวาดกระบี่ระดับสมบัติอมตะแปดชิ้น ซึ่งสามารถผนึกฟ้าดินเพื่อสร้างโลกของตนเอง ดังนั้น หากเฉินซีปล่อยให้จิ้งคงและคนอื่น ๆ หนีไปได้ แม้เขาจะสามารถรับมือกับอันตรายในค่ายกลนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่มีศัตรูซุ่มโจมตีอยู่ทางข้างนอก

เฉินซีกักขังจิ้งคงและคนอื่น ๆ ไว้ภายในเคหาดาราอย่างสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาไม่สามารถหลบหนีได้ ดังนั้นตราบใดที่ชายหนุ่มสามารถฆ่าพวกมันก่อนจะจากไป อันตรายที่เขาต้องเผชิญจะลดลงอย่างมาก

วูบ!

แสงสีดำสนิทสว่างวาบก่อนที่เคหาดาราจะหายไป

โลกทั้งใบกลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง มีเพียงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่วท้องฟ้า

ภายนอกค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมาร

ผู้อาวุโสอวิ๋นจูดูจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นในทันใด และจ้องมองไปยังภาพวาดซึ่งก่อตัวขึ้นจากม้วนภาพวาดกระบี่ทั้งแปดม้วนที่ลอยอยู่กลางอากาศ หากแต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความงุนงง

เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารไม่ได้ถูกควบคุมอีกต่อไป และมันกำลังทำงานด้วยตัวเอง “ช่างแปลกนัก เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นภายในนั้น?”

“อาจารย์ลุง ท่านสังเกตเห็นอันใดหรือไม่” เหลิ่งฉานเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้เคียงตกตะลึง นางกำลังหารือกับเวินเทียนซั่วเกี่ยวกับแผนที่สมบัติของภูเขาร้างเต๋านภา แต่ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าท่าทางของผู้อาวุโสอวิ๋นจูดูจะไม่พอใจเล็กน้อย ทำให้นางสงสัยจนต้องเอ่ยถาม

“มีบางอย่างผิดปกติ” ผู้อาวุโสอวิ๋นจูขมวดคิ้ว ขณะที่ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความจริงจัง “จากการคำนวณของข้า เวลาเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอสำหรับจิ้งคงและคนอื่น ๆ ที่จะฆ่าเจ้าเด็กนั่น แต่ตอนนี้กลับไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้ ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารก็ปราศจากการควบคุมแล้ว”

เหลิ่งฉานเอ๋อร์ตกใจและรู้สึกว่าเชื่อได้ยาก “เป็นไปไม่ได้ ด้วยการบ่มเพาะของท่านอาจารย์จิ้งคงและคนอื่น ๆ แม้ว่าจะล้มเหลวในการสังหารเฉินซี แต่พวกท่านก็ควรมีเวลาพอที่จะหลบหนี แล้วพวกท่านจะละทิ้งค่ายกลไปได้อย่างไรกัน?”

ผู้อาวุโสอวิ๋นจูขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถเข้าไปได้เช่นกัน มิฉะนั้นข้าจะได้รับผลสะท้อนกลับจากค่ายกล และมันก็ไม่คุ้มค่า เว้นแต่จิ้งคงและคนอื่น ๆ จะเปิดค่ายกลจากข้างใน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้…”

“นี่… หรือว่า…เฉิน… เด็กคนนั้นได้ฆ่าทุกคนแล้ว” เวินเทียนซั่วที่อยู่ใกล้เคียงประหลาดใจยิ่ง และใบหน้าของเขาก็กลายเป็นซีดเผือด ในขณะที่เกือบจะอุทานชื่อของเฉินซีโดยไม่ได้ตั้งใจ

“นี่มันไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือ? แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเซียนปฐพีสิบสามคนจากนิกายวิถีกระแสสวรรค์ก็ไม่สามารถทำอะไรกับเฉินซีได้ แผนการครั้งนี้จะไม่จบลงด้วยความล้มเหลวใช่หรือไม่?”

“หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ ผลลัพธ์ที่รอข้าอยู่จะเป็นเช่นไรกัน?”

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของเวินเทียนซั่วก็อดไม่ได้ที่จะหนาวเหน็บ เขารู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง

“หุบปาก!” หญิงสาวตำหนิด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านอาจารย์ลุงทั้งสิบสามคนของข้าจะถูกฆ่าล้างในช่วงเวลาสั้น ๆ ได้อย่างไร? ข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าเจ้าเสีย หากเจ้ายังกล่าววาจาไร้สาระอีก”

เวินเทียนซั่วตัวสั่นด้วยความกลัว เมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยโทสะของเหลิ่งฉานเอ๋อร์ และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปมา ในขณะที่ตัวคนนิ่งเงียบเหมือนจักจั่นในฤดูหนาว

“เราทำได้แค่รอตอนนี้” ผู้อาวุโสอวิ๋นจูเงียบไปนานก่อนที่จะกล่าวช้า ๆ

เหลิ่งฉานเอ๋อร์เงียบไป นางรู้เช่นกันว่า ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารนั้นทรงพลังยิ่ง แม้ว่าจะไม่มีใครควบคุมค่ายกล แต่การที่ใครสักคนข้างนอกจะเข้าไปและควบคุมมันก็ยังเป็นเรื่องยาก มิฉะนั้น มันคงไม่คู่ควรที่จะเรียกว่าสมบัติอมตะ!

เป็นไปตามที่ผู้อาวุโสอวิ๋นจูกล่าวไว้ ตอนนี้พวกเขาทำได้แต่รั้งอยู่ที่นอกค่ายกลใหญ่ รอชมผลตัดสินอย่างใจเย็น!

เวลาไหลผ่านไปทีละนิดทีละน้อย

ใบหน้าของเหลิ่งฉานเอ๋อร์กับผู้อาวุโสอวิ๋นจูกลับยิ่งหนักอึ้งมากกว่าเดิม ซึ่งมันไม่น่าดูเลยแม้แต่น้อย

ในขณะนี้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“การต่อสู้นี้ยาวนานเกินไป จนกระทั่งถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีผู้ชนะปรากฏขึ้นได้อย่างไร?”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นข้างใน?”

ในเวลานี้ ทุกคนลืมแม้กระทั่งจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่ จิตใจของคนทั้งหมดต่างจดจ่ออยู่กับม้วนภาพวาดกลางอากาศที่ปกคลุมท้องฟ้า ในขณะที่กำลังรอคอยอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางบรรยากาศกดดัน

ครืน! ครืน!

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา ในขณะที่ทุกคนกำลังจะหมดความอดทน ค่ายกลยักษ์พลันเกิดคลื่นเสียงกัมปนาท ก่อนที่ปราณเซียนจะปั่นป่วนและเปล่งแสงเจิดจ้าออกมามากมาย

“ตัดสินผู้แพ้ชนะแล้วหรือ?”

เมื่อเห็นฉากนี้ การหายใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็เริ่มถี่กระชั้น พวกเขาต่างจ้องไปที่ค่ายกลโดยไม่กะพริบตา

“การควบคุมของค่ายกลใหญ่กำลังเริ่มเรียกคืน…” เหลิ่งฉานเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นสิ่งนี้ และร่างกายของนางก็รู้สึกผ่อนคลาย

“ช้าก่อน! ไม่ใช่จิ้งคงและคนอื่น ๆ!” ผู้อาวุโสอวิ๋นจูดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง ทำให้ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขามืดมนในทันที พร้อมกับร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “มีคนกำลังขัดเกลาค่ายกล!”

“ว่ากระไรนะ!?” หัวใจที่ผ่อนคลายของเหลิ่งฉานเอ๋อร์พลันกระตุกอย่างรุนแรงอีกครั้ง ในขณะที่ใบหน้างามของนางเปลี่ยนไป นางดูประหลาดใจอย่างมาก

“สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

สิ่งนี้คืออาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิกายวิถีกระแสสวรรค์ มันเป็นค่ายกลใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งก่อตัวขึ้นจากชุดของสมบัติอมตะที่อยู่ในความครอบครองของประมุขนิกายมาโดยตลอด และถ้าไม่ใช่เพื่อปิงซื่อเทียน ก็ไม่ต้องกล่าวถึงการจะใช้มัน พวกเขาไม่แม้แต่จะหยิบยืมมันได้!

แต่ตอนนี้กลับมีคนกำลังขัดเกลามันจริง ๆ!

เมื่อนางคิดว่าสมบัติล้ำค่าชุดนี้กำลังจะถูกคนอื่นแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตา เหลิ่งฉานเอ๋อร์พลันรู้สึกหนังศีรษะชาด้าน ในขณะที่ร่างกายของนางหนาวเหน็บ

“ไม่จริง! ท่านอาจารย์จิ้งคงและคนอื่น ๆ จะเฝ้าดูสิ่งนี้เกิดขึ้นโดยไม่แยแสได้อย่างไร? แล้วชายคนนั้นจะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จด้วยระดับการบ่มเพาะเช่นนั้นได้อย่างไร? นี่…นี่คือชุดของสมบัติอมตะนะ!” หญิงสาวหวาดกลัวจนสิ้นปัญญา ขณะพึมพำซ้ำ ๆ

“ระวัง!” ผู้อาวุโสอวิ๋นจูดูเหมือนจะสังเกตเห็นบางอย่าง ทำให้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียด ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อดึงเหลิ่งฉานเอ๋อร์กลับมา จากนั้นร่างของเจ้าตัวก็ทะยานไปทางข้างหลังอย่างดุเดือด การกระทำของเขาเสร็จสิ้นภายในอึดใจเดียว และรวดเร็วยิ่ง!

ตู้ม!

ทันทีที่ทั้งคู่หลบไปทางข้างหลัง ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารที่อยู่กลางอากาศก็เปลี่ยนเป็นม้วนภาพวาดกระบี่ขนาดใหญ่แปดม้วน และแยกออกจากกันท่ามกลางคลื่นที่สั่นสะเทือนอย่างรวดเร็ว

ในขณะนั้นเอง ราวกับว่าดวงอาทิตย์ได้แยกออกจากกันอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดแสงเจิดจ้าสาดส่องออกไปโดยรอบ ราวกับเป็นยามเที่ยงวัน

ในกลุ่มภูเขาที่อยู่ห่างออกไป แม้แต่กระแสสัตว์ร้ายก็ยังส่งเสียงคำรามจนภูเขาสั่นสะเทือน พวกมันต่างอยู่ในความสงบเสงี่ยม กระทั่งผู้บ่มเพาะที่อยู่ริมแม่น้ำก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตกใจ และต่างถอยร่นไป

“หืม?”

“มีคนออกมาจากภายในค่ายกล!”

“คนเดียวหรือ? ดูเหมือนว่าจะเป็น…”

ท่ามกลางความตื่นตระหนก ผู้บ่มเพาะบางคนที่มีสายตาเฉียบแหลมก็ค้นพบว่า จู่ ๆ ได้มีร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากศูนย์กลางของมหาค่ายกล

เงาวูบวาบไปมา ในขณะที่แสงเจิดจ้าสาดส่อง ส่งผลให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าจากสวรรค์ที่จุติลงมายังโลก และทำให้คนอื่นไม่สามารถเห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

แต่พร้อมกับรูปลักษณ์ของเขา ค่ายกลกระบี่จักรวาลสยบมารที่แบ่งออกเป็นแปดส่วนพลันหยุดอยู่กลางอากาศ ก่อนจะกลายเป็นลำแสงพุ่งไปรวมตัวกันที่ฝ่ามือของร่างนั้น และหายวับไปในพริบตา

ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าในโลกได้หายไปพร้อมกับมัน ทำให้โลกตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง

แต่ทุกอย่างนี้ได้เกิดขึ้นในช่วงรุ่งสาง ดังนั้นความมืดมิดจึงปรากฏขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะค่อย ๆ เลือนหายไปด้วยแสงอรุณที่ส่องประกายสีทองแวววาว

แสงพร่างพรายสาดส่องลงมาที่ร่างนี้ ซึ่งบังเอิญเผยให้เห็นรูปร่างหน้าตาอย่างชัดเจน ร่างนี้สวมเสื้อผ้าสีเขียว มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและไม่แยแส ผมสีขาวดุจหิมะที่พลิ้วไหวตามสายลม นอกจากนี้เขายังมีกลิ่นอายที่ดุดัน หนักหน่วง และเก่าแก่!

ทุกสายตาที่จดจ้องกับร่างนั้นแทบจะหดเล็กลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งแต่ละคนก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมา

นั่นมัน… เฉินซี!?

เมื่อเหลิ่งฉานเอ๋อร์และผู้อาวุโสอวิ๋นจูเห็นร่างนี้ ทั่วทั้งร่างกายของพวกเขาก็แข็งทื่อในทันที หัวใจของพวกเขาต่างตกลงสู่ก้นบึ้ง ด้วยรู้สึกไม่อาจรับความจริงที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าได้!

แต่เมื่อได้เห็นรูปลักษณ์ของร่างที่เดินออกจากค่ายกลอย่างชัดเจน พวกเขาก็พลันตกใจจนเกินควบคุม

“เฉินซี!”

“คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ!”

“แล้ว…แล้วศิษย์น้องจิ้งคงกับคนอื่น ๆ ล่ะ?

ลางร้ายพลันผุดขึ้นในใจของพวกเขาอย่างไม่อาจยับยั้ง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท